เช็งเม้ง ตรงกับวันที่ 5 เมษา ทุกปี คนเชื้อสายจีนทำอะไรกันบ้าง
ชิงหมิง (qing-ming, อักษรจีนตัวเต็ม: 清明節,อักษรจีนตัวย่อ: 清明节, พินอิน: Qīngmíngjié) หรือเช็งเม้ง, เชงเม้ง (ตามสำเนียงแต้จิ๋ว)หรือ "เฉ่งเบ๋ง" (ในสำเนียงฮกเกี้ยน) "เช็ง"หรือ"เฉ่ง" หมายถึง สะอาด บริสุทธิ์ และ "เม้ง"หรือ"เบ๋ง" หมายถึง สว่าง
"เช็งเม็ง" หมายความถึง ช่วงเวลาแห่งความแจ่มใส รื่นรมย์
เช็งเม้งในประเทศจีน เริ่มต้นประมาณ 4-5 เมษายน ไปจนถึง 19-20 เมษายน เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศจะคลายความหนาวเย็น เริ่มเข้าสู่ความอบอุ่น มีฝนตกปรอย ๆ มีบรรยากาศสดชื่น ท้องฟ้าใสสว่าง (เป็นที่มาของชื่อ เช็งเม้ง)
สำหรับในประเทศไทยเทศกาลเช็งเม้ง ถือวันที่ 5 เมษายนของทุกปีเป็นหลัก (บางปีจะเป็นวันที่ 4 เช่น เชงเม้งในปี 2559,2560) แล้วนับวันก่อนถึง 3 วัน และเลยไปอีก 3 วัน รวมเป็น 7 วัน (2 - 8 เมษายน) แต่ในปัจจุบันเนื่องจากมีปัญหาการจราจรคับคั่ง เลยขยายช่วงเวลาเทศกาลให้เร็วขึ้นอีก 3 สัปดาห์ (ประมาณ 15 มีนาคม - 8 เมษายน) แต่ในภาคใต้บางพื้นที่ เช่น จังหวัดตรังจะจัดเร็วกว่าที่อื่น 1 วัน ประมาณวันที่ 4 เมษายนของทุกปี
ประเพณีที่สำคัญมากที่สุดของของชาวจีน คือ ไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน ฮวงซุ้ย(แต้จิ๋ว) แต่คนฮกเกี้ยนเรียกว่า บ่องป้าย เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นเรื่องความกตัญญูเป็นสำคัญ
วันเช็งเม้ง เป็นประเพณีไหว้บรรพบุรุษของชาวจีน
วันเช็งเม้ง หรือ เทศกาลเช็งเม้ง เป็นการทำพิธีเซ่นไหว้และปัดกวาดหลุมศพบรรพบุรุษ โดยถือว่า เป็นประเพณีที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมการฌาปนกิจศพ เนื่องจากตามบันทึกทางประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า"สร้างหลุมศพไม่ต้องสร้างเนินสุสาน" ดังนั้น จึงไม่เคยมีบันทึกถึงการทำความสะอาดเนินสุสานมาก่อน
แต่ในเวลาต่อมา เมื่อเริ่มมีความนิยมสร้างหลุมศพโดยสร้างเนินสุสานด้วยในภายหลัง จึงทำให้ประเพณีการเซ่นไหว้ที่สุสานเกิดขึ้น จนกลายเป็นประเพณีที่ละเว้นไม่ได้มาจนถึงปัจจุบันนี้

ตำนานการเกิดวันเช็งเม้ง
ในยุคชุนชิว องค์ชายฉงเอ่อแห่งแคว้นจิ้น หนีภัยออกนอกแคว้นไปมีชีวิตตกระกำลำบากนอกเมือง โดยมีเจี้ยจื่อทุยติดตามไปดูแลรับใช้
เจี้ยจื่อทุยมีจิตใจเมตตาถึงขนาดเชือดเนื้อที่ขาของตนเป็นอาหารให้องค์ชายเสวยเพื่อประทังชีวิต ภายหลังเมื่อองค์ชายฉงเอ่อเสด็จกลับเข้าแคว้นและได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น นาม จิ้นเหวินกง และได้สถาปนาตอบแทนขุนนางทุกคนที่เคยให้ความช่วยเหลือตน แต่ลืมเจี้ยจื่อทุยไป นานวันเข้าจึงมีคนเตือนถึงบุญคุณเจี้ยจื่อทุย จิ้นเหวินกงเพิ่งนึกขึ้นไป จึงต้องการตอบแทนบุญคุณเจี้ยจื่อทุย โดยจัดหาบ้านให้เขาและมารดาให้เข้ามาอยู่อย่างสุขสบายในเมือง แต่ทว่าเจี้ยจื่อทุยปฏิเสธ
