
อาการของเปลือกตาอักเสบ
อาการทั่วไปที่พบได้จะมีลักษณะดังนี้
- แสบตา มีอาการระคายเคือง และตาแดง
- เจ็บเปลือกตา ส่วนใหญ่แล้วจะอักเสบพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง แต่ข้างใดข้างหนึ่งอาจมีอาการรุนแรงกว่า
- มีอาการอักเสบและหนังตามีลักษณะมัน
- มีขี้ตามากโดยเฉพาะตอนเช้า รู้สึกเหนอะหนะที่ตาเนื่องจากมีของเหลวถูกขับออกมา
- มีสะเก็ดเล็กๆ คล้ายรังแคที่เปลือกตา
- กะพริบตาบ่อยกว่าปกติ
- ตาแฉะ
- ขนตาร่วง
- ขนตาขึ้นผิดปกติ โดยงอกแล้วงอเข้าด้านในทำให้ทิ่มตา
- ดวงตาไวต่อแสง
อาการของเปลือกตาอักเสบชนิดที่เกิดจากเปลือกตาติดเชื้อแบคทีเรียสแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcal blepharitis)
เป็นชนิดที่มักพบในคนที่มีอายุน้อย เชื้อต้นเหตุมักอยู่ที่บริเวณใบหน้า โดยผู้ป่วยจะมีอาการ
-ระคายเคืองตา
-แสบตา
-คันตา

-เปลือกตาหรือหนังตาแดง
-น้ำตาไหล
-รู้สึกเหมือนมีผงหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ทำให้ตามัว ๆ ซึ่งอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ อาการมักจะเป็นมากในตอนเช้า พอสายอาการจะดีขึ้น (ต่างกับโรคตาแห้งที่ตอนเช้ามักไม่มีอาการ แต่จะมีอาการมากในตอนบ่ายหรือตอนเย็น)
-เปลือกตาจะบวม โดยเฉพาะบริเวณขอบหนังตาจะเห็นหลอดเลือดบริเวณนั้นขยายตัว
-มีสะเก็ดรอบ ๆ ขนตาเป็นวง ๆ ร่วมกับมีอาการเยื่อบุตาจะแดง (ตาแดง)
-ขนตามักเปลี่ยนเป็นสีขาว มีขนตาร่วงได้มากกว่าเปลือกตาอักเสบชนิด Seborrheic blepharitis
-บริเวณส่วนผิวหนังของเปลือกตาอาจเป็นแผลถลอก มีเนื้อเยื่อหลุดลอกเป็นแผลให้เห็น ในขณะที่เปลือกตาอักเสบชนิด Seborrheic blepharitis มักไม่ค่อยพบอาการนี้อาการเปลือกตาอักเสบชนิดที่เป็นการอักเสบของผิวหนังรอบ ๆ ต่อมสร้างไขมันที่เปลือกตา (Seborrheic blepharitis)
เป็นชนิดที่มักพบในคนวัยกลางคนและผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic dermatitis) โดยผู้ป่วยจะมีอาการ
-คล้ายกับเปลือกตาอักเสบชนิด Staphylococcal blepharitis แต่จะมีอาการน้อยกว่า มักพบได้ในคนหน้ามัน
-มีสะเก็ดเป็นเกล็ดมัน ๆ แบบไขมันที่หนังตา ขนตา ขนคิ้ว
อนึ่ง เปลือกตาอักเสบทั้ง 2 ชนิดอาจพบภาวะอักเสบเป็นแผลเล็ก ๆ บริเวณด้านล่างกระจกตา (Punctate epithelial erosion) ได้ แต่จะพบในเปลือกตาอักเสบชนิด Staphylococcal blepharitis มากกว่า และยังอาจพบการอักเสบที่ขอบกระจกตา (Marginal keratitis) ได้มากกว่าด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เปลือกตาอักเสบทั้ง 2 ชนิดเมื่อเป็นนานเข้าจะทำให้เกิดภาวะตาแห้งจากการขาดน้ำตาชั้น Aqueous ได้ ดังนั้น ในผู้ป่วยบางรายจึงอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการตาแห้งก็ได้
IMAGE SOURCE : www.pbase.com, diseasespictures.com
IMAGE SOURCE : www.medicinenet.com, www.medfusion.net, medicalpoint.org, diseasespictures.com
หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อย ๆ แสดงว่าอาจมีปัญหาของโรคเปลือกตาอักเสบได้ เช่น ตาเป็นกุ้งยิง, เปลือกตาบวม แดง มีตุ่มคล้ายสิว, หนังตาแดง มีคราบขี้ตาหรือสะเก็ดบริเวณขนตา, ขอบเปลือกตามีตุ่มใส ๆ, ขนตาเก, ตาแห้ง ตาแดง คันตา เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล
วิธีรักษาเปลือกตาอักเสบ
1. การทำความสะอาดเปลือกตา (โดยเฉพาะบริเวณรูเปิดของต่อมไมโบเมียน)
