ลักษณะการขึ้นครองราชสมบัติตามโบราณราชประเพณี
มี 5 ประการ คือ
1. อินทราภิเษก หมายถึง พระอินทร์ นำเครื่องปัญจกกุธภัณฑ์ทั้งห้า มาถวายพร้อมด้วยพระพิชัยราชรถและฉัตรทิพย์ เสมือนพระอินทร์ทรงสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์
2. โภคาภิเษก คือ การขึ้นเป็นกษัตริย์ของผู้มีชาติตระกูลพราหมณ์ที่บริบูรณ์ด้วย โภไคยไอศุริยสมบัติ สามารถปกครองประชาราษฎร์ด้วยความผาสุก
4. ราชาภิเษก คือ การสืบราชสันติวงศ์ตามพระราชประเพณี
5. อุภิเษก คือ การขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์จากงานมงคลวิวาหะอุภิเษก โดย สมเด็จพระราชบิดา พระราชมารดา ทั้ง 2 ฝ่าย แล้วให้ขึ้นปกครองบ้านเมือง
ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ประกอบด้วยอักษรพระปรมาภิไธย วปร อยู่ตรงกลาง ฟื้นอักษรสีขาวขอบเดินทอง อันเป็นสีของวันจันทร์ซึ่งเป็น
วันพระบรมราชสมภพ ภายในอักษรประดับเพชร ตามความหมายแห่งพระนามมหาวซิราลงกรณอักษร วปร อยู่บนพื้นสีขาบ (น้ำเงินเข้ม) อันเป็นสีของขัตติยกษัตริย์ ภายในกรอบพุ่มข้าวบิณฑ์สีทองสอดสีเขียว อันเป็นสีซึ่งเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ กรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อัญเชิญมาจากกรอบที่ประดิษฐานพระมหาอุณาโลม อันเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ แวดล้อมด้วยเครื่องเบญจราชกกุรภัณฑ์ อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมอุณาโลมประกอบเลขมหามงคลประจำรัชกาล อยู่เบื้องบนพระแสงขรรค์ชัยศรีกับพระแสจามรี ทอดไขว้อยู่เบื้องขวา ธารพระกรกับพัดวาลวิชนี ทอดไขว้อยู่เบื้องซ้ายและฉลองพระบาทเชิงงอน อยู่เบื้องล่าง พระมหาพิชัยมงกฎหมายถึงทรงรับพระราชภาระอันหนักยิ่งของแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาทน พระแสงชรรค์ชัยศรีหมายถึงทรงรับพระราชภาระปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากภยันตราย ธารพระกรหมายถึงทรงดำรงราชธรรมเพื่อค้ำจุนบ้านเมืองให้ผาสุกมั่นคง พระแส้จามรีกับพัดวาลวิชนีหมายถึงทรงขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์ ฉลองพระบาทเชิงงอนหมายถึงทรงทำนุบำรุงปวงประชาทั่วรัฐสีมาอาณาจักร เบื้องหลังพระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานพระมหาเศวตฉัตรอันมีระบายขลิบทอง จงกลยอดฉัตรประกอบรูปพรหมพักตร์อันวิเศษสุด ระบายชั้นล่างสุดห้อยอุบะจำปาทอง แสดงถึงพระบารมีและพระบรมเดชานุภาพที่ปกแผ่ไปทั่วทิศานุทิศ เบื้องล่างกรอบอักษรพระปรมาภิไธยมีแถบแพรพื้นสีเขียว ถนิมทอง ขอบขลิบทอง มีอักษรสีทองความว่า"พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒" ปลายแถบแพรเบื้องขวามีรูปคซสีห์กายม่วงอ่อนประคองฉัตร ๗ ชั้น หมายถึงข้าราชคารฝ่ายทหาร เบื้องซ้ายมีรูปราชสีห์กายขาวประคองฉัตร ๗ ชั้นหมายถึงข้าราชคารฝายพลเรือน ผู้ปฏิบัติราชการสนองงานแผ่นดินอยู่ด้วยกัน ข้างคันฉัตรด้านในทั้งสองข้างมีดอกลอยกนกนาค แสดงถึงปีมะโรงนักษัตรอันเป็นปีพระบรมราชสมภพ สีทองหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองยิ่งของประเทศชาติและประชาชน
พระนามใหม่ของ ร. 10
จาก "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร"
เป็น "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณ์อดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว"
มาย้อนดูประวัติกันเล็กน้อย
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
เสด็จพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17:45 น.
มีพระเชษฐภคินีคือทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระขนิษฐภคินีสองพระองค์คือสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
พระชนมายุได้หนึ่งพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร.9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชทานพระนาม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นผู้ตั้งพระนามถวายตามดวงพระชะตาว่า
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ
บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ
เทเวศรธำรงสุบริบาล
อภิคุณูปการมหิตลาดุลเดช
ภูมิพลนเรศวรางกูร
กิตติสิริสมบูรณสวางควัฒน์
บรมขัตติยราชกุมาร
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
เพื่อให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณีโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งยังสอดคล้องกับคตินิยมในนานาประเทศที่ราชอาณาจักรย่อมไม่ว่างเว้นขาดตอนจากการมีพระมหากษัตริย์และโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" [วะ-ชิ-รา-ลง-กอน บอ-ดิน-ทฺระ-เทบ-พะ-ยะ-วะ-ราง-กูน]
และตั้งแต่บ่ายของวันที่ 4 พฤษภาคม 2562 พระนามใหม่ของ ร.10 คือ
“พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณมหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ”
ในพิธีครั้งนี้ มีการเชิญเครื่องราชูปโภค และสิ่งของอันเป็นมงคลทั้ง 6 สิ่งได้แก่ วิฬาร์ (แมว) ศิลาบด ฟักเขียว ขันข้าวเปลือก ขันถั่วทอง และขันงา จากนั้นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จะลงบรรทมบนพระแท่นเป็นปฐมฤกษ์ ก่อนที่พระบรมวงศานุวงศ์จะถวายพระพร มีการเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียร ซึ่งประกอบพระราชพิธีที่ท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
สำหรับสิ่งของที่เป็นเครื่องประกอบพระราชพิธี ล้วนมีความหมายอันเป็นมงคลสำหรับที่ประทับขององค์พระมหากษัตริย์ โดยมีความหมายดังนี้
วิฬาร์ (แมว) แสดงถึง ความโชคดี มีลาภ ร่มเย็นเป็นสุข อันสอดคล้องกับคติความเชื่อของไทยที่ว่า แมวหมามาสู่จะมีลาภ อีกทั้งยังเชื่อว่าแมวสามารถขับไล่ภูตผีปีศาจ และสิ่งชั่วร้าย เพราะแมวมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในเวลากลางคืน หรือความเชื่อที่ว่า แมวมีเก้าชีวิต หมายถึงความยั่งยืนสถาพร และเป็นอมตะ
ศิลาบด เป็นของใช้ในครัวเรือน ใช้บดเครื่องแกง หรือเครื่องปรุงอาหารต่างๆ การนำศิลาบดมาใช้ในการเฉลิมพระราชมณเฑียร มีความหมายสอดคล้องกับการแสดงความยินดีในการขึ้นเรือนใหม่ ด้วยการมอบเครื่องครัว และพันธุ์พืช แก่เจ้าของเรือนนั้น หรือเกี่ยวข้องกับคำให้พร อันแสดงถึงความเจริญงอกงาม และมีความมั่นคงที่ว่า “ให้อยู่เย็นเป็นสุขดั่งอุทกธารา และฟัก ให้มีน้ำใจหนักหน่วงดุจศิลา ขอให้ถั่วงางอกงามบริบูรณ์” ศิลาดังกล่าวนั้น หมายถึงศิลาบด
ฟักเขียว หมายถึง ความร่มเย็นเป็นสุข และถั่วงา หมายถึงความเจริญงอกงาม เช่นเดียวกับข้าวเปลือกที่มีความหมายเดียวกัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งของที่มีความหมายดีแก่องค์พระมหากษัตริย์ที่ทรงเฉลิมพระราชมณเฑียร หรือผู้ที่ขึ้นเรือนใหม่ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งของอันมีความหมายมงคลที่ใช้ในการพระราชพิธีดังกล่าวอีกคือ ดอกหมาก หรือจั่นหมาก บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ เพราะดอกหมาก หรือจั่นหมากมีลักษณะเป็นพวงเมื่อออกผลจำนวนมากเรียกเป็น ทะลาย แสดงถึงความรุ่งเรือง มีทรัพย์ศฤงคาร เช่นเดียวกับดอกมะพร้าว หรือจั่นมะพร้าว ที่ใช้ประดับสถานที่ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็มีความหมายเดียวกัน
อีกสิ่งที่ปรากฏอยู่เสมอในการเฉลิมพระราชมณเฑียรคือ กุญแจทอง มีความหมายถึงการมอบกรรมสิทธิ์ให้กับเจ้าของบ้านใหม่ ซึ่งก็คือพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งของอันเป็นมงคลสำหรับการพระราชพิธียังมีมากขึ้นในรัชกาลต่อมา ได้แก่ พระแส้หางช้างเผือกผู้ เริ่มมีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งแส้นั้นเป็นเครื่องใช้สำหรับปัดฝุ่นละออง การใช้หางช้างเผือกมาทำพระแส้นั้น แสดงถึงสิ่งของอันเป็นมงคล มากด้วยบารมี เนื่องจากช้างเผือกถือเป็นสัตว์คู่บารมีเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ หรือในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีการอุ้มไก่ขาวเข้าร่วมพระราชพิธี อันอาจสอดคล้องกับการสร้างครอบครัวใหม่ที่มีการมอบสัตว์เพื่อช่วยเหลือเจ้าของบ้าน ซึ่งไก่นับเป็นสัตว์เลี้ยงสารพัดประโยชน์ ทั้งบอกเวลา และเลี้ยงไว้กินไข่ ผสมผสานกับคติความเชื่อของจีนที่ว่า ไก่ขาวสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้
หมายเหตุ
เฉลิมพระราชมณเฑียรพระมหากษัตริยาธิราช
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของพระที่นั่งในหมู่พระมหามณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง
เนื่องจากเป็นพระที่นั่งองค์แรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
มีความสำคัญเป็นพระราชพิธีมณฑล พระราชพิธีขึ้นเฉลิมพระราชมณเฑียรในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นอกจากนี้ ยังเคยเป็นพระวิมานบรรทม และที่ประทับถาวรของรัชกาลที่ ๑-๓ โดยรัชกาลต่อมาทุกรัชกาลจะเสด็จพระราชดำเนินมาประทับบรรทมเพียงชั่วครู่ เป็นพระฤกษ์ตามพระราชพิธีโบราณมงคล
5 พฤษภาคม
9:00 น. พระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์ เลี้ยงพระ เทศน์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๑๐ ชั้นที่ ๑
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เป็น สมเด็จพระน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน์ วรขัตติยราชนารี
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงมีพระอภิไธยเช่นเดิม
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุธนารีนาถ
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนธิราเทพยบดี
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ราชกัญญา
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร
พิธีทำน้ำอภิเษกในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพมหานคร มีพิธีการในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2562
พิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำอภิเษกของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศยกเว้นกรุงเทพมหานคร มีพิธีการในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562
พิธีเชิญน้ำอภิเษกของแต่ละจังหวัดมารวมเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงมหาดไทย มีพิธีการในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562
พิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในกรุงเทพมหานคร ณ หอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวัง
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ต้องนำน้ำมาจาก
>>แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของอินเดีย 5 สาย
>>แม่น้ำของไทยอีก 5 สาย ประกอบด้วย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำราชบุรี แม่น้ำเพชรบุรี
>>แหล่งน้ำพิเศษ 4 แหล่ง ใน จ.สุพรรณบุรี ประกอบด้วย สระเกษ สระแก้ว สระคงคา สระยมนา
>>อีก 4 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ใน จ.ชลบุรี
>>เเหล่งน้ำต่างจังหวัดทั่วประเทศอีก 107 แห่ง
>>แหล่งน้ำจากในกรุงเทพฯ 1 แห่ง
1 กระบี่ วังเทวดา (อ.เมืองฯ)
2 กาญจนบุรี แม่น้ำสามประสบ (อ.สังขละบุรี)
3 กาฬสินธุ์ กุดน้ำกิน (อ.เมืองฯ)
4 กำแพงเพชร บ่อสามแสน (อ.เมืองฯ)
11 ตรัง แม่น้ำตรัง บริเวณหน้าท่าน้ำ วัดประสิทธิชัย (อ.เมืองฯ)
12 ตราด น้ำตกธารมะยม (อ.เกาะช้าง)
13 ตาก อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล (อ.สามเงา)
14 นครปฐม สระน้ำจันทร์ หรือสระบัว (อ.เมืองฯ)
15 นครพนม สระน้ำมุรธาภิเษก หรือบ่อน้ำพระอินทร์ (อ.ธาตุพนม)
16 นครราชสีมา ต้นน้ำลำตะคอง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (อ.ปากช่อง)
17 นครสวรรค์ บึงบอระเพ็ด (อ.เมืองฯ)
18 นนทบุรี กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร (อ.เมืองฯ)
19 น่าน บ่อน้ำทิพย์วัดสวนตาล (อ.เมืองฯ)
20 บุรีรัมย์ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดกลาง (อ.เมืองฯ)
21 ปทุมธานี แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าวัดศาลเจ้า (อ.เมืองฯ)
22 ประจวบคีรีขันธ์ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือบ่อน้ำทิพย์ (อ.บางสะพาน)
23 พระนครศรีอยุธยา น้ำภายในพระเศียรหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์ และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดตูม (อ.พระนครศรีอยุธยา)
24 พังงา บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ถ้ำน้ำผุด (อ.เมืองฯ)
25 พิจิตร แม่น้ำน่าน บริเวณหน้าพระอุโบสถวัดท่าหลวง (อ.เมืองฯ)
26 พิษณุโลก สระสองห้อง (อ.เมืองฯ)
27 เพชรบุรี ท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ (อ.บ้านลาด)
28 ภูเก็ต บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดไชยธาราราม (อ.เมืองฯ)
29. มหาสารคาม บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือหนองดูน (อ.นาดูน)
30 มุกดาหาร น้ำตกศักดิ์สิทธิ์ (อ.คำชะอี)
31 แม่ฮ่องสอน ถ้ำปลา (อ.เมืองฯ)
32 ยโสธร ท่าคำทอง (อ.เมืองฯ)
33 ยะลา สระแก้ว สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ (อ.เมืองฯ)
34 ร้อยเอ็ด สระชัยมงคล (อ.เมืองฯ)
35 ระนอง บ่อน้ำพุร้อนรักษะวาริน (อ.เมืองฯ)
36 ระยอง วังสามพญา (อ.บ้านค่าย)
37 ราชบุรี สระโกสินารายณ์ (อ.บ้านโป่ง)
38 ลพบุรี บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (อ.เมืองฯ)
39 ลำปาง บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือบ่อน้ำเลี้ยงพระนางจามเทวี (อ.เกาะคา)
40 ลำพูน ดอยขะม้อ บ่อน้ำทิพย์ (อ.เมืองฯ)
41 เลย น้ำจากถ้ำเพียงดิน (อ.เมืองฯ)
42 ศรีสะเกษ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ปราสาทสระกำแพงน้อย (อ.อุทุมพรพิสัย)
43 สกลนคร บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ภูน้ำลอด (อ.เมืองฯ)
44 สงขลา บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดแหลมบ่อท่อ (อ.กระแสสินธุ์)
45 สตูล บ่อน้ำพุร้อนทุ่งนุ้ย (อ.ควนกาหลง)
46 สมุทรปราการ แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าองค์พระสมุทรเจดีย์ (อ.พระสมุทรเจดีย์)
47 สมุทรสงคราม แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ คลองดาวดึงส์ (อ.อัมพวา)
48 สมุทรสาคร แหล่งน้ำคลองดำเนินสะดวก (อ.บ้านแพ้ว)
49 สระแก้ว สระแก้ว – สระขวัญ (อ.เมืองฯ)
50 สระบุรี แม่น้ำป่าสัก บริเวณบ้านท่าราบ (อ.เสาไห้)
51 สิงห์บุรี สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดโพธิ์เก้าต้น (อ.ค่ายบางระจัน)
52 สุราษฎร์ธานี แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์พระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร (อ.ไชยา)
53 สุรินทร์ สระโบราณ (อ.เมืองฯ)
54 หนองคาย สระมุจลินท์ หรือสระพญานาค (อ.เมืองฯ)
55 หนองบัวลำภู บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดศรีคูณเมือง (อ.เมืองฯ)
56 อ่างทอง แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณพระอุโบสถวัดไชโยวรวิหาร (อ.ไชโย)
57 อำนาจเจริญ อ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน หรืออ่างเก็บน้ำห้วยปลาแดก (อ.เมืองฯ)
58 อุดรธานี บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ คำชะโนด (อ.บ้านดุง)
59 อุตรดิตถ์ บ่อน้ำทิพย์ (อ.ลับแล)
60 อุบลราชธานี บ่อน้ำโจ้ก (อ.วารินชำราบ)
1 ชัยภูมิ 1. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดไพรีพินาศ (อ.เมืองฯ) 2. บ่อน้ำชีผุด แม่น้ำชี (อ.หนองบัวแดง)
2 นราธิวาส 1. น้ำแบ่ง (อ.สุไหงปาดี) 2. น้ำตกสิรินธร (อ.แว้ง)
3 บึงกาฬ 1. พื้นที่ชุ่มน้ำบึงโขงหลง (อ.บึงโขงหลง) 2. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ถ้ำพระ (อ.เซกา)
4 ปราจีนบุรี 1. บ่อน้ำหน้าโบราณสถานรอยพระพุทธบาทคู่ (อ.ศรีมโหสถ) 2. โบราณสถานสระแก้ว (อ.ศรีมโหสถ)
5 พะเยา 1. ขุนน้ำแม่ปืม (อ.แม่ใจ) 2. น้ำตกคะ หรือน้ำคะ (อ.ปง)