จิ้นเหวินกงได้คิดแผนเผาภูเขา โดยหวังว่าเจี้ยจื่อทุยจะพามารดาออกมาจากบ้าน แต่ผลสุดท้ายกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด สองแม่ลูกกลับต้องเสียชีวิตในกองเพลิง ดังนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงเจี้ยจื่อทุย จิ้นเหวินกงจึงมีคำสั่งให้วันนี้ของทุกปี ห้ามไม่ให้มีการก่อไฟ และให้รับประทานแต่อาหารสด ๆ และเย็น ๆ จนกลายเป็นที่มาของเทศกาลวันกินอาหารเย็น หรือ เทศกาลหันสือเจี๋ย (寒食节) ซึ่งเป็นวันสุกดิบก่อนวันเช็งเม้ง 1 วัน
เนื่องจากคนโบราณนิยมถือปฏิบัติกิจกรรมตามประเพณีวันหันสือเจี๋ยต่อเนื่องไปจนถึงวันเช็งเม้ง นานวันเข้าเทศกาลทั้งสองก็รวมเป็นวันเช็งเม้งวันเดียว การไหว้เจี้ยจื่อทุยจึงค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นการไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษแทน
ทั้งนี้ วันเช็งเม้ง ถือว่าเป็นประเพณีที่สำคัญมากที่สุดของของชาวจีน เนื่องจากเป็นประเพณีไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
ภาพจาก Chaloemwut / Shutterstock.com
สำหรับวันเช็งเม้งในประเทศจีนนั้น จะเริ่มต้นช่วงวันที่ 4-5 เมษายน ไปจนถึงวันที่ 19-20 เมษายน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ที่อากาศจะเริ่มเข้าสู่ความอบอุ่น มีฝนตกปรอย ๆ มีบรรยากาศสดชื่น ท้องฟ้าใสสว่าง และด้วยบรรยายกาศดังกล่าวนี่เอง ที่เป็นที่มาของชื่อ "เช็งเม้ง"
ขณะที่ประเทศไทยเทศกาลเช็งเม้ง อยู่ในช่วงวันที่ 4-5 เมษายนของทุกปี และช่วงเวลาในเทศกาลเช็งเม้ง มี 7 วัน คือ ระหว่างวันที่ 2-8 เมษายน โดยให้นับวันก่อนถึงเทศกาลเช็งเม้ง 3 วัน และเลยไปอีก 3 วัน
แต่ในปัจจุบันเนื่องจากมีปัญหาการจราจร จึงทำให้มีการขยายช่วงเวลาเทศกาลเช็งเม้งในประเทศไทย ให้เร็วขึ้นอีก 3 สัปดาห์ คือ ช่วงระหว่างวันที่ 15 มีนาคม-8 เมษายน ขณะที่ภาคใต้ อาทิ จังหวัดตรังจะจัดเทศกาลเช็งเม้ง เร็วกว่าที่อื่น 1 วัน คือ วันที่ 4 เมษายนของทุกปี
ความสำคัญวันเช็งเม้ง
วันเช็งเม้ง ถือว่าเป็นประเพณีที่สำคัญมากที่สุดของของชาวจีน เนื่องจากเป็นประเพณีที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของชาวจีน โดยก่อนวันพิธีจะมีการทำความสะอาดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ
หลังจากนั้นในวันพิธีจะมีการเซ่นไหว้อาหารหวานคาวที่หลุมฝังศพ เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ และเป็นการส่งอาหารให้ทุกปี เพื่อมิให้อดอยาก เมื่อไปอยู่อีกภพหนึ่ง คนจีนส่วนใหญ่จะหยุดงานมาร่วมพิธีกัน พร้อมหน้าพร้อมตา หรือถือว่าเป็นวันพบญาติของคนจีนก็ว่าได้ ตำนานการทำความสะอาดฮวงซุ้ย