เพื่อความสะอาด สบายตา และลดปริมาณเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่อยู่ขอบเปลือกตาและรอบเปลือกตา โดยควรทำความสะอาดวันละ 2-4 ครั้ง (ถ้าอาการดีขึ้นให้ลดลงเป็นวันละ 1-2 ครั้ง) โดยมีวิธีการดังนี้
1.1 ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเริ่มทำความสะอาดเปลือกตา
IMAGE SOURCE : www.oculoplastics.co.uk
1.2 ใช้ไม้พันสำลีหรือสำลีแผ่นที่ไม่มีขุย นำมาชุบกับน้ำอุ่นต้มสุก หรือชุบกับน้ำอุ่นผสมแชมพูสระผมเด็กที่ระคายเคืองต่อผิวหรือตาน้อยที่สุด (แต่ต้องระวังอย่าให้เข้าตา เพื่อป้องกันการแสบตาหรือระคายเคืองตา เนื่องจากไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับดวงตาโดยตรง) หรือจะชุบกับผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดเปลือกตาโดยเฉพาะ (Lid Scrub) ก็ได้จะดีมาก เช่น OCuSOFT® ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 สูตร คือ
สูตรออริจินัล (Original) สำหรับใช้ทำความสะอาดเปลือกตาเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการเปลือกตาอักเสบในระยะเริ่มแรกหรือมีความเสี่ยงที่จะเป็น (เช่น ผู้ที่แต่งหน้า ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ) เพราะสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคของต่อมไมโบเมียนที่ขอบเปลือกตาได้ (เช่น ตากุ้งยิง เปลือกตาอักเสบ เป็นต้น)
สูตรพลัส (Plus) สำหรับใช้ทำความสะอาดเปลือกตาในผู้ป่วยที่มีภาวะเปลือกตาอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ หรือผู้ป่วยที่มีอาการเปลือกตาอักเสบร่วมกับการติดเชื้อ หรือผู้ป่วยที่พบว่าที่ขนตามีเชื้อไรเดโมเด็กซ์ (Demodex) โดยนำมาใช้เช็ดทำความสะอาดเปลือกตาและขอบตาโดยไม่ต้องล้างออก
1.3 ชุบพอหมาด ๆ แล้วให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณเปลือกตาและขอบเปลือกตาเบา ๆ ประมาณ 30 วินาที (ไม่ควรถูเปลือกตาแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดแผลได้)
1.4 ล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรืออาจจะไม่ต้องล้างออกถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับทาทิ้งไว้โดยเฉพาะ
ในระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางบริเวณขอบตาทุกชนิดจนกว่าโรคจะหายดี แต่หากจำเป็นต้องใช้ ต้องรีบเช็ดออกทันทีหลังเสร็จภารกิจ
![5 วิธีลดอาการตาบวมช้ำจากการร้องไห้ | [invalid] Ladyissue Magazine1 | LINE TODAY](https://obs.line-scdn.net/0hdCelWTMSO2xYFRTuIOtEO2FDOANreShvPCNqbwR7ZVh9cXg8YCN8AntANlx1d3wyMXBxDntQZFp2JXRobHs/w644)
2. การประคบอุ่นที่เปลือกตา
เป็นการรักษาหลัก ๆ สำหรับภาวะเปลือกตาอักเสบ เพราะความอุ่นจะช่วยทำให้มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณที่อักเสบและช่วยละลายไขมันที่เป็นสารตกค้างอยู่ได้ ซึ่งจะทำให้ไขมันที่อุดตันไหลออกมาได้ง่าย และช่วยให้อาการอักเสบที่เป็นอยู่ลดลง
โดยอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการประคบอุ่นที่เปลือกตาได้มีหลายอย่าง เช่น
-ผ้าชุบน้ำอุ่น,
-ถุงเจลประคบร้อน-เย็น (ลักษณะเป็นถุงพลาสติกหนาสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในบรรจุเจลสีน้ำเงินฟ้า ก่อนนำมาใช้ให้นำถุงเจลไปแช่น้ำร้อนเสียก่อน),
-ถุงน้ำร้อน,
-น้ำร้อนใส่ขวดแก้วขนาดเล็กที่ปิดฝาสนิท,
-ไข่ต้มสุกที่อุ่นร้อน,
-ข้าวหุงสุกที่อุ่นร้อนที่นำมาใส่ในถุงพลาสติก
-ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น Warming eye mask เป็นต้น
วิธีการประคบอุ่น
