วันมหาสงกรานต์ไทย (Songkran Festival) มาจากไหน?
สงกรานต์ (Songkran) คือ ประเพณีของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนาม และมนฑลยูนานของจีน รวมถึงศรีลังกา และประเทศทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สันนิษฐานกันว่า ประเพณีสงกรานต์นั้นได้รับวัฒนธรรมมาจากเทศกาลโฮลีในอินเดีย แต่เทศกาลโฮลีจะใช้การสาดสีแทน
"สงกรานต์" เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า "ผ่าน" หรือ "เคลื่อนย้ายเข้าไป" ในที่นี้หมายถึงเป็นวันที่พระอาทิตย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศีมีน เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายใหญ่หรือเปลี่ยนปี โหรจะใช้ปีเริ่มต้นในเดือนนี้และถือเป็นช่วงสงกรานต์ หากพระอาทิตย์เคลื่อนย้าย ในช่วงเดือนอื่น ๆ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายธรรมดา
ตามปกตินั้น พระอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่ง ตามหลักโหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมษ ก็คือการที่พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อสงกรานต์ แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป วันสงกรานต์จึงต้องมีอยู่ประจำทุกเดือน เพราะดวงอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปเดือนละ 1 ครั้ง เสมอ
แต่ในวันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ด้วยถือกันว่าเป็นวันและแวลาที่ตั้งต้นสู่ปีใหม่ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหรผู้รู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมัยโบราณเรานับถือเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี
สมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้กำหนดให้ใช้ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และได้ใช้เรื่อยมา สาเหตุก็เพราะสอดคล้องกับธรรมเนียมโบราณ เนื่องจาก หากนับทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งก็คือวันสงกรานต์หรือวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนั่นเอง
และได้มีการใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันปีใหม่ของไทยแต่นั้นเรื่อย มาแม้ว่าในปีต่อไปจะไม่ตรงกับวันสงกรานต์ (หมายถึงวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีน ไปสู่ราศีเมษ) ทั้งนี้เพื่อให้มีการกำหนดวันทางสุริยคติที่แน่นอนตายตัวลงไป
ต่อมาในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2483 คณะรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ได้ประกาศให้ใช้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ เป็นสากลทั่วโลกและใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นเรายังถือเอาวันที่ 14 เมษายนเป็นวันครอบครัว อีกด้วย
เมื่อถึงเดือน 5 ตรงกับวันที่ 13 เมษายนของทุก ๆ ปีเราเรียกวันนี้ว่า " วันสงกรานต์ "
ประเพณีไทยเดิมถือว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ธรรมเนียมไทยเราก็จะมีการเล่น รื่นเริง มีการรดน้ำดำหัวโดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ จะสนุกกันเต็มที่เล่นสาดน้ำกันโดยไม่ถือเนื้อถือตัวเลย ในชนบทหลายแห่ง มีการเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ กัน
อนึ่งวันนี้บางแห่งจะเริ่มจากวันที่ ๑๓ เมษายน และมีการเล่นสนุกสนานไปราว ๆ๑ สัปดาห์ หรือกว่านั้น แต่ไม่เกิน 2 สัปดาห์
ระยะนี้จะมีการนำน้ำหอมเสื้อผ้าอาภรณ์ไปรดน้ำผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องที่เคารพนับถือและทางศาสนาก็จัดให้มีการบายศรีพระสงฆ์สมภารเจ้าวัด สรงน้ำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เท่าที่มีตามวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
การแบ่ง 12 ราศี ใน 1 ปี
โหรโบราณ ได้แบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วน ส่วนหนึ่ง ๆ เรียกว่าราศี ซึ่งมีราศีละ 30 องศา รวม 12 ราศี ก็เท่ากับ 360 องศาครบรอบวงกลมพอดี ตามตัวอย่างข้างล่างนี้
Cr. หมอช้าง
ราศีเมษ ( 21 มี.ค.- 19เม.ย.)
เป็นราศีแห่งความกระตือรือร้น เป็นพวกพลังงานสูง ไม่กริ่งเกรงที่จะบุกบั่นไปให้ถึงเป้าหมายที่ฝัน รักการแข่งขัน ชอบเอาชนะ มีความเป็นผู้นำ เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญพร้อมจะช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า อาชีพที่เหมาะ : หัวหน้างาน นักกีฬา นักการเมือง หน่วยกู้ภัย พนักงานดับเพลิง
ราศีพฤษภ (20 เม.ย.-20 พ.ค.)