เริ่มมาจากการที่พระเจ้าฮั่นเกาจู ปราบดาภิเษกและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นแล้ว เกิดระลึกถึงบุญคุณบิดา มารดาที่เสียชีวิตไปแล้วที่บ้านเกิด จึงเร่งรัดกลับบ้านเกิด แต่ทว่าป้ายชื่อของฮวงซุ้ยแต่ละที่เลือนรางเต็มทนจากสงคราม พระเจ้าฮั่นเกาจูจึงอธิษฐานต่อสวรรค์ด้วยการโปรยกระดาษสีขึ้นบนฟ้าแล้วให้ลมพัดปลิวไป ถ้ากระดาษตกที่ฮวงซุ้ยไหน ถือว่าเป็นฮวงซุ้ยของบิดา มารดาพระองค์ และเมื่อดูป้ายชื่อชัด ๆ แล้วก็พบว่า เป็นฮวงซุ้ยของบิดา มารดาพระองค์จริง ดังนั้น ประเพณีการทำความสะอาดฮวงซุ้ยและโปรยกระดาษสีบนหลุมศพก็เริ่มมาจากตรงนี้เอง
ประเพณีปฏิบัติในวันเช็งเม้ง
1. การทำความสะอาดสุสาน
ลงสีที่ป้ายชื่อให้ดูใหม่ โดยคนตายแล้วลงสีเขียว หรือสีทองขลิบเขียว ขณะที่ป้ายชื่อคนเป็นให้ลงสีแดง แต่ทั้งนี้ ห้ามถอนหญ้า เพราะอาจกระทบตำแหน่งห้าม เช่น ทิศอสูร ทิศแตกสลาย ทิศดาวเบญจภูติ เป็นต้น
สำหรับการตกแต่งสุสานนั้น อาจใช้กระดาษม้วนสายรุ้ง โดยสุสานคนเป็น ให้ใช้สายรุ้งสีแดง ส่วนสุสานคนตาย สามารถใช้สายรุ้งสีอะไรก็ได้ แต่ห้ามห้ามปักธงลงบนหลังเต่า เพราะถือว่า เป็นการทิ่มแทงหลุม และบางความเชื่อ ถือว่า เป็นการทำให้หลังคาบ้านของบรรพบุรุษรั่ว
2. กราบไหว้ เจ้าที่ เป็นการให้เกียรติ และขอบคุณที่ช่วยคุ้มครองดูแล
การจัดวางของไหว้ (เรียงลำดับจากป้าย)- เทียน 1 คู่ + ธูป 5 ดอก ( อาจปักลงบนฟักได้ )- ชา 5 ถ้วย- เหล้า 5 ถ้วย- ของไหว้ต่าง ๆ เช่น ขนมอี๋ ผลไม้ (ควรงดเนื้อหมู เพราะเคยมีปรากฎว่า เจ้าที่เป็นอิสลาม)- กระดาษเงิน กระดาษทอง กราบไหว้ ระลึกถึงพระคุณ ของพ่อแม่ บรรพบุรุษการจัดวางของไหว้- ชา 3 ถ้วย- เหล้า 3 ถ้วย- ของไหว้ต่าง ๆ เช่น ขนมอี๋ ผลไม้ (ของไหว้ ตามความเชื่อประเพณีของแต่ละท้องถิ่น ส่วนใหญ่เป็น ขนมถ้วยฟู)- กระดาษเงิน กระดาษทอง ฯลฯ- เทียน 1 คู่ + ธูป ตามจำนวนบรรพบุรุษ ท่านละ 1 ดอกหมายเหตุ
ห้ามวางของตรงแท่นหน้า เจีี๊ยะปี ( ป้ายหิน ที่จารึกชื่อ บรรพบุรุษ ) เพราะเป็นที่เข้าออกของวิญญาณบรรพบุรุษ ไม่ใช่เก้าอี้นั่ง อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด
อาหารที่ใช้ในการประกอบพิธีเช็งเม้ง มีรายละเอียด ดังนี้
1. ไก่ต้ม 1 ตัว2. หมูสามชั้น ต้ม 1 ชิ้น (โดยประมาณขนาด 1/2 กิโลกรัมขึ้นไป) 3. เส้นบะหมี่สด4. ขนม 3 อย่าง คือ เต่เหลี่ยว ข้าวเหนียวกวน ขนมเต่า (ขนมกู้)5. ขนมถ้วยฟู (ฮวดโก้ย)6. สับปะรด 2 ลูก (ใช้ทั้งก้านและหัวจุก) 7. น้ำชา8. ธูปเทียน, กระดาษเงิน, กระดาษทอง, ประทัด
การทำพิธีเช็งเม้ง