ก่อนทำการประคบให้นำอุปกรณ์ประคบอุ่นมาทดสอบอุณหภูมิที่หลังมือเสียก่อน โดยอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ ประมาณ 40 องศาเซลเซียส (ไม่ควรร้อนจัด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตาได้)
1. ให้หลับตาลง แล้ววางผ้าบาง ๆ ไว้ 1 ชั้น ก่อนที่จะนำอุปกรณ์สำหรับประคบอุ่นวางลงไป
2. วางอุปกรณ์สำหรับประคบอุ่นลงบนเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง นานติดต่อกันอย่างน้อย 5-15 นาที หากอุปกรณ์ที่นำมาประคบอุ่นมีอุณหภูมิลดลงมาก ให้นำไปอุ่นร้อนใหม่ แล้วประคบต่อจนครบตามเวลา (แนะนำว่าควรมีอุปกรณ์ประคบอุ่นสำรองเผื่อไว้ด้วย)
3. ในช่วงแรกให้ประคบอุ่นวันละ 2-4 ครั้ง ถ้ามีอาการน้อยลงหรือเมื่ออาการดีขึ้นแล้วให้ลดลงเป็นวันละประมาณ 1-2 ครั้ง
4. การนวดเปลือกตา ให้ดึงหัวตาและหางตาให้ตึง แล้วนวดเปลือกตาบนโดยการกดรูดจากบนลงล่าง ส่วนตาล่างให้นวดโดยการกดรูดจากล่างขึ้นบน ซึ่งจะเป็นการนวดตามการวางตัวของต่อมไมโบเมียน (Meibomian gland) ที่ขอบเปลือกตา เพื่อให้ไขมันที่อุดตันอยู่ในต่อมระบายออกมา นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์บางอย่างที่ช่วยในการนวดเปลือกตาได้อีกด้วย เช่น แท่งหลอดแก้ว ไม้พันสำลี หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอื่น ๆ เป็นต้น

3. ไปพบแพทย์
หากดูแลตนเองในเบื้องต้นตามข้อ 1-2 แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือจักษุแพทย์ แต่ถ้ามีอาการมากตั้งแต่แรกหรือมีอาการเลวลงในระหว่างการดูแลตนเองต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์จะให้การรักษาเปลือกตาอักเสบตามแนวทางในข้อถัดไป

4. การใช้ยาป้ายตา/ยาหยอดตา มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ดังนี้
- ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาขี้ผึ้งคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) ที่ใช้ป้ายตาบริเวณขอบเปลือกตาหลังทำความสะอาดเปลือกตาแล้วในช่วงก่อนเข้านอน, ยาหยอดตาอะซิโทรมัยซิน (Azithromycin), ยาหยอดตาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) และยาหยอดตากลุ่มควิโนโลน (Quinolones) เป็นต้น (มักใช้ยาปฏิชีวนะป้ายตาในกรณีที่เป็นเปลือกตาอักเสบชนิด Staphylococcal blepharitis แต่หากเป็นเปลือกตาอักเสบชนิด Seborrheic blepharitis อาจไม่จำเป็นต้องป้ายยาปฏิชีวนะ แต่ควรให้การรักษาผิวหนังรอบ ๆ ตา ซึ่งมักจะมีโรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์มร่วมด้วย ร่วมไปกับการรักษาควบคุมโรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม) และถ้ามีการอักเสบมากของเปลือกตาอาจใช้ยาป้ายตาชนิดที่มีสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดการอักเสบร่วมด้วย ทั้งนี้ควรให้จักษุแพทย์เป็นผู้แนะนำชนิดของยาที่จะใช้ แต่หากใช้ยาปฏิชีวนะดังกล่าวแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานร่วมด้วย
- ยาหยอดตาสเตียรอยด์ มักใช้เพื่อลดการอักเสบในผู้ป่วยที่มีอาการของกระจกตาอักเสบร่วมด้วยหรือที่มีการอักเสบรุนแรง โดยจะใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งการใช้ยานี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น เนื่องจากยาอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอันตรายได้