ความมั่นคงคือสิ่งที่ชาวราศีนี้ปรารถนา ไม่ว่าลงมือทำอะไรก็ตั้งใจเกินร้อย อดทน ซื่อสัตย์ มีหัวด้านตัวเลข โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ มักเก็บหอมรอมริบเพื่อหวังสร้างอนาคตที่สุขสบาย ชอบงานออกแบบ รักธรรมชาติ อาชีพที่เหมาะ : พนักงานในสายบัญชี นักออกแบบสวน-จัดดอกไม้ ทนายความ วิศวกร ดีไซเนอร์ เชฟ และนักภูมิทัศน์
ราศีเมถุน (21 พ.ค.-22 มิ.ย.)
สัญลักษณ์รูปคนคู่สะท้อนถึงคาแร็กเตอร์คนสองบุคลิก อารมณ์แปรปรวนง่ายตามสภาพแวดล้อมรอบตัว เป็นพวกคิดเร็ว ทำเร็ว กระตือรือร้น ไม่ชอบอยู่นิ่งกับที่ ชอบพบปะผู้คน ยิ่งได้ทำงานที่ได้เดินทางบ่อยๆ ยิ่งเสริมพลัง อาชีพที่เหมาะ : นายหน้าหรือโบรคเกอร์ประกันภัย ทำธุรกิจเปิดโรงเรียนสอนภาษา มัคคุเทศน์ คนเขียนบท ผู้กำกับการแสดง ครู สถาปนิก โอเปอเรเตอร์
ราศีกรกฎ (23 มิ.ย.-22 ก.ค.)
ลักษณะเด่นของชาวราศีนี้คือ จิตใจดี อบอุ่น อ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความสตรอง เป็นคนที่รักพวกพ้อง เป็นนักแก้ปัญหา และพร้อมจะมอบคำแนะนำดีๆให้กับคนอื่นเสมอ อาชีพที่เหมาะ : งานดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ พี่เลี้ยงเด็ก งานในสายทรัพยากรบุคคล ทนายความ ทหาร ครู ซีอีโอ นักสังคมสงเคราะห์ พนักงานต้อนรับ
ราศีสิงห์ (23 ก.ค.-22 ส.ค.)
หยิ่งผยองดั่งราชสีห์ คือ นิยามของชาวราศีสิงห์ ที่มีหัวใจที่ห้าวหาญ ไม่กลัวอะไร รักความอิสระ ชอบเป็นผู้นำได้ทำงานอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์ที่มีเดิมพันเป็นชื่อเสียง เกียรติยศและอำนาจ อาชีพที่เหมาะ : นักบริหาร นักคิด นักวางแผน นักเจรจา นักการเมือง แพทย์ หัวหน้าทัวร์ แฟชั่นดีไซเนอร์ พนักงานขาย
ราศีกันย์ (23 ส.ค.-22 ก.ย.)
ซิกเนเจอร์ของชาวราศีนี้ คือ ขยัน ละเอียดถี่ถ้วน ช่างเก็บข้อมูลและรายละเอียดต่างๆที่ พบเจอได้ราวกับมีกล้องวงจรปิดติดตัว อาชีพที่เหมาะ : งานในสายบริการ ตลอดจนงานที่ต้องอาศัยทักษะความละเอียดรอบคอบ อย่าง นักวิจัย นักเขียน นักสถิติ นักแปล นักสืบ งานในสายงานที่ต้องใช้ความรู้หรือข้อมูลประกอบการวิพากษ์วิจารณ์
ราศีตุลย์ (23 ก.ย.-23 ต.ค.)
ชาวราศีตุลย์เป็นนักเจรจาชั้นยอดที่หาตัวจับยาก แถมยังมีเสน่ห์เหลือร้ายที่ใครเห็นก็เอ็นดู เมื่อนำสองคุณสมบัติที่รวมอยู่ในคนเดียวมาใช้ในสายงานที่ตอบโจทย์ จึงไม่ต่างจากแม่เหล็กที่ช่วยดึงดูดความสำเร็จเข้ามาหาชาวราศีตุลย์ไม่ขาดสาย อาชีพที่เหมาะ : นักการทูต นักร้อง แดนเซอร์ พนักงานขาย พิธีกร นักเจรจาต่อรอง เจ้าของบริษัททัวร์ หัวหน้างาน
ราศีพิจิก (24 ต.ค.-21 พ.ย.)