๑. นำอาหาร ขนม และผลไม้ ใส่ภาชนะเป็น ๒ ชุด (เล็ก- ใหญ่)๒. ให้นำไก่ต้ม, หมูต้มและเส้นบะหมี่สดใส่ถาดเดียวกัน๓. นำขนมแต่ละชนิดใส่จานแยกเป็นแต่ละชนิด๔. สับปะรดใส่จานละ ๑ ลูก๕. น้ำชาทีละ ๒ ถ้วยชาเล็ก (ถ้วยตะไล)๖. อาหารชุดใหญ่ให้วางไว้หน้าหลุมฝังศพบรรพบุรุษ ชุดเล็กไว้สำหรับเจ้าที่๗. จุดธูป-เทียนสำหรับบูชา (เทียน ๒ เล่ม, ธูป ๒ เล่ม ตั้งใช้บูชาบรรพบุรุษและเจ้าที่)๘. เมื่อธูปหมดไปประมาณ ๑/๒ เล่ม ให้เผากระดาษเงินให้แก่บรรพบุรุษและเผากระดาษทองที่เคารพแก่เจ้าที่๙. ให้เอากระดาษเงินวางบนหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ๑๐. ให้จุดประทัดเป็นอันเสร็จพิธีกรรม
ให้ผู้อาวุโส เป็นผู้นำกราบไหว้ และเมื่อเทียนใกล้หมดก้านก็ให้ลูกหลานตีวงล้อมด้วยหวาย เผา กระดาษเงิน กระดาษทอง ฯลฯ เป็นการกำหนดขอบเขตว่า สิ่งเหล่านี้ลูกหลานส่งให้บรรพบุรุษของครอบครัวนั้น ๆ เป็นการเฉพาะ เพื่อป้องกันการแย่งชิง ( ผู้ตีวงล้อม ต้องเป็นลูกหลานเท่านั้น )
ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว บางครอบครัวอาจจะมานั่งล้อมวงทานอาหารกันต่อ เพื่อแสดงความสมานสามัคคีแก่ บรรพบุรุษ
ประโยชน์ของการไป ไหว้บรรพบุรุษ วันเช็งเม้ง
1. เพื่อรำลึกถึงคุณความดี ที่บรรพบุรุษของเราได้กระทำไว้ ได้ดูแลเรา ลำบากเพื่ื่อเราให้มีความเป็นอยู่ที่ดี เป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต "เราสบาย เพราะพ่อแม่ บรรพบุรุษลำบาก"
2. เป็นศูนย์รวมตระกูล ผังตระกูล โดยทั่วไป การไหว้ที่ดีที่สุด ต้องนัดหมายไปไหว้พร้อมกัน (วันและเวลาเดียวกัน) ทำให้ลูกหลานที่อยู่กระจายกันไป ได้มาพบปะ สังสรรค์กันพร้อมหน้า เป็นการสร้างความสามัคคี สร้างจุดศูนย์รวม กล่าวได้ว่าเป็น "วันรวมญาติ"
3. เป็นกรอบถนนชีวิตของลูกหลานทุกคน "พ่อแม่ตายแล้ว ยังกำหนดชะตาชีวิตลูกหลาน" เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เน้นความกตัญญูที่มีต่อบุพการีและลูกหลานควรปฏิบัติตาม
4. เป็นการเตือนสติตน ความตายต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน

ความเชื่อและข้อเท็จจริงตาม หลักฮวงจุ้ย
1. เมื่อทานหอยแครงเสร็จ จะโยนเปลือกหอยแครง ลงบนเนินหลังเต่า ( เนินดินด้านหลัง ป้ายสุสานบรรพบุรุษ ) ความหมายคือ มีลูกหลานมาก
ประเด็นนี้ ไม่ขัดกับหลักวิชา
2. ทุกครั้งที่มาไหว้ จะขุดเอาดินมากลบบนหลังเต่า โดยเชื่อว่า จะทำให้การค้าเพิ่มพูน
ข้อเท็จจริง : จะทำก็ต่อเมื่อ หลังเต่ามีรูแหว่งไป จึงซ่อมแซม และต้องดูฤกษ์โดยเฉพาะการขุดดิน ถือเป็นการกระทบธรณี
3. ปลูกดอกไม้ รอบๆ สุสานบรรพบุรุษ
ข้อเท็จจริง : ห้ามปลูกดอกไม้ รอบๆ สุสานบรรพบุรุษ มีความหมายด้าน ชู้สาว แต่ปลูกหญ้าได้
4. หากต้องการซ่อมแซม สุสานบรรพบุรุษ ทำได้เฉพาะ สารทเช็งเม้ง เท่านั้น
ข้อเท็จจริง : ไม่จำเป็นต้องเป็น เทศกาลเช็งเม้ง ขึ้นอยู่กับฤกษ์หากทำในสารทนี้โดยไม่ดูฤกษ์ กลับจะเกิดโทษภัยจาก อสูร
5. จุดประทัด เพื่อกำจัดผีร้ายให้พ้นไป
ข้อเท็จจริง : ตามหลักวิชา การจุดประทัด เป็นการกระตุ้น หากตำแหน่งถูกต้อง ก็จะได้ลาภหากผิดตำแหน่ง จะเกิดปัญหา ( ผู้ปฏิบัติต้องเข้าใจเรื่อง ดาว 9 ยุค และฤกษ์ เป็นอย่างดี )