- น้ำตาเทียม มักใช้ในกรณีที่เป็นการอักเสบเรื้อรังแล้วผู้ป่วยมีอาการตาแห้งร่วมด้วย เพื่อช่วยหล่อลื่นผิวตาซึ่งมักจะแห้งเนื่องจากน้ำตาระเหยเร็วไป และช่วยชะล้างสารที่กระตุ้นการอักเสบ ซึ่งควรใช้น้ำตาเทียมชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย ให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาได้นาน มีไขมันเป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยทดแทนชั้นไขมันที่ลดน้อยไป มีค่าออสโมลาลิตี (Osmolality) ต่ำ และมีคุณสมบัติที่ช่วยสมานแผลที่ผิวกระจกตาได้ดี
5. การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน แพทย์อาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานให้ในผู้ป่วยบางรายร่วมด้วย (โดยเฉพาะในรายที่เป็นเปลือกตาอักเสบชนิด Staphylococcal blepharitis ซึ่งผู้ป่วยมักจะเป็นอย่างเรื้อรัง และการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดป้ายตาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ) ซึ่งโดยทั่วไปแพทย์จะให้รับประทานทานนานประมาณ 6-8 สัปดาห์ (หากรับประทานยาแล้วหายใจไม่ออก หน้าบวม มีผื่นขึ้น หรือมีปัญหาในการใช้ยาปฏิชีวนะ ควรพบแพทย์ทันที) ซึ่งยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งจ่ายมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ตัวอย่างเช่น
- ยาเตตราไซคลีน (Tetracycline) ขนาดเม็ดละ 250 มิลลิกรัม ใช้รับประทานหลังอาหารทันที ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 4 ครั้ง (ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร)
- ยาดอกซีไซคลีน (Doxycycline) ขนาดเม็ดละ 100 มิลลิกรัม ใช้รับประทานหลังอาหารทันที ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร)
- ยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ขนาดเม็ดละ 250 มิลลิกรัม ใช้รับประทานก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ซึ่งมักใช้สำหรับผู้ป่วยที่แพ้ยาทั้งสองชนิดดังกล่าว
6. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเพื่อช่วยให้รูของต่อมไมโบเมียนที่ขอบเปลือกตาเปิด หรือเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนจากเปลือกตาอักเสบเรื้อรัง เช่น การผ่าตัดแก้ไขเปลือกตาเพื่อไม่ให้ขนตาเข้าเขี่ยกระจกตา กระจกตามีแผลเป็นขนาดใหญ่ เป็นต้น
7. การรักษาอื่น ๆ เช่น การถอนหรือจี้ขนตาเก การอุดท่อน้ำตา เป็นต้น
8. ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และควรไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่าง ๆ เลวลง หรือมีอาการทางสายตา (เช่น มองเห็นภาพไม่ชัด) หรือเมื่อมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่
โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกถ้าไม่รักษาความสะอาดของเปลือกตาและใบหน้าให้ดี และ/หรือไม่สามารถควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ดี แต่ถ้าผู้ป่วยมีการดูแลสุขภาพอนามัยที่บริเวณเปลือกตา ใบหน้า ตลอดจนสุขภาพร่างกายที่ดีแล้ว ก็จะทำให้โรคหายเร็วและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
IMAGE SOURCE : www.theralife.com
สาเหตุของเปลือกตาอักเสบ
สาเหตุที่ทำให้เปลือกตาอักเสบ ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเปลือกตาอักเสบ ได้แก่
- การได้รับสิ่งสกปรกบริเวณเปลือกตา เช่น ฝุ่นละออง การเขียนขอบตา การติดขนตาปลอม การใช้เครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา การสักขอบเปลือกตา เป็นต้น และยังรวมไปถึงการใส่เลนส์สัมผัสหรือคอนแทคเลนส์เป็นประจำด้วย
