หลายวันมานี้ หลายคนคงพอสังเกตเห็นได้ว่าในท้องฟ้าของเรานั้นปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ โดยหารู้ไม่ว่าที่ตาเรามองเห็นนั้นกลับไม่ใช่หมอก หากแต่คือฝุ่นควันที่มีมากจนเกินค่ามาตรฐาน ดังที่กรมควบคุมมลพิษได้ออกมากล่าวว่า หมอกหนาทึบที่เรามองเห็นนั้นเกิดจากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกินมาตรฐาน
มาทำความรู้จักกับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีชื่อว่า PM 2.5 ตัวการที่สร้างหมอกควันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าของกรุงเทพฯกันดีกว่ามันคืออะไร อันตรายแค่ไหน ป้องกันอย่างไร
PM 2.5 ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ขนจมูกไม่สามารถกรองได้
PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน อาจเทียบอย่างง่ายว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ เล็กขนาดที่ขนจมูกของมนุษย์นั้นไม่สามารถกรองได้ ทำให้ฝุ่นละอองชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และแทรกซึมสู่กระบวนการทำงานในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง
PM 2.5 เกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยหลัก
1. แหล่งกำเนิดโดยตรง ได้แก่
2. การรวมตัวของก๊าซอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) รวมทั้งมีสารปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิก (As) หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์
ด้วยองค์ประกอบของสารพิษเหล่านี้ ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ PM 2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ตั้งแต่ปี 2556 อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้ 1 ใน 8 ของประชากรโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร สอดรับกับรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษในอากาศเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึง 50,000 ราย ซึ่งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรนี้ส่งผลกระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่รัฐจะต้องสูญเสียเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจากมลภาวะทางอากาศนี้อีกด้วย
ค่าดัชนีคุณภาพอากาศของกรุงเทพฯ จาก The World Air Quality Index องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหามลภาวะในอากาศ
หน้ากากอนามัย N95 ราคาเท่าไร
หน้ากากอนามัย N95 มีให้เลือกซื้อหลายยี่ห้อพอสมควรค่ะ โดยราคาหน้ากากอนามัย N95 ในปัจจุบันราคาจะอยู่ที่ 45-145 บาทต่อชิ้น หรือหากซื้อเป็นแพ็ก ซื้อจำนวนเยอะก็จะได้ราคาที่ถูกกว่าราคาซื้อปลีกเล็กน้อย
หน้ากากอนามัย N95 ซื้อที่ไหนได้บ้าง
หน้ากากอนามัย N95 ซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า เช่น โฮมโปร ออฟฟิศเมท หรือสามารถสั่งซื้อออนไลน์กับบริษัทผู้ผลิตก็ได้เช่นกัน ส่วนราคาหน้ากากอนามัย N95 นั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านที่จัดจำหน่าย
หน้ากากอนามัย N95 ใส่ยังไง
เพื่อการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ควรต้องใส่หน้ากากอนามัย N95 อย่างถูกวิธีตามขั้นตอนที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี แนะนำดังต่อไปนี้ด้วยนะ
วิธีใส่หน้ากากอนามัย N95
หมายเหตุ : Fit test หมายถึง การทดสอบการแนบสนิทของหน้ากากกับใบหน้าโดยใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบหน้ากาก จากนั้นลองหายใจออกแรง ๆ กว่าปกติ ถ้าหน้ากากยังแนบสนิทจะไม่มีการรั่วของลมหายใจออกมา