6. บางครอบครัวต้องการประหยัด จัดอาหารไหว้เพียง 1 ชุด ไหว้หลายแห่ง
ข้อเท็จจริง : ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง บรรพบุรุษ ชุดแรกสุดเท่านั้นที่ได้รับ
7. บางคนเชื่อว่า จะไม่เผากระดาษทองให้กับ บรรพบุรุษ นอกจากตายมานานแล้ว ถือว่าได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นเทพ
ข้อเท็จจริง : ตามประเพณีโดยทั่วไปไม่มี
8. การไว้ทุกข์พ่อแม่ ต้องนาน 3 ปี
ข้อเท็จจริง : ประเพณีบางท้องถิ่น กำหนดเช่นนั้นจริง โดยเน้นเรื่องความกตัญญูเป็นหลัก
9. การไป ไหว้บรรพบรุษ ครั้งแรก ต้องดูฤกษ์
ข้อเท็จจริง : เป็นเรื่องถูกต้องตามหลักวิชา ฮวงจุ้ย โดยปกติแล้ว ซินแส จะเป็นผู้กำหนดฤกษ์ให้ หากทิศด้านหลัง สุสาน เป็นทิศห้าม ทิศอสูร ทิศแตกสลาย ต้องใช้ฤกษ์ปลอดภัยเท่านั้นและไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นช่วง เช็งเม้ง เท่านั้นปีต่อ ๆ ไป ไม่ต้องมีการ ดูฤกษ์ อีก
10.เว้นวรรควันเช็งเม้งไหว้บรรพบุรษ 3 ปี หลังมีสุสาน
ข้อเท็จจริง : การปฏิบัติในวันเช็งเม้งสามารถแสดงความกตัญญูได้ทุกปีไม่มีเว้น เว้นเสียแต่ว่าลูกหลานแยกห่างกันไป ไม่สะดวกเดินทางมาสุสานได้
.jpg)
วันเช็งเม้งมีข้อห้ามอะไรบ้างที่ควรรู้

1. ห้ามปักธงหรือปักไม้ บนเนินหลังเต่าของหลุมฝังศพ
ควรโปรยด้วยดอกไม้สด เช่น
ดอกดาวเรือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง มีเงินทองเหลืองอร่าม
ดอกบานไม่รู้โรย หมายถึง ความมั่นคง ความยั่งยืน ไม่โรยรา ไม่แปรผัน
ดอกมะลิ หมายถึง ความบริสุทธิ์และหอมหวนไปชั่วนิรันดร์
**ส่วนสุสานของคนที่ยังมีชีวิต (แซกี) ใช้ดอกไม้สีแดง เช่น ดอกกุหลาบ เป็นต้น
ความเชื่อ : เนินนี้เปรียบเสมือนหลังคาบ้าน การปักธงจึงเท่ากับเป็นการทำให้หลังคาบ้านของบรรพบุรุษรั่ว
วิเคราะห์เหตุผล : การนำไม้ปลายแหลมไปปักลงบนเนินดินอาจทำให้ดินเกิดรอยแยกจนน้ำซึมลงไปได้ นอกจากนี้การปักธงบนเนินที่มีขนาดใหญ่ยังต้องปีนขึ้นไปเหยียบบนเนินด้วย ซึ่งอาจทำให้สุสานที่เก่าแก่รับน้ำหนักไม่ไหวและเกิดรอยร้าวได้ ส่วนการโปรยดอกไม้สามารถยืนโปรยจากข้างเนินได้ อีกทั้งดอกไม้ก็มีน้ำหนักเบา จึงไม่ส่งผลเสียกับเนินหลังเต่า

2. ห้ามวางของตรงแท่นหินหน้าป้ายชื่อบรรพบุรุษ (เจีี๊ยะปี)
ความเชื่อ : บริเวณแท่นหินเป็นทางเข้าออกของวิญญาณบรรพบุรุษ
วิเคราะห์เหตุผล : แท่นหินหน้าป้ายชื่อมีเนื้อที่ค่อนข้างจำกัด จึงไม่เหมาะสำหรับวางของไหว้จำนวนมาก อีกทั้งของไหว้ยังอาจหกเลอะป้ายชื่อของบรรพบุรุษ หรือตกจากแท่นหินและหกเลอะพื้นได้
.jpg)
3. ห้ามเขี่ยกระดาษที่เผา
ความเชื่อ : ทำให้สิ่งที่เผาฉีกขาดหรือชำรุดเสียหาย