6 เพชรบูรณ์ 1. สระแก้ว (อ.ศรีเทพ) 2. สระขวัญ (อ.ศรีเทพ)
7 อุทัยธานี 1. แม่น้ำสะแกกรัง (อ.เมืองฯ) 2. สระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม (อ.เมืองฯ)
1 จันทบุรี 1. สระแก้ว (อ.ท่าใหม่) 2. ธารนารายณ์ (อ.เมืองฯ) 3 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดพลับ (อ.เมืองฯ)
2 เชียงใหม่ 1. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดบุพพาราม (อ.เมืองฯ) 2. อ่างกาหลวง (อ.จอมทอง) 3. ขุนน้ำแม่ปิง (อ.เชียงดาว)
3 นครนายก 1. เขื่อนขุนด่านปราการชล (อ.เมืองฯ) 2. บ่อน้ำทิพย์เมืองโบราณดงละคร (อ.เมืองฯ) 3. บึงพระอาจารย์ (อ.เมืองฯ)
4 พัทลุง 1. สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดดอนศาลา (ควนขนุน) 2. ถ้ำน้ำบนหุบเขาชัยบุรี (อ.เมืองฯ) 3. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์พระบรมธาตุเขียนบางแก้ว (อ.เขาชัยสน)
5 สุโขทัย 1. บ่อแก้ว (อ.ศรีสัชนาลัย) 2. บ่อทอง (อ.ศรีสัชนาลัย) 3. ตระพังทอง (อ.เมืองฯ)
1 ปัตตานี 1. น้ำสระวังพรายบัว (อ.หนองจิก) 2. บ่อทอง หรือบ่อช่างขุด (อ.หนองจิก) 3 บ่อไชย (อ.หนองจิก) 4. น้ำบ่อฤษี (อ.หนองจิก)
2 สุพรรณบุรี 1. สระแก้ว (อ.เมืองฯ) 2. สระคา (อ.เมืองฯ) 3. สระยมนา (อ.เมืองฯ) 4. สระเกษ (อ.เมืองฯ)
3 แพร่ 1. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ลำน้ำแม่คำมี (อ.เมืองฯ) 2. บ่อน้ำวัดบ้านนันทาราม (อ.เมืองฯ) 3. บ่อน้ำพระฤาษี (อ.วังชิ้น) 4. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดพระหลวง (อ.สูงเม่น)
นครศรีธรรมราช
1. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดหน้าพระลาน (อ.เมืองฯ)
2. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดเสมาเมือง (อ.เมืองฯ)
3 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดเสมาไชย (อ.เมืองฯ)
4. บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดประตูขาว (อ.เมืองฯ)
5. แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ห้วยเขามหาชัย (อ.เมืองฯ)
6. แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ห้วยปากนาคราช (อ.ลานสกา)
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เป็นพระราชพิธีราชาภิเษกที่พระมหากษัตริย์ไทยได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการด้วยการถวายน้ำอภิเษก โดยแบ่งออกเป็น 2 พระราชพิธีสำคัญคือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เป็นการผสมผสานกันระหว่างธรรมเนียมของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ซึ่งต้องย้อนกลับไปหลายศตวรรษโดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกประกอบไปด้วย
>พระราชพิธีสรงพระมูรธาภิเษก
>พระราชพิธีถวายน้ำอภิเษก
>พระราชพิธีถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์และการสถาปนาพระราชินีและพระราชวงศ์
พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร
เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นโดยเหล่าสมาชิกของราชวงศ์ในพระบรมมหาราชวัง
ภายหลังจากประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นแล้ว พระมหากษัตริย์จะประทับพระที่นั่งราชยานพุดตานทองไปประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะและเสด็จไปสักการะพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบูรพการี
ตามโบราณราชประเพณีของไทย พระนามของผู้ได้รับการเลือกเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ก็ยังคงใช้ขานพระนามเดิม เป็นแต่เพิ่มคำว่า “ซึ่งทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” ต่อท้ายพระนาม เครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น เศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น มิใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ ก็ไม่เรียกว่าพระบรมราชโองการ จนกว่าจะได้ทรงรับการบรมราชาภิเษก จึงถวายพระเกียรติยศโดยสมบูรณ์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย ปรากฏหลักฐานเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์คือ ศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย กล่าวคือ พ่อขุนผาเมืองอภิเษกพระสหายคือ พ่อขุนบางกลางท่าว ให้เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครองกรุงสุโขทัย แต่ก็ไม่มีรายละเอียดการประกอบพระราชพิธี ว่ามีขั้นตอนอย่างใด
จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อขึ้นเสวยราชสมบัติ ได้ทรงทำพระราชพิธีนี้อย่างสังเขป เมื่อ พ.ศ. 2325 ครั้งหนึ่งก่อนแล้วทรงตั้งคณะกรรมการ โดยมีเจ้าพระยาเพชรพิชัย ซึ่งเป็นข้าราชการในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นประธาน สอบสวนแบบแผนโดยถี่ถ้วน ตั้งขึ้นเป็นตำรา แล้วทรงทำบรมราชาภิเษกเต็มตำราอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2328 และได้ใช้เป็นแบบแผนในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ของรัชกาลต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแต่ละรัชกาล ก็ได้ปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย ให้เหมาะแก่กาลสมัย ที่สำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นปราชญ์ในทางอักษรศาสตร์ และโบราณราชประเพณี ได้ทรงพระราชนิพนธ์คำกราบบังคมทูล ของพราหมณ์และราชบัณฑิต ขณะถวายเครื่องราชกกุธกัณฑ์ กับพระราชดำรัสตอบเป็นภาษาบาลี และคำแปลเป็นภาษาไทย ทั้งนี้ อาจวิเคราะห์ได้ว่า พระราชพิธีนี้ มีคติที่มาจากลัทธิพราหมณ์ ผสมกับความเชื่อทางพุทธศาสนา ส่วนบทมนต์ต่างๆ ของพราหมณ์นั้น นักวิชาการภาษาตะวันออกโบราณ วินิจฉัยว่า เป็นภาษาทมิฬโบราณ
ส่วนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อ พ.ศ. 2493 นั้น สำนักพระราชวังได้ยึดถือการบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นหลัก แต่ปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองที่ยังไม่อุดมสมบูรณ์ เพราะเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สอง และเพื่อให้เหมาะสมกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย แบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญด้วย