- การมีโรคต่าง ๆ รอบดวงตา เช่น ตาแห้ง ขนตางอกผิดทิศทาง เยื่อบุตาอักเสบ กระจกตาอักเสบ มีเหาที่ขนตา เป็นต้น
- การมีภาวะภูมิแพ้ของตา รวมทั้งโรคทางระบบร่างกาย เช่น โรคภูมิแพ้, โรคแพ้ภูมิตนเอง, โรคต่อมไมโบเมียนทำงานผิดปกติ (MGD), โรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic dermatitis), โรคโรซาเซีย (Rosacea), ผู้มีภาวะหมดประจำเดือน, มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง เป็นต้น
- การได้รับยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ ยารักษาโรคซึมเศร้า ยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
![Sriphat Medical Center ] ถนอมดวงตาคู่สวยอย่างไร ให้ไกลความเสี่ยง เปลือกตาอักเสบ](https://t1.bdtcdn.net/photos/2020/05/5ec87e417873d80c9e3993a1_800x0xcover_zAIaGerC.jpg)
วิธีป้องกันเปลือกตาอักเสบ
- การดูแลรักษาความสะอาดเปลือกตาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะเปลือกตาอักเสบได้ โดยควรรักษาความสะอาดบริเวณเปลือกตา ผิวหนังรอบตา และที่ใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้เครื่องสำอางจะต้องล้างออกให้สะอาดก่อนเข้านอนทุกครั้ง
- รักษาและควบคุมโรคต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเปลือกตาอักเสบให้ดี
ภาวะแทรกซ้อนของเปลือกตาอักเสบ
เปลือกตาอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออาการอื่นตามมาได้ แต่มักไม่ใช่อาการรุนแรง เช่น
- ตาแห้ง เป็นภาวะที่พบบ่อยเมื่อเป็นเปลือกตาอักเสบ เกิดจากต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ หรือน้ำตาระเหยเร็วเกินไป ทำให้ตาแห้ง อักเสบ และเจ็บตา นอกจากนี้ ปัญหาโรคผิวหนังที่ทำให้เปลือกตาอักเสบ เช่น โรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม และโรคโรซาเซีย (Rosacea) ก็ทำให้ตาแห้งเช่นเดียวกัน
- เยื่อบุตาอักเสบ เกิดขึ้นเมื่อเยื่อบุตาติดเชื้อแบคทีเรียจากเปลือกตา แต่อาการไม่ร้ายแรงและไม่ทำลายการมองเห็น อาการจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ และไม่จำเป็นต้องรักษา อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หากคิดว่าเป็นเยื่อบุตาอักเสบ และหลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคเลนส์จนกว่าจะหายเป็นปกติ แพทย์อาจสั่งให้หยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะหากอาการไม่ดีขึ้นหรือติดเชื้อ
- ตากุ้งยิง เป็นอาการอักเสบบริเวณขอบเปลือกตา และเป็นตุ่มบวม มีหนอง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หากไม่รุนแรงมากก็รักษาได้ด้วยการประคบร้อน แต่ควรไปพบแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น ซึ่งแพทย์อาจต้องเจาะหนองออก
- ถุงน้ำมัยโบเมียน เป็นผลจากต่อมน้ำตามัยโบเมียนซึ่งมีหน้าที่ผลิตไขมันเกิดอาการอักเสบ ทำให้มีอาการบวมภายในเปลือกตา การประคบร้อนช่วยลดอาการบวมได้ แต่ปกติแล้วถุงน้ำจะหายไปเอง หากติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อใช้ยาปฏิชีวนะรักษาอาการ
- กระจกตาเสียหาย กรณีที่อาการเปลือกตาอักเสบรุนแรงมาก และไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษา อาจทำให้ผิวของกระจกตาเสียหาย หรือกระจกตาอักเสบได้ ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์หากมีอาการเจ็บตาอย่างฉับพลัน มองเห็นไม่ชัด และตาไวต่อแสง เพราะอาจเป็นกระจกตาอักเสบ
Cr. medthai.com, pobpad.com
บทความที่น่าสนใจตากุ้งยิงเกิดจากอะไร?จอประสาทตาเสื่อม จะหายหรือไม่?