ขั้นตอนถอดหน้ากากอนามัย N95
อย่างไรก็ตามหน้ากากอนามัย N95 สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 3 ครั้ง ทว่าเพื่อสุขอนามัยที่ดี และในสภาวะที่อากาศเต็มไปด้วยฝุ่นละอองมากขนาดนี้ แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยวันเดียวแล้วทิ้งจะดีกว่า
ส่วนการใช้หน้ากากอนามัย N95 ในเด็กก็อาจจะต้องดูแลเป็นพิเศษนิดหน่อย เนื่องจากหน้ากากอนามัย N95 ผลิตมาตามขนาดใบหน้าของผู้ใหญ่ การใช้หน้ากากอนามัย N95 ในเด็กอาจทำให้หน้ากากคลุมจมูกและปากได้ไม่กระชับเท่าที่ควร
และสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคปอด หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ อาจใส่หน้ากากอนามัย N95 ได้ไม่ค่อยสะดวกนัก โดยอาจจะรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวว่าเราควรใช้หน้ากากอนามัยอย่างไรให้เหมาะสม หรือทางที่ดีพยายามอย่าออกไปอยู่กลางแจ้งในเวลานาน ๆ ก็จะช่วยป้องกันความเสี่ยงของฝุ่นละอองขนาดเล็กชนิด PM2.5 ได้อีกทางหนึ่ง
หน้ากากกรองอากาศ (Respirators) สำหรับป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 และ PM 10 ควรเป็นอย่างไร
1.การเลือกหน้ากากสำหรับป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 และ PM 10
1.1 ชนิด PM10
จะเป็นหน้ากากสำหรับการป้องกันอนุภาคขนาดเล็กที่มีขนาดน้อยกว่า 10 ไมครอน ถึง 3 ไมครอนเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็น PM 2.5 จะสามารถเข้าสู่ระบบหายใจของมนุษย์ได้
หน้ากากอนามัย (Surgical masks) คือ วัตถุประสงค์ในการใช้งาน หน้ากากกรองอากาศ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดการรับสัมผัสสารปนเปื้อนในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง อนุภาค แก๊ส หรือไอระเหย หน้ากากรองอากาศสำหรับกรองอนุภาค (Particulate respirator) จะช่วยลดการรับสัมผัสอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ระบบหายใจได้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน (100 mm)
รวมถึงอนุภาคในอากาศที่ปนเปื้อนสารชีวภาพต่างๆ เช่น เชื้อรา, Bacillus anthracis (แบคทีเรียก่อโรคแอนแทรกซ์), Mycobacterium tuberculosis (แบคทีเรียก่อโรควัณโรค), ไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS), ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นต้น
หน้ากากอนามัยที่ไม่ดีในด้านประสิทธิภาพการกรองหรือความแนบกระชับที่ไม่เหมาะสม จะทำให้น้ำลาย, น้ำมูก, ละอองของเลือด, ของเหลวในร่างกาย (Body fluid), สารคัดหลั่ง (Secretion) และของเสียจากการขับถ่าย (Excretion) เข้าสู่ปากและจมูกของผู้สวมใส่ และก็ออกไปสู่บรรยากาศโดยรอบ หรือสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือในบริเวณปลอดเชื้อได้
หน้ากากอนามัยออกแบบมาให้แนบกระชับกับใบหน้าในการใช้งานคือ ช่วยดักอนุภาคขนาดใหญ่จากผู้สวมใส่ไปสู่ภายนอก และช่วยลดความเสี่ยงในการรับสัมผัสละอองหรือหยดของเหลวที่กระเด็นจากบุคคลอื่นมายังผู้สวมใส่
สำหรับกรณีของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ปนเปื้อนในอากาศเป็นปริมาณสูงนั้น โดยปกติวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดการรับสัมผัสมลพิษทางอากาศ คือพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสในช่วงเวลาที่มีปัญหามลพิษทางอากาศ ได้แก่ อยู่ในบ้านพัก อาคาร หรือในพื้นที่ที่มีอากาศสะอาด และหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