อาจดูโรคจิตเบาๆ แต่บอกเลยว่าชาวราศีพิจิกชอบของยากและท้าทาย เมื่อไหร่ที่เจองานหิน ส่งต่อให้ชาวราศีนี้ไปทำต่อได้เลย รับรองว่าสำเร็จอย่างแน่นอน ธรรมชาติของชาวราศีนี้เป็นคนชอบตรวจสอบ หาข้อบกพร่องจากข้อมูลต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการเอาชนะคู่แข่ง อาชีพที่เหมาะสม : นักสืบ ทนายความ นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ ศัลยแพทย์ นักฟิสิกส์
ราศีธนู (22 พ.ย.-21 ธ.ค.)
ชาวราศีธนูเป็นคนมองการณ์ไกล เป็นนักคิด นักปรัชญา และนักตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ รักสัตว์ มีพรสวรรค์ในการเลือกใช้คำพูดในการโน้มน้าวใจคน อาชีพที่เหมาะ : เจ้าของกิจการ พนักงานขาย งานเขียน งานประพันธ์ งานที่เกี่ยวกับการเดินทาง โค้ช นักประชาสัมพันธ์
ราศีมังกร (22 ธ.ค.-19 ม.ค.)
ชาวมังกรมีอาวุธคู่ใจคือความทะเยอะทะยานและความมุ่งมั่นที่จะพาตัวเองก้าวผ่านทุกความท้าทาย ลักษณะเด่นของชาวราศีนี้คือ เอาจริงเอาจังกับการใช้ชีวิตและการทำงาน จนออกแนวบ้างานนิดๆ เป็นพวกเถรตรง ทุกอย่างในชีวิตต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้เท่านั้น อาชีพที่เหมาะ : ผู้บริหาร นักปกครอง บรรณาธิการ เจ้าหน้าที่ในสายงานธนาคารและไอที ตลอดจนงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
ราศีกุมภ์ (20 ม.ค.-18 ก.พ.)
ชาวราศีกุมภ์เป็นสายอาร์ต มีความคิดและจินตนาการในโลกส่วนตัวสูง ชอบที่จะคิดและริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ไม่ชอบอยู่กับกฎระเบียบ ชอบเป็นนายตัวเอง เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังมองหาไอเดียสดใหม่ในธุรกิจ รับรองว่าชาวราศีกุมภ์ไม่ทำให้ผิดหวัง อาชีพที่เหมาะ : นักวิทยาศาสตร์ นักเขียนนิยาย นักประดิษฐ์ นักดนตรี นักบิน นักออกแบบ
ราศีมีน (19 ก.พ.-20 มี.ค.)
สายชิลตัวท็อปต้องยกให้ชาวมีน เพราะเป็นพวกที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่เน้นแข่งขันกับใคร แต่เลือกทำให้ดีที่สุดเพื่อเอาชนะตัวเอง มีความสุขที่ได้เลือกทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ เป็นนายของตัวเอง บางครั้งออกแนวโลกสวย มีความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง เป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง อาชีพที่เหมาะ : ศิลปิน นักกายภาพบำบัด หมอดู พยาบาล นักจิตวิทยา
กำเนิดวันสงกรานต์
“ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ
วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ
นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนา
จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี
พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร
เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ ได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง ในขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือ
“ท้าวกบิลพรหม” ซึ่งได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า
ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด
เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ เมื่อนึกขึ้นว่าพรุ่งนี้จะต้องตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม จึงจำใจหลบหนีออกจากปราสาทเข้าไปในป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า “พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร” นกสามีจึงอธิบายให้ฟังว่า
ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน
ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียกธิดาทั้ง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน
แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้ธิดาทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์
จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