หมายเหตุ: ตารางนี้ไม่นับรวมพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จสวรรคตก่อนจะมีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี
พระบรมฉายาลักษณ์ | พระนาม | ระยะเวลาการครองราชสมบัติ | วันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|
![]() |
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช | 6 เมษายน พ.ศ. 2325 – 7 กันยายน พ.ศ. 2352 | 10 มิถุนายน พ.ศ. 2325 (วันจันทร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 บูรพาษาฒ ปีขาล จัตวาศก จ.ศ. 1144) |
ทรงกระทำการปราบดาภิเษกครั้งแรก โดยเป็นพระราชพิธีอย่างสังเขป |
17 มิถุนายน พ.ศ. 2328 (ปีมะเส็ง สัปตศก จ.ศ. 1147) |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่สองอย่างครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี, มีการรวบรวมตำราแบบแผนการประกอบพระราชพิธีจากการประชุมบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิต, สร้างเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ขึ้นใหม่ทดแทนของเดิมที่สูญหายจากภัยสงคราม | |||
![]() |
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย | 7 กันยายน พ.ศ. 2352 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 | 17 กันยายน พ.ศ. 2352 (วันอาทิตย์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง เอกศก จ.ศ. 1171) |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี |
![]() |
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว | 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 – 2 เมษายน พ.ศ. 2394 | 1 สิงหาคม พ.ศ. 2367 (วันอาทิตย์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 9 ปีวอก ฉศก จ.ศ. 1186) |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี |
![]() |
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | 2 เมษายน พ.ศ. 2394 – 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 | 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 (วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีกุน ตรีศก จ.ศ. 1213) |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี โดยมีการเพิ่มเติมการใช้ภาษามคธในบางขั้นตอนของพระราชพิธี, โปรดเกล้าฯ ให้ชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้เป็นครั้งแรก |
![]() |
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 (วันพุธ แรม 12 ค่ำ เดือน 12 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จ.ศ. 1230) |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ |
16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 | ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่สอง เนื่องจากทรงบรรลุพระราชนิติภาวะ, สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์พ้นจากหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ | |||
![]() |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว | 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 (วันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 12 ปีจอ โทศก จ.ศ. 1272) |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เฉพาะพิธีการสำคัญตามโบราณราชประเพณี งดการรื่นเริงต่างๆ เนื่องจากอยู่ระหว่างงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 | ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่สองอย่างครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี เพิ่มเติมการรื่นเริงต่างๆ และมีการเชิญพระราชอาคันตุกะจากนานาประเทศเข้าร่วมพระราชพิธี ในหมายกำหนดการเรียกพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้ว่า "พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช" | |||
![]() |
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว | 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 – 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 | 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 (ตามปฏิทินสากล) 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 (วันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 ปีฉลู สัปตศก จ.ศ. 1287) (ตามปฏิทินแบบไทยและราชกิจจานุเบกษา) |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี, โปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี, มีการบันทึกภาพยนตร์ข่าวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไว้เป็นหลักฐานครั้งแรกของประเทศสยาม |
![]() |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 | 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493
(วันศุกร์ แรม 4 ค่ำ เดือน 6 |
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี โดยมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำและลดขั้นตอนบางอย่างในพิธีการให้เหมาะสมกับการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ, โปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี |
![]() |
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร | 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน | 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
(วันเสาร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 |
มีการถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก |
แม้แต่การเรียกชื่อพิธีก็แตกต่างกันออกไปในแต่ละสมัย เช่น สมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกว่า “พระราชพิธีราชาภิเษก” หรือ “พิธีราชาภิเษก” ส่วนในปัจจุบันเรียกว่า “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก”
สมัยสุโขทัยปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 2 หรือจารึกวัดศรีชุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 18 กล่าวถึงการขึ้นเป็นผู้นำของพ่อขุนบางกลางหาว ไว้ว่า “...พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เมืองสุโขทัย ให้ทั้งชื่อตนแก่พระสหายเรียกชื่อศรีอินทรบดินทราทิตย์...”