แต่หากจำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมภายนอก ควรสวมหน้ากากกรองอากาศที่เหมาะสมเพื่อช่วยลดการรับสัมผัส หน้ากากรองอากาศสำหรับกรองอนุภาค จะช่วยลดการรับสัมผัสอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ระบบหายใจได้ ประสิทธิภาพในการกรองอากาศเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง ควรเลือกหน้ากากที่มีผ่านมาตรฐานรับรอง และสวมใส่หน้ากากอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อความแนบกระชับกับใบหน้าและประสิทธิภาพในการกรองสูงสุด
อย่างไรก็ดีมีผลวิจัย โดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำการทดลองการสวมใส่หน้ากากอนามัยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อวัดประสิทธิภาพการกรองฝุ่นละออง PM2.5 โดยใช้เครื่อง Keken MT-03 เป็นตัวทดสอบหน้ากาก ซึ่งผลการทดลองพบว่า
- หน้ากากอนามัย N95 มีประสิทธิภาพการกรองฝุ่น ประมาณ 99.59%
- หน้ากากอนามัย 1 ชิ้น มีประสิทธิภาพการกรองฝุ่น ประมาณ 66.37%
- หน้ากากอนามัยซ้อนกัน 2 ชิ้น มีประสิทธิภาพการกรองฝุ่น ประมาณ 89.75%
- หน้ากากอนามัย 1 ชิ้น และกระดาษทิชชู 1 แผ่นพับครึ่ง มีประสิทธิภาพการกรองฝุ่น ประมาณ 98.05%
- หน้ากากอนามัย 1 ชิ้น และกระดาษทิชชู 2 แผ่นพับครึ่ง มีประสิทธิภาพการกรองฝุ่น ประมาณ 67.04%
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าหน้ากากอนามัย 1 ชิ้น และกระดาษทิชชู 2 แผ่นพับครึ่ง มีประสิทธิภาพการกรองฝุ่นลดลงกว่ากระดาษทิชชูเพียง 1 แผ่น ซึ่งเกิดจากความหนาของกระดาษทิชชู ที่ทำให้หน้ากากอนามัยไม่แนบติดกับใบหน้า ทำให้ฝุ่นละอองยังสามารถเล็ดลอดหน้ากากเข้าสู่ร่างกายได้
ฉะนั้น จึงควรสวมหน้ากากให้กระชับกับใบหน้าและสวมใส่ให้ถูกวิธี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น
นอกจากนีั ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคํานวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ดร. ขนิษฐา พันธุรี Thaneyhill ภาควิชาเคมีคลีนิก คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดยสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
ได้ทําการตรวจประสิทธิภาพของหน้ากากป้องกันฝุ่นต่อการป้องกันอนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ใน อากาศ โดยทําการวัดระดับรายวัน (24 ชั่วโมง) ของอนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก (PM 2.5) ภายในอาคารและ ภายนอกอาคารในอากาศจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเดือนมกราคม ถึง เดือนมิถุนายน 2551 โดยตั้งเครื่องเก็บอากาศ Minival air sampler เพื่อเก็บตัวอย่างอากาศภายนอกอาคารที่ระเบียงทางเดิน ชั้น 2 ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเก็บตัวอย่างอากาศภายในอาคารในห้องปฏิบัติการ Bioassay Research Laboratory ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พบว่าการใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นชนิด 3M 8210, N95 และ 3M 9002A สามารถลดระดับ PM 2.5 ในอากาศทั้งภายนอกและภายใน อาคารได้ประมาณ 87-96 % ส่วนหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด (Dura) สามารถลดระดับของ PM 2.5 ได้ประมาณ 48% การใช้ ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูซ้อนอยู่ใน Mask dura สามารถลดระดับ PM 2.5 ได้ดีขึ้น ถึงมากกว่า 75 - 90%
จากการทดสอบฤทธิ์ความเป็นพิษต่อยืนในสารสกัดจากตัวอย่างอากาศที่เก็บโดยการทํา Ames test พบว่าตัวอย่างสารสกัดเดือนมกราคมและกุมภาพันธุ์ทําให้เกิดการกลายของหน่วยพันธุกรรมของแบคทีเรีย ซัลโมเนลลา ชัยฟมิวเรียมสายพันธุ์ TA98 และ TAI00 ในภาวะที่มีการกระตุ้นจากเอนไซม์ (459) ส่วนสารสกัดจากอากาศเตือนอื่น ๆ ไม่พบความเป็นพิษต่อยืน การใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นชนิด 3M 8210, N95 และ 3M 9002A สามารถลดฤทธิ์ความเป็นพิษต่อยืนที่ปนเปื้อนในอากาศทั้งภายนอกและภายในอาคารได้