วิเคราะห์เหตุผล : การเขี่ยกระดาษที่เผาอยู่จะทำให้ขี้เถ้าปลิวฟุ้งขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งหากสูดดมเข้าไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ แต่ถ้ากลัวว่ากระดาษจะเผาไหม้ไม่หมด ก็ให้ใช้ไม้ยกกระดาษขึ้นทั้งชิ้นเพื่อเติมอากาศระหว่างกระดาษแทนการเขี่ยให้กระจาย
4. ห้ามจุดประทัด หากไม่รู้ตำแหน่งที่ควรจุด หรือฤกษ์ที่จุดได้
ความเชื่อ : จุดประทัดเพื่อกำจัดผีร้ายให้พ้นไป
1. ต้องรู้องศาหลังป้ายสุสานแบบแม่นยำ
2. เมื่อทราบองศาแล้ว หากหลังป้ายเป็นทิศอสอูร ทิศแตกสลาย ทิศมหาวิบัติ ห้ามจุดประทัด
3. หากไม่เป็นองศาต้องห้าม และทราบองศาที่แน่นอน หาตำแหน่งโชคลาภประจำยุค หรือลาภหนุน เป็นตัวจุดประทัด ตำแหน่งดังกล่าว ต้องนำมาคำนวณฤกษ์ด้วย อาจใช้ฤกษ์ปลอดภัยได้
วิเคราะห์เหตุผล : หากประกายไฟจากประทัดปลิวไปโดนสิ่งที่ติดไฟได้บริเวณสุสาน อาจทำให้เกิดไฟไหม้จนลุกลามได้ นอกจากนี้หากจุดประทัดในตำแหน่งที่มีกระแสลมแรงก็อาจทำให้เศษกระดาษและควันจากประทัดลอยปลิวไปรบกวนครอบครัวที่อยู่ใกล้เคียงอีกด้วย
.jpg)
5. ห้ามถอนหญ้าบริเวณสุสาน
ความเชื่อ : หากกระทบตำแหน่งต้องห้าม เช่น ทิศอสูร ทิศแตกสลาย ทิศดาวเบญจภูติ จะทำให้เกิดเหตุร้าย
6. ห้ามปลูกดอกไม้ รอบๆ สุสาน **ควรปลูกเฉพาะหญ้าเท่านั้น เพื่อให้ดูเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์
ความเชื่อ : มีผลด้านชู้สาวของลูกหลาน
วิเคราะห์เหตุผล : รากของต้นไม้ดอกไม้ที่ปลูกรอบ ๆ สุสาน อาจชอนไชลึกลงไปในดินและแผ่ขยายเป็นบริเวณกว้างจนทำให้โครงสร้างที่เป็นปูนของสุสานเกิดรอยร้าวได้ ส่วนรากของต้นหญ้ามีขนาดเล็กมากจึงสามารถปลูกได้
.jpg)
7. ห้ามขุดดินมากลบบนเนินหลังเต่าทุกครั้งที่ไป
ความเชื่อ : จะทำก็ต่อเมื่อหลังเต่ามีรูแหว่งไปเท่านั้น และต้องดูฤกษ์ด้วย โดยเฉพาะการขุดดิน ซึ่งถือเป็นการกระทบธรณี
วิเคราะห์เหตุผล : ถ้าหากนำดินไปกลบทั้ง ๆ ที่หน้าดินไม่ได้มีรูแหว่ง ดินบนเนินก็จะพอกพูนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีปริมาณที่มากเกินไป ส่งผลให้โครงสร้างของสุสานรับน้ำหนักไม่ไหว และยังอาจทำให้เกิดดินสไลด์อีกด้วย
.jpg)
8. ห้ามโปรยเปลือกหอยแครงที่ลานด้านหน้าสุสาน
ความเชื่อ : ตามหลักฮวงจุ้ย ลานด้านหน้าต้องสะอาดและโล่ง
วิเคราะห์เหตุผล : ทำให้ลานด้านหน้าสกปรก เป็นแหล่งรวมของเชื้อโรคและแมลงวัน และหากเหยียบโดนเปลือกหอยก็อาจลื่นล้มหรือบาดเท้าได้
ตารางเปรียบเทียบความสัมพันธ์กับปีเกิด

** ภาคี = คู่สมพงษ์
ปะทะ = ศัตรู , ทะเลาะ
เฮ้ง = ขัดแย้ง
ร้าย = ใส่ร้าย ให้ร้าย ใส่ความ
ไตรภาคี = 3 ปีเกิด
ที่สมพงษ์กัน ( คล้ายกับภาคี )
เรารู้ภารกิจในวันเช็งเม้งแล้ว แล้วสุสานฮวงซุ้ยล่ะมีกี่แบบ รู้กันบ้างหรือเปล่า
ชาวจีนมีความเชื่อว่า การสร้างสุสาน เป็นการสร้างอนาคตที่ดีของลูกหลาน และโดยหลักวิชาแล้ว เราสามารถแบ่ง สุสาน ( ฮวงซุ้ย ) ออกได้เป็น 3 ประเภท