ส่วนในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทย และภาษาเขมรกล่าวถึงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพิธีบรมราชาภิเษกพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ว่ามี มกุฎ พระขรรค์ชัยศรี และเศวตฉัตร
สมัยอยุธยาปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในคำให้การของชาวกรุงเก่า ข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงขั้นตอนของพระราชพิธีนี้ว่า
“...พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงโปรดให้เอาไม้มะเดื่อนั้น มาทำตั่งสำหรับประทับสรงพระกระยาสนานในการมงคล เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นต้น
พระองค์ย่อมประทับเหนือพระที่นั่งตั่งไม้มะเดื่อ สรงพระกระยาสนานก่อนแล้ว (จึงเด็จไปประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ) มุขอำมาตย์ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ คือ มหามงกุฎ 1 พระแสงขรรค์ 1 พัดวาลวิชนี 1 ธารพระกร 1 ฉลองพระบาทคู่ 1...”
ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ไม่ปรากฏหลักฐานการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สันนิษฐานว่าทำตามแบบอย่างเมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยาแต่ทำอย่างสังเขป เพราะบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย ยังอยู่ในภาวะสงคราม
ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ประดิษฐานพระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกแต่โดยสังเขป ยังไม่พร้อมมูล เต็มตำรา ครั้น พ.ศ.2326 โปรดให้ข้าราชการผู้รู้ครั้งกรุงเก่า มีเจ้าพระยาเพชรพิชัยเป็นประธาน ประชุมปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะผู้ใหญ่ ทำการสอบสวนร่วมกันตรวจสอบตำราว่าด้วยการราชาภิเษกในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร หรือขุนหลวงวัดประดู่
กำเนิด "ตำราราชาภิเษก" แบบแผนการราชาภิเษก
แล้วแต่งเรียบเรียงขึ้นไว้เป็นตำรา เรียกว่า “ตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยาสำหรับหอหลวง” เป็นตำราที่เกี่ยวกับการราชาภิเษกที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบหลักฐานในประเทศไทย เมื่อได้แบบแผนการราชาภิเษกที่สมบูรณ์แล้ว
อีกทั้งพระราชมณเฑียรสถานที่สร้างขึ้นใหม่แล้วเสร็จใน พ.ศ.2328 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้สมบูรณ์ตามแบบแผนอันได้เคยมีมาแต่เก่าก่อนอีกครั้งหนึ่งและแบบแผนการราชาภิเษกดังกล่าวได้รับการยึดถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างสืบมาเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์บางพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2 ครั้ง คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2411 เมื่อทรงขึ้นครองราช์สมบัติสืบต่อจากพระบรมชนกนาถ ขณะมีพระชนพรรษาเพียง 15 พรรษา
ในระยะเวลาห้าปีแรกของรัชกาล สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจนกระทั่งเมื่อทรงเจริญพระชนพรรษาครบ 20 พรรษา จึงทรงผนวช หลังจากทรงลาสิขาแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2416 หลังจากนั้นทรงรับพระราชภาระ และมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยสมบูรณ์
ส่วนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2 ครั้ง คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2453 เนื่องจากอยู่ในช่วงกำลังไว้ทุกข์งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้งดการเสด็จเลียบพระนครและการรื่นเริง
ต่อมาเมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่แล้วจึงทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พุทธศักราช 2454 เพื่อให้เป็นส่วนรื่นเริงสำหรับประเทศ อีกทั้งให้นานาประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรไมตรีมีโอกาสมาร่วมงาน
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2468
สพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จสวรรคตก่อนการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493