ในด้านความเป็นพิษต่อเซลล์โดยการทดสอบ MTT พบว่าสารสกัดฝุ่นเดือนมกราคม กุมภาพันธุ์ และ พฤษภาคม-มิถุนายน ที่ความเข้มข้น 100 qg/ml มีความเป็นพิษต่อเซลล์ปอด (A549) และเซลล์เม็ดเลือดขาว (1-774.1) สามารถทําให้เซลล์ถุงลมปอด A-549 ตายประมาณ 40%
การใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นชนิด Dura ไม่ สามารถป้องกันอันตรายได้ เพราะจํานวนเซลล์ที่ตายไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม แต่มีแนวโน้มว่าหน้ากาก ป้องกันฝุ่นชนิด 3M 8210, N95 และ 3M 9002A ลดความเป็นพิษของสารสกัดต่อเซลล์ 4-549 ได้ เพราะสาร สกัดจากอากาศที่ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นทั้งสองชนิตทําให้เซลล์ A-549 ตายน้อยลงประมาณ 20 %
และการ ใส่กระดาษทิชชูซ้อนลงไปในหน้ากากชนิด Dura อาจจะช่วยลดความเป็นพิษต่อเซลล์ลงได้ ตัวอย่างอากาศ ทั้งจากภายนอกและภายในอาคารที่เก็บในเดือนมกราคมและกุมภาพันธุ์ มีความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว 1-774. และฤทธิ์เป็นพิษอย่างรุนแรง เพราะสามารถทําให้เซลล์ตายมากกว่า 80 % และฤทธิ์ทําลายเซลล์นี้ ขึ้นกับความเข้มข้นและเวลาที่ผสม การใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นทุกชนิดไม่สามารถป้องกันความเป็นพิษต่อ เซลล์ 1-774.1 ได้
คณะผู้วิจัยได้นําหน้ากากป้องกันฝุ่นชนิดต่างๆ มาทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายจาก ฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ในอากาศ ทําการศึกษา โดยใช้เครื่องมือเก็บตัวอย่างอากาศ คือ AIRmetrics MiniVol portable Sampler และเก็บอากาศในช่วงที่อากาศเชียงใหม่มีมลภาวะระดับสูง (เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2551)
โดยเปรียบเทียบระดับ 24 ชั่วโมงของ PM 2.5 ในตัวอย่างอากาศที่เก็บเมื่อมีหน้ากากป้องกันฝุ่น กับ ตัวอย่างอากาศเมื่อไม่มีหน้ากาก จากการทดสอบประสิทธิภาพของการใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นชนิดต่าง ๆ พบว่ามีหน้ากากบางชนิดสามารถลดระดับ 24 ชั่วโมงของอนุภาคฝุ่น PM 2.5 ในอากาศได้
ผลจากการวิจัยครั้งนี้มีข้อแนะนําได้ว่า อาจใช้หน้ากากชนิด 3M 8210 หรือ 3M 9002A หรือหน้ากากชนิดที่ใช้ทั่วไปในห้องผ่าตัด (Durat mask) เพราะสามารถลดระดับของอนุภาคฝุ่น PM 2.5 ได้ โดยหน้ากากชนิด 3M 8210 หรือ 3M 9002A สามารถกรองอนุภาค PM 2.5 ได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่หน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด (Dura mask) ลดระดับ PM 2.5 ลงไปได้ปานกลาง แต่อาจจะเพิ่มขึ้นได้โดยเพิ่มผ้าเช็ดหน้าหรือ กระดาษทิชชูประกบลงไปในหน้ากากชนิดนี้ ส่วนการใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขาวม้าหรือหน้ากากผ้าที่ประชาชนทําขึ้นมาเอง ไม่สามารถป้องกันอันตรายจากฝุ่น PM 2.5 ในอากาศได้
การวิจัยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ทดสอบประสิทธิภาพของหน้ากากป้องกันฝุ่นเพื่อสามารถใช้แนะนําประชาชนที่จะป้องกันตนเองเบื้องต้น เมื่อต้องเผชิญกับระดับอนุภาค PM2.5 หรือ PM10 ในระดับวิกฤต
2. มาตรฐานรับรองสำหรับหน้ากากกรองอากาศชนิดกรองอนุภาค
มาตรฐานรับรองสำหรับหน้ากากกรองอากาศชนิดกรองอนุภาค ที่ได้รับการยอมรับระดับนานาประเทศ ได้แก่ มาตรฐานอเมริกา (NIOSH Standard, NIOSH 42 CFR 84), มาตรฐานยุโรป (European Standard, EN 149), มาตรฐานออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ (Australia/New Zeeland Standard, AS/NZS 1761) มีการแบ่งชั้นคุณภาพหรือประเภทชั้นกรองและประสิทธิภาพการกรอง ดังนี้