เจ้าที่ ของเจ่าอุ่ง

เจ่าอุ่ง ( เจ้าที่อยู่ซ้ายมือ ลูกศรแดง )

1. สุสานแบบ เจ่าอุ่ง ( การสร้างวัยจร )
เราสามารถปรับเปลี่ยนชะตากรรมให้ดีขึ้นได้ โดยการวิเคราะห์หาธาตุสำคัญของดวง
เช่น ดวงอ่อนแอแต่ลาภมาก ก็ไม่สามารถรับลาภได้
หากวัยจรคือช่วงชีวิตที่เข้ามากระทบกับดวง เป็นการเสริมกำลังของดวง
ทำให้ดิถี ( ตัวเรา ) มีกำลังมากขึ้น ก็สามารถรับลาภได้
หรือในบางกรณี สร้างสุสานเป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ไขช่วงรอบปี
ที่ดวงกำลังมีเคราะห์ เมื่อผ่านพ้นช่วงนั้นไป ก็ยกเลิกรื้อถอนสุสานนั้นได้
เมื่อเราหาธาตุสำคัญได้ ก็สามารถสร้างราศีตัวนั้นให้อยู่กับเราตลอดไปได้
ด้วยการทำสุสาน ฮวงซุ้ย แบบเจ่าอุ่ง ( สุสานคนเป็น ) เป็นสุสานขนาดย่อม
โดยบรรจุสิ่งที่เป็นตัวแทนของเรา คือ
เส้นผมที่ดึงออกจากหนังหัวและมีเลือดติด ( เส้นผมเปรียนเสมือนกระดูกและหนัง )
ใส่ลงในโถบรรจุ แล้วนำไปใส่ที่ หลุมสุสาน ตามทิศที่ถูกต้องกับธาตุสำคัญ ตลอดจนองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ครบถ้วน ได้แก่ ฤกษ์ยาม ดาว 9 ยุค และชัยภูมิที่ถูกต้อง
เมื่อทุกอย่างถูกต้อง พลังที่ดีก็จะหนุนผลักดัน ให้เกิดผลที่ดีในด้านต่าง ๆ แก่ชีวิตของเรา
การทำสุสาน เจ่าอุ่ง เหมือนเป็นการเสริมดวงเฉพาะบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องดูดวงบุคคลอื่น คู่ครองหรือลูกประกอบ
และในบางคนอาจต้องตั้งเจ้าที่เพิ่มขึ้นอยู่กับรูปดวง
หลักการของ สุสาน ( ฮวงซุ้ย )
ป้ายสุสาน ( เจียะปี ) คือตัวแทนของเรา และส่วนของเราฝังอยู่ในดิน ( อิม ) และอีกส่วนหนึ่งคือป้ายหินด้านบน ( เอี๊ยง )
และเมื่ออิมเอี๊ยงบรรจบกันก็จะก่อเกิดพลัง ดังนั้น การทำสุสาน ฮวงซุ้ย จึงมีบทบาทและพลังที่สมบูรณ์ เห็นผลเร็วมากกว่ากรณีการตั้ง จุดยึดเหนี่ยว
สุสาน ฮวงซุ้ย มูลนิธิฮูลิน สระบุรี
2. สุสานแบบ ฮกกี
การสร้างสุสาน เพื่อเสริมหรือปรับดวงให้ดีขึ้น และใช้เป็นหลุมสุสาน ฮวงซุ้ย ฝังเมื่อสิ้นชีวิต ซึ่งกรณีนี้ต้องดูปีเกิดของคู่ครอง ลูกทุกคนประกอบ ทั้งชายและหญิง
และต้องดูราศีปีเกิดของลูก ไม่ขัดแย้งกับธาตุราศีประจำตำแหน่งของลูกทุกคน
ซึ่งในปัจจุบัน ฮวงซุ้ยสุสานหลายแห่งละเลยการพิจารณาข้อกำหนดที่สำคัญนี้ทำให้เกิดผลร้ายอยู่บ่อย ๆ เช่น ทำเสร็จแล้ว ลูกบางคนดีมาก บางคนแย่มาก บางกรณีถึงแก่ชีวิตก็มี
( รายละเอียดการกำหนดตำแหน่งอยู่ในชั่วโมงเรียน )
3. สุสานแบบ แซกี
ฮวงซุ้ยสุสาน ฝังเฉพาะเมื่อสิ้นชีวิตเท่านั้น ( รูปแบบขนาดเหมือนกับ แซกี )
ต้องดูปีเกิดของคู่ครอง และลูกทุกคนประกอบ ทั้งชายและหญิงเหมือนกับกรณีข้างต้น
เราสามารถสรุปได้ดังนี้

อย่างไรก็ตาม การทำสุสาน ( ฮวงซุ้ย ) มีค่าใช้จ่ายพอสมควร ควรทำสุสานเหมาะสมแก่ฐานะ หรือเมื่อมีความจำเป็น เช่นกรณีเจ็บป่วย หรือป้องกันช่วงชีวิตที่จะไม่ดี หรือแก้ไขช่วงชีวิตให้ดีขึ้น