นางสงกรานต์ทั้ง 7 คน ได้มีกำหนดไว้ ดังนี้
ตำนานสงกรานต์เป็นตำนานที่แต่งขึ้นเพื่ออธิบายความเป็นมาของการรดน้ำ ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญในประเพณีสงกรานต์สัญลักษณ์ในตำนานมีดังนี้
ศีรษะท้าวกบิลพรหม เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ความร้อนและความแห้งแล้งเพราะช่วงที่มีประเพณีสงกรานต์เป็นช่วงที่อากาศร้อนจัด
น้ำ เป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ดังภาษิตไทลื้อว่า “ดินก่อเกิด น้ำก่อเป็น (ดินเป็นแหล่งที่ให้พืชพันธุ์เกิดและน้ำทำให้มีชีวิตอยู่ได้)
น้ำยังเป็นสัญลักษณ์ของความเย็น ความสดชื่นและความสะอาด จึงเหมาะที่จะใช้เพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อกัน และใช้แสดงถึงความสะอาดผ่องแผ้วของกายและใจที่จะเริ่มชีวิตใหม่ในโอกาสขึ้นปีใหม่
นางสงกรานต์ เป็นผู้ดูแลไม่ให้ศีรษะตกถูกพื้นดิน ทำให้ไม่เกิดภัยพิบัติน่าจะเป็นเพราะสตรีเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้ทำหน้าที่เป็นแม่ เลี้ยงดูและคอยปกป้องคุ้มครองลูก จึงเหมาะที่จะช่วยคุ้มครองโลกให้ร่มเย็น และอุดมสมบูรณ์
ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีของสังคมเกษตรกรรม คนไทยในภาคกลางมีประกาศสงกรานต์ซึ่งแสดงให้เห็นคติความเชื่อทางโหราศาสตร์โดยนำเรื่องธิดาท้าวกบิลพรหมซึ่งเรียกกันว่านางสงกรานต์มาทำนายเกี่ยวกับผลผลิตทางเกษตรกรรมและเหตุการณ์บ้านเมือง
ในประกาศสงกรานต์แต่ละปีจะบอกชื่อของนางสงกรานต์ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันมาถือพานที่รองรับศีรษะพ่อมีรายละเอียดเกี่ยวกับการแต่งกาย สัตว์พาหนะ ลักษณะการนั่งนอนบนพาหนะซึ่งจะทำนายถึงความอุดมสมบูรณ์หรือความขาดแคลนของพืชพรรณธัญญาหารความสงบเรียบร้อยหรือความยุ่งยากของบ้านเมือง
เนื่องจากคนไทยให้ความสำคัญแก่บรรพบุรุษ และเคยมีการเซ่นไหว้ผีด้ำหรือผีเรือน ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษในหลายโอกาส โดยเฉพาะเมื่อขึ้นปีใหม่ สงกรานต์ยังพบการปฏิบัตินี้ในกลุ่มชนชาติไทที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา
เมื่อคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาและรับประเพณีสงกรานต์เข้ามาเป็นประเพณีการขึ้นปีใหม่จึงมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ
ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีที่ให้ความสำคัญต่อการแสดงความกตัญญูและความปรารถนาดีต่อกัน เป็นเวลาที่ลูกหลานรำลึกถึงญาติที่ล่วงลับไป และแสดงคารวะต่อญาติผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีในสังคมที่นับถือพระพุทธศาสนา จึงมีการบำเพ็ญกุศลทางศาสนา เพื่อให้ใจผ่องแผ้วก่อนการขึ้นปีใหม่ ในขณะเดียวกันก็เป็นประเพณีที่ผู้คนมีโอกาสสนุกสนาน มีการเล่นสาดน้ำและการละเล่นเพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจ
2. นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีมอญ พม่า ลาว และชนชาติไทยเชื้อสายต่างๆอันเป็นชนส่วนน้อยในจีน อินเดีย ก็ถือว่าสงกรานต์เป็นเทศกาลฉลองวันขึ้นปีใหม่ของเขาด้วยเช่นกัน
3. ภาคกลาง เรียกวันที่ 13 เมษายน ว่า “วันมหาสงกรานต์ ซึ่งวันนี้ทางการได้ประกาศให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ (13 เมษายน) ” วันที่ 14 เมษายน เรียก “วันเนา” และรัฐบาลสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณได้ประกาศให้เป็น “ วันครอบครัว (14 เมษายน) ” ส่วนวันที่ 15 เมษายน เรียก “วันเถลิงศก” คือวันเริ่มจุลศักราชใหม่
4. ทางล้านนา เรียกวันที่ 13 เมษายนว่า “วันสังขารล่อง” ซึ่งบางท่านให้ความหมายว่า หมายถึงอายุสิ้นไปอีกปี วันที่ 14 เมษายนเรียก “วันเน่า” เป็นวันห้ามพูดจาหยาบคาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่าและไม่เจริญ ส่วนวันที่ 15 เมษายนเรียก “วันพญาวัน” คือวันเปลี่ยนศกใหม่
5. ภาคใต้ เรียกวันที่ 13 เมษายนว่า “วันเจ้าเมืองเก่า” หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า” เพราะเชื่อว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ส่วนวันที่ 14 เมษายน เรียกว่า “วันว่าง” คือวันที่ปราศจากเทวดาที่รักษาเมือง
ดังนั้น ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่างๆ แล้วไปทำบุญที่วัด ส่วนวันที่ 15 เมษายน เรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือวันรับเทวดาองค์ใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลเมืองแทนองค์เดิมที่ย้ายไปประจำเมืองอื่นแล้ว
6. ตำนานสงกรานต์ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ สงกรานต์ และ นางสงกรานต์ ที่เรารู้จักกันดีเป็นตำนานที่ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้จารึกไว้ในแผ่นศิลา 7 แผ่น ติดไว้ที่ศาลารอบพระมณฑปทิศเหนือใน วัดพระเชตุพนฯ หรือ วัดโพธิ์
7. นางสงกรานต์ เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด มีด้วยกัน 7 องค์เป็นพี่น้องกัน และต่างก็เป็นบาทบริจาริกา แปลว่า นางบำเรอแทบเท้า หรือเรียกง่ายๆว่า เป็น “เมียน้อย” ของพระอินทร์ จอมเทวราช และเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมในตำนาน
8. นางสงกรานต์ มีชื่อตามแต่ละวันในสัปดาห์คือ วันอาทิตย์ ชื่อ นางทุงษะ วันจันทร์ ชื่อ นางโคราคะ วันอังคาร ชื่อ นางรากษส วันพุธ ชื่อ นางมณฑา วันพฤหัสบดี ชื่อ นางกิริณี วันศุกร์ ชื่อ นางกิมิทา วันเสาร์ชื่อ นางมโหทร
9. นางสงกรานต์ แต่ละองค์จะมีพาหนะทรงต่างกัน ตามลำดับแต่ละวัน คือ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคะขี่เสือ นางรากษสขี่หมู นางมณฑาขี่ลา นางกิริณีขี่ช้าง นางกิมิทาขี่ควาย และนางมโหทรขี่นกยูง
ซึ่งสัตว์ที่เป็นพาหนะทรงจะมิใช่ปีนักษัตรของปีนั้นๆ ตามที่หลายคนเข้าใจผิด
10. นางสงกรานต์ ในปี 2548 อันเป็นปีระกานี้ มีชื่อนางมณฑาเทวี นอนหลับตามาบนลาที่เป็นพาหนะทรง กินนมเนยเป็นภักษาหาร ทัดดอกจำปา ประดับไพทูรย์ คือแก้วสีเหลืองแกมเขียว หรือน้ำตาลเทา มีน้ำเป็นสายรุ้งกลอกไปมา อาวุธเป็นไม้เท้าและเหล็กแหลม
11. คำว่า “ดำหัว” ปกติแปลว่า “สระผม” แต่ในประเพณีสงกรานต์ล้านนา จะหมายถึง การไปแสดงความเคารพ ขออโหสิกรรมที่อาจได้ล่วงเกินในเวลาที่ผ่านมา
รวมทั้งการไปขอพรจากผู้ใหญ่ ซึ่งหมายถึงญาติผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ในเมืองหรือครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา โดยส่วนมากจะใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยไปไหว้ท่าน และท่านก็จะจุ่มแล้วเอาน้ำแปะบนศีรษะเป็นเสร็จพิธี
12. ในสมัยก่อนเมื่อใกล้ สงกรานต์ หรือ วันสงกรานต์ จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่คนแต่ก่อนเรียกว่า “ตัวสงกรานต์” เป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายไส้เดือน แต่เล็กขนาดเส้นด้าย ยาวประมาณ 2 นิ้ว มีสีเลื่อมพราย เป็นสีเขียว เหลือง แดง ม่วง เปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ จะอยู่กันเป็นฝูงในแม่น้ำลำคลอง
เมื่อกระดิกตัวว่ายน้ำจะทำให้เกิดประกายสีต่างๆสวยงามแปลกตา ถ้าจับพ้นน้ำ สีจะจางหายไป ตัวจะขาดเป็นท่อนเล็กๆและเหลวละลาย ปัจจุบันเข้าใจว่าน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
13. มูลเหตุของการก่อเจดีย์ทราย มีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ 8 หมื่น 4 พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง 8 หมื่น 4 พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร
ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้
เมื่อสุขใจได้เข้าวัด ฟังธรรม ทำบุญ บริจาคทาน และเล่นน้ำชุ่มฉ่ำแล้ว..ก็ควรจะดูแลและบำรุงกายให้แข็งแรงด้วยนะครับ..
Cr. Kapook.com, Sanook, educatepark.com
หากเมื่อยล้าอ่อนเพลียง่าย ภูมิคุ้มกันน้อย นอนไม่หลับ เลือดเดินไม่สะดวก..ขอแนะนำ..โปร-เอ็กบี: Pro-xB..คลิ๊กเลย! สกัดจากธรรมชาติ