ฉัตร เป็นเครื่องสูงสำหรับแขวน ปัก ตั้ง หรือเชิญเข้ากระบวนแห่เพื่อเป็นเกียรติยศ ฉัตรมีรูปร่างคล้ายร่มที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ฉัตรถือเป็นของสูง เปรียบเสมือนสวรรค์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจักรวาล
เป็นเครื่องแสดงพระอิสริยยศของผู้ทรงฉัตร แยกเป็น 4 ชนิดคือ
เป็นฉัตรผ้าขาวกว้าง มี 4 แบบ ดังนี้
ฉัตรผ้าขาวลายทอง
สำหรับพระบรมราชวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า ที่ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าต่างกรมชั้นสมเด็จเจ้าพระยา ลักษณะเป็นฉัตร ๕ ชั้น พื้นขาวเขียนลายทองห้อยจำปาทอง ฉัตรที่เขียนลายทองนี้ไม่ใช้ตกแต่งด้วยวิธีปักหรือติดทองแผ่ลวด เพราะโบราณถือว่าเป็นสิ่งที่ทำเทียมไม่ทนทาน มักเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลดหรือฉัตรกำมะลอ
- ใช้แขวนเหนือพระโกศ ณ ที่ตั้งพระศพ
- ใช้แขวนเหนือพระจิตกาธาน เมื่อสุมเพลิงและเก็บพระอัฐิ
ฉัตรตาด
มี ๒ แบบ คือ
๑. สำหรับพระราชโอรส พระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ที่ดำรงพระยศพระองค์เจ้าต่างกรม ชั้นกรมพระ
ลักษณะเป็นฉัตรผ้าตาดสีขาว ๕ ชั้น แต่ละชั้นมีระบาย ๒ ชั้น ขอบระบายติดแถบกระจังเงิน ห้อยอุบะจำปาทอง
- ใช้แขวนเหนือพระโกศ ณ ที่ตั้งพระศพ
- ใช้แขวนเหนือพระจิตกาธานเมื่อสุมเพลิงหรือเก็บพระอัฐิ
๒. สำหรับพระราชโอรสพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ที่ดำรงพระยศพระองค์เจ้าต่างกรมชั้นกรมหลวง และสำหรับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
ลักษณะเป็นฉัตรผ้าตาดสีเหลือง ๕ ชั้น แต่ละชั้นระบายแถบติดกระจังเงิน ห้อยอุบะจำปาทอง
- ใช้ปักเหนือพระแท่นตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
- ใช้แขวนเหนือพระโกศ ณ ที่ประดิษฐานพระศพ
-ใช้แขวนเหนือพระจิตกาธานเมื่อสุมเพลิงและเก็บพระอัฐิ
ฉัตรโหมด
ใช้แขวนเหนือพระโกศขณะตั้งพระศพพระราชวงศ์ มี ๕ แบบ คือ
๑. สำหรับพระราชโอรสพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ ที่ดำรงพระอิสริยยศ เป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ชั้นกรมขุน ลักษณะเป็นฉัตรผ้าโหมดสีขาว ๕ ชั้น แต่ละชั้นมีระบายขอบติดกระจังเงิน ห้อยอุบะจำปาทอง
๒. สำหรับพระราชโอรสพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ ที่ดำรงพระอิสริยยศ เป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ชั้นกรมหมื่นลักษณะเป็นฉัตรผ้าโหมดสีเหลือง ๕ ชั้น แต่ละชั้นมีระบายขอบติดกระจังเงินห้อยอุบะจำปาทอง
๓. สำหรับพระราชโอรสพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ ที่ดำรงพระอิสริยยศ เป็นพระองค์เจ้า แต่มิได้ทรงกรมลักษณะเป็นฉัตรผ้าโหมดสีทอง ๕ ชั้น แต่ละชั้นมีระบายขอบติดกระจังเงินห้อยอุบะจำปาทอง
๔. สำหรับพระโอรสพระธิดาของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ที่ดำรงพระอิสริยยศ เป็นพระองค์เจ้าต่างกรม
ลักษณะเป็นฉัตรผ้าโหมดสีเงิน ๓ ชั้น แต่ละชั้นมีระบายขอบติดกระจังเงินห้อยอุบะจำปาทอง
๕. สำหรับพระโอรสพระธิดาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขหรือวังหน้า ที่มิได้ทรงกรม ลักษณะเป็นฉัตรผ้าโหมดสีทอง ๓ ชั้น แต่ละชั้นมีระบายขอบติดกระจังเงินห้อยอุบะจำปาทอง
ฉัตรพิเศษสำหรับการพระบรมศพ
นอกจากพระเศวตฉัตร หรือฉัตรผ้าขาว ที่กล่าวแล้ว แต่โบราณราชประเพณี ยังมีฉัตรที่ใช้สำหรับพระบรมศพ คือฉัตรปักประดับยอดพระโกศพระบรมอัฐิ (ทั้งนี้เนื่องจากยอดพระโกศปกติเป็นยอดพุ่มข้าวบิณฑ์ เมื่อเชิญออกจากที่ประดิษฐานจึงถอดพุ่มข้าวบิณฑ์ออก ถวายฉัตรแทน) กับฉัตรสำหรับปักพระเบญจาที่ประดิษฐานพระบรมศพด้วย ซึ่งฉัตรปักประดับยอดพระโกศพระบรมอัฐิเป็นฉัตรทองคำจำลองรูปทรงจากฉัตรที่ใช้ปักหรือแขวนแสดงพระอิสริยยศ
ลักษณะของฉัตรปักประดับยอดพระโกศมี ๔ แบบ คือ
๑.สำหรับพระบรมอัฐิพระมหากษัตริย์ ลักษณะเป็นฉัตรทองคำลงยา ๙ ชั้น องค์ฉัตรเป็นลายสลักโปร่ง ภายในบุผ้าขาว
๒.สำหรับพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก สมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระอัครมเหสี ลักษณะเป็นฉัตรทองคำลงยา ๗ ชั้น องค์ฉัตรเป็นลายสลักโปร่ง ภายในบุผ้าขาว
๓.สำหรับพระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้า ลักษณะเป็นฉัตรทองคำลายสลักโปร่ง ๗ ชั้น ไม่บุผ้าขาว