และเราสามารถสร้างราศีเองได้ในลักษณะดังกล่าว ด้วยการตั้ง จุดยึดเหนี่ยว ( สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทิศพิงโต๊ะทำงาน หรือทิศหัวนอน ) ในทิศองศาที่ถูกต้องกับดวง พร้อมด้วยองค์ประกอบอื่นที่ครบถ้วน
( ดวงชะตา ชัยภูมิ ทิศทาง ฤกษ์ )เพื่อทดสอบผลลัพธ์ เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
เพียงแต่ผลลัพธ์นั้นจะเกิดขึ้นช้ากว่า และบทบาทน้อยกว่า สุสาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีสติ และครองตนอยู่ในธรรมอันดี
***
ผู้มีการศึกษาในสมัยก่อนจะจัดทำ สุสาน แซกี ใช้ในขณะมีชีวิตเพื่อเกื้อหนุนดวง และใช้ฝังเมื่อจากไป
เป็นการวางแผนล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหลานจะมีอนาคตที่ดี และป้องกันปัญหาการทะเลาะระหว่างลูกหลานในเลือกที่ตั้งของสุสาน
ฮวงจุ้ย ฮวงซุ้ย คือ คำเดียวกัน
การเลือกทิศสุสานเบื้องต้น


สุสานที่ดีต้องมีชัยภูมิดีด้วย
อิทธิพลอันมหัศจรรย์ของชัยภูมิ จากฟ้ากำหนดผู้ไม่เข้าใจย่อมไม่รู้ความหมาย และความสำคัญ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ก็จะเห็นชัดว่า มันมหัศจรรย์จริงๆ
จงเริ่มต้นด้วยการสังเกตกระแสน้ำ เมื่อมีกระแสน้ำ ก็หมายถึงมีกระแสมังกร เมื่อมังกรจะหยุด ก็จะปรากฏที่มาของมังกร คือ รก สายสะดือ ครรภ์ และคลอด และมีอาณาจักรครบ คือ เต่าดำ, หงส์แดง, เสือขาว, มังกรเขียว และช่องน้ำ
ช่องน้ำคือ น้ำ 2 ข้าง มาตัดกัน อันเป็นสัญลักษณ์เบื้องต้น หรือพื้นฐาน ที่จะละเลยไม่ได้ โดยเฉพาะภูเขาด้านหน้า ที่เรียกว่า หงส์แดง ซึ่งจะขาดไม่ได้เลย ถึงแม้บางครั้ง จะไกลไปบ้าง ก็ดีกว่าไม่มี
ฟ้าลิขิตไว้ว่า ชัยภูมิที่ดี จะมีไว้เพื่อผู้มีบุญมีกุศล และผู้มีบุญมีกุศล ก็มักจะเจอผู้รู้ที่มีจรรยา ผู้ที่มีจรรยา ย่อมทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจและรอบคอบ
ฉะนั้น จงสังเกตกระแสมังกร แยกแยะพลัง มีทั้งกระแสพลังเห็นได้ชัด และกระแสพลังที่เห็นได้ยาก ซึ่งเป็นพลังแฝง
ตำราได้กล่าวไว้ว่า กระแสสูง 1 นิ้ว คือกระแสมังกร กระแสต่ำ 1 นิ้ว คือ กระแสน้ำ นั้นคือกระแสแฝง

ไม่ว่ากระแสจะชัด หรือกระแสจะแฝง สำคัญอยู่ที่กระแสจะหยุด หรือยังวิ่งไป เมื่อมันหยุด มีสภาพที่มา มีอาณาจักรครบ หากไม่มี ก็ยังไม่เกิดความสำคัญ หรือเมื่อมันวิ่งไป มีหักเห หรือเปลี่ยนรูปลักษณ์ ซึ่งเป็นลีลาของมังกร ที่มีชีวิตชีวา ก็จงติดตามจนกว่าพลังจะหยุด อาณาจักรเกิด
ที่มาของพลังครบ และระวังสายสะดือต้อง ไม่ดินเปิดหินโผล่ เหมือนเป็นบาดแผล และอาณาจักร ต้องมีช่องน้ำ นั่นคือแน่แท้
หากบิดๆ เบี้ยวๆ แข็งทื่อกระด้างนั่นคือว่างเปล่า รก สายสะดือ ถึงครรภ์ ครรภ์จะเด่นกว่ารก หรือรกจะเด่นกว่าครรภ์ ก็คือ หยินแล้วหยาง หรือ หยางแล้วหยิน