ตารางที่ 1 ประเภทชั้นกรองและประสิทธิภาพการกรองของหน้ากากกรองอากาศชนิดกรองอนุภาค ตามมาตรฐานอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์
3.สรุปรายละเอียดความแตกต่างระหว่างหน้ากากกรองอากาศ หน้ากากอนามัย และหน้ากากชนิดสวมสบาย
ความแตกต่างของหน้ากากทั้ง 3 ประเภท การใช้งาน มาตรฐานรับรอง และความแนบกระชับ สรุปไว้ตามตารางข้างล่าง ดังนี้
หน้ากากชั่วคราว
เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องหยิบใช้หน้ากากเพื่อป้องกันปัญหาจากฝุ่นพิษเกินค่ามาตรฐาน จนทำให้หน้ากาก N95 ที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ดีที่สุด ขาดตลาด
ยกทรงก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Emergency Bra เป็นผลงานการคิดค้นของ Dr.Elena Bodnar นักวิทยาศาสตร์ชาวยูเครน ที่นอกจากสวมใส่เป็นยกทรงแล้ว ยังดัดแปลงเป็นหน้ากากป้องกันสารพิษ สารเคมี ฯลฯ โดยแรงผลักดันที่ทำให้เธอคิดค้น Emergency Bra ขึ้นมา ก็สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เมืองเชียร์โนบีล ระเบิด เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 29 สารกัมมันตภาพรังสีที่รั่วไหล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยจำนวนมาก เธอจึงพยายามคิดค้นอุปกรณ์ป้องกันสารพิษจากสิ่งใกล้ตัว ที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงที กระทั่งกลายมาเป็นยกทรงดังกล่าวในที่สุด
ส่วนปัญหา หน้ากาก N95 ขาดตลาดในบ้านเรา ล่าสุดก็มีคำแนะนำจาก ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ดร.ขนิษฐา พันธุรี Thaneyhill คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเดียวกันว่า หน้ากากธรรมดาประกบกับกระดาษทิชชู 2 แผ่น มีประสิทธิภาพป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 90.80 % จึงสามารถนำมาใช้ทดแทนในช่วงที่หน้ากาก N95 ยังขาดแคลนได้
ค่า PM 2.5 ตามกำหนดองค์การอนามัยโลก
ในปี 2548 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำแนะนำเพิ่มเติมในการกำหนดค่าเป้าหมายของค่ามาตรฐานเฉลี่ย 1 ปี แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ 35, 25, 15 และ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนาของประเทศ โดยค่าเฉลี่ยรายปีและค่าเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมงขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 10 และ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ
แต่ไทยได้มีการกำหนดค่าไว้สูงกว่าค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก โดยมีค่าเฉลี่ยรายปีและค่าเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมงไว้ที่ 25 และ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามข้อสรุปขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ทำให้เป็นประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษที่จะสามารถปล่อยมลพิษทางอากาศได้มากกว่าหลายประเทศ
กรีนพีซ ได้รายงานค่าฝุ่นละอองจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษทั้งหมด 61 แห่งใน 29 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่ามีจำนวนสถานีที่ตรวจวัดและรายงานค่า PM 2.5 อยู่เพียง 25 สถานีใน 18 จังหวัด พบค่า PM 2.5 สูงสุดอยู่ที่จังหวัดสระบุรี (หน้าพระลาน) ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรม จำนวน 36 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และรองลงมาคือกรุงเทพฯ (ธนบุรี) จำนวน 31 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งพบว่ามาจากการคมนาคมสัญจร
โดยในจำนวนสถานีทั้งหมดที่รายงานมา พบว่ามีหนึ่งสถานีในกรุงเทพฯ (เคหะชุมชนดินแดง) ที่ไม่พบค่า PM 2.5 เนื่องจากเครื่องมือขัดข้อง
หลังจากนั้น กรีนพีซได้นำค่า PM 2.5 เข้าไปวัดร่วมกับผลดัชนีคุณภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ พบว่าผลดัชนีคุณภาพอากาศย้อนหลัง 3 ปี คือปี 2558-2560 นั้นมีมลพิษเกินค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกและค่ามาตรฐานของประเทศไทย เป็นช่วงเวลา 3 ปีซ้อนที่พบว่าค่ามาตรฐานมลพิษในอากาศของประเทศไทยยังคงแย่เหมือนเดิม
ไม่ใช่เพียงแค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่กำลังจะต้องเผชิญกับปัญหามลภาวะครั้งใหม่ เพราะการขยายฐานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคใต้ที่จะกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือแม้กระทั่งแผนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยที่ยังไม่เคยได้มีการกล่าวถึงการจัดการกับตัวการของปัญหาสุขภาพอย่าง PM 2.5 ที่กำลังจะเพิ่มขึ้นไปตามการพัฒนาของเมือง สวนทางกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ซึ่งเป็นหนึ่งหมุดหมายในร่างยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ที่ระบุไว้ว่าประเทศไทยจะต้องดำเนินการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมตามที่ลงนามรองรับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ขององค์การสหประชาชาติ
ดังนั้นปัญหามลภาวะจาก PM 2.5 จึงเป็นสิ่งที่ควรจัดการควบคู่ไปกับแผนพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ เพื่อพัฒนาคุณภาพอากาศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยมีตัวอย่างจากหลายประเทศที่ประสบผลสำเร็จในการควบคุมมลพิษในอากาศ ซึ่งเริ่มแรกมีการกำหนดค่าการปล่อย PM 2.5 ไว้ใกล้เคียงกับไทย แต่ปัจจุบันประเทศเหล่านี้ได้ดำเนินเรื่องนี้ในเชิงนโยบายเพื่อคุ้มครองสุขภาพพลเมืองในประเทศ เช่น สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, อเมริกา ที่ปัจจุบันมีค่า PM 2.5 อยู่ที่ 12, 14 และ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ใกล้เคียงกับค่าเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก และเอาจริงเอาจังในการคุ้มครองประชาชนด้วยจัดการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งสาธารณะเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็นทางเลือกหลัก ตลอดจนควบคุมการปล่อยสารพิษของโรงงานอุตสาหกรรม สาเหตุของปัญหามลภาวะอย่างจริงจัง
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นรับรู้ในเรื่องของ PM 2.5 อยู่นี้ องค์การอนามัยโลกและนานาชาติก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการหันไปจับตามองและถกกันในเรื่องของฝุ่นที่มีขนาดเล็กระดับนาโน (Environmental Nano-pollutants: ENP) และหาวิธีการรับมือเพื่อคุ้มครองประชาชนอย่างจริงจัง จากมลภาวะที่กำลังก่อตัวเป็นหมอกควันขึ้นไปเกาะตัวบนชั้นโอโซน แล้วย้อนกลับลงมาเพื่อสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์โดยตรง
อาจต้องมาดูกันว่าอากาศหมอกควันที่แผ่คลุมท้องฟ้าอยู่ในขณะนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างไร เพราะนี่ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของฤดูกาลเท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นจากการสะสมของสารพิษที่มากขึ้นทุกขณะโดยขาดการรับมืออย่างจริงจั