๔. สำหรับพระบรมอัฐิสมเด็จพระรัชทายาท หรือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอที่ได้รับการสถาปนาพระเกียรติยศขึ้นเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เทียบเท่าสมเด็จพระรัชทายาท ลักษณะเป็นฉัตรทองคำลายสลักโปร่ง ๗ ชั้น ไม่บุผ้าขาว
ฉัตรปักพระเบญจา
พระเบญจา เป็นพระแท่นสำหรับตั้งเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศพระโกศพระบรมอัฐิ ซึ่งที่มุมพระเบญจาจัดตั้งฉัตรทองทรงกระบอกลายสลักโปร่ง ๕ ชั้น เรียกว่า ฉัตรปักพระเบญจา หนึ่งสำรับ มี ๘ องค์ ตั้งแต่งมุมพระเบญจา ทั้ง ๔ มุม
ฉัตรสำคัญประเภทอื่น สำหรับตั้งในพิธีหรือเชิญเข้าขบวนแห่เป็นเกียรติยศ
นอกจากพระเศวตฉัตรแล้ว ยังมีฉัตรที่ใช้จัดตั้งในการพิธีหรือเชิญในขบวนแห่เป็นเกียรติยศแต่โบราณมามีอีก ๖ ชนิด คือ
๑. พระมหาเศวตฉัตรกรรภิรมย์
๒. พระอภิรุมชุมสาย หรือฉัตรเครื่องสูง
๓. ฉัตรเครื่องสูงวังหน้า
๔. ฉัตรเครื่อง
๕. ฉัตรเบญจา
๖. ฉัตรราชวัติ
พระมหาเศวตฉัตรกรรภิรมย์
เป็นฉัตร ๕ ชั้น สำรับหนึ่งมี ๓ องค์ คือ พระเสนาธิปัตย์ พระฉัตรชัย และพระเกาวพ่าห์ เรียกสั้นๆ ว่า พระกรรภิรมย์ ทำด้วยผ้าขาวลงยันต์เส้นทอง มีด้ามสำหรับสวมบนฐานตั้งหรือสำหรับเชิญในขบวน
พระอภิรุมชุมสาย
พระอภิรุมชุมสายเป็นฉัตรเครื่องสูงสำรับหนึ่ง ประกอบด้วยฉัตร ๗ ชั้น ๔ องค์ ฉัตร ๕ ชั้น ๑๐ องค์ สำหรับเชิญไปในการแห่หรือสวมฐานตั้งเพื่อเป็นเกียรติยศประจำสถานที่หรือเฉพาะงาน
ลักษณะพระอภิรุมเป็นฉัตรทรงชะลูด ๗ ชั้น และ ๕ ชั้น ทำด้วยผ้ากำมะหยี่ ฉัตรแต่ละชั้นมีระบายซ้อน ๒ ชั้นปักดิ้นทองตามขวางของลายตั้งแต่เพดานถึงส่วนระบาย ส่วนชุมสายเป็นฉัตร ๓ ชั้นทรงกว้างมีสายไหมถักคลุมฉัตร ชั้นล่างปล่อยชายห้อยรอบระบายของฉัตร พระอภิรุมชุมสายมี ๒ แบบ คือ แบบปักหักทองขวาง กับแบบทองแผ่ลวด
- พระอภิรุมชุมสายปักหักทองขวาง ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ ต่อมาโปรดให้ใช้สำหรับสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระอัครมเหสี และสมเด็จพระยุพราช
- พระอภิรุมชุมสายทองแผ่ลวด ใช้สำหรับพระราชวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าลงมาจนถึงพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า และสำหรับพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้าลงมาถึงสมเด็จพระสังฆราช
ฉัตรเครื่องสูงวังหน้า
เป็นเครื่องสูงทองแผ่ลวดสีต่างๆ สำรับหนึ่งมีฉัตร ๕ ชั้น ๔ องค์ และฉัตร ๓ ชั้น ๑๐ องค์ แต่ละชั้นมีระบาย ๒ ชั้น ใช้สำหรับสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และพระโอรสและพระธิดา
ฉัตรเครื่องสูง
เป็นฉัตร ๕ ชั้น ทองแผ่ลวด เชิญออกขบวนแห่พระศพสำหรับพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ และผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาสุพรรณบัฏหรือหิรัญบัฏ องคมนตรี รัฐมนตรี ประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกาที่อสัญกรรมในตำแหน่ง
ฉัตรเบญจา
เป็นฉัตร ๕ ชั้นทรงชะลูดอย่างเดียวกับฉัตรเครื่องสูง ๕ ชั้นทองแผ่ลวดแต่ไม่เดินทองแผ่ลวดบนเพดานฉัตร และระบายที่ซ้อนกันใช้ผ้าต่างสี เป็นฉัตรใช้สำหรับการศพพระราชวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือที่ได้รับพระราชทานต่ำกว่าทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และใช้สำหรับพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ตั้งแต่พระราชาคณะชั้นธรรมถึงพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง และผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตั้งแต่ทุติยจุลจอมเกล้าขึ้นไปแต่ไม่ถึงปฐมจุลจอมเกล้า รวมทั้งบิดามารดาของผู้กำลังดำรงตำแหน่งองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานศาลฎีกา
ฉัตรราชวัติ
เป็นฉัตรสีต่างๆที่เป็นแม่สีเดิมเรียกว่า ฉัตรเบญจรงค์ ใช้ปักรั้วราชวัติเป็นระยะประกอบกับฉัตรทอง ฉัตรเงิน ฉัตรนาก ฉัตรราชวัติมีกี่ชั้นสุดแต่ความสำคัญของงานพระมหากษัตริย์ ราชวัติมุมพระมณฑปพระกระยาสนานและราชวัติพระเมรุมาศจะใช้ฉัตร ๗ ชั้น พระราชวงศ์ชั้นสูง ราชวัติใช้ฉัตร ๕ ชั้นชนิดเดียว หรือใช้ฉัตร ๗ ชั้นและฉัตร ๕ ชั้น มีระบายชั้นเดียวมีรูปทรงเหมือนฉัตรเครื่องสูงบ้าง ทำเป็นรูปทรงกระบอกบ้าง ทำเป็นฉัตรระบายกลีบบัวบ้าง และมีทำด้วยโลหะสลักโปร่ง บางงานไม่ใช้ฉัตรเบญจรงค์ ใช้แต่ฉัตรทอง ฉัตรเงิน ฉัตรนากเท่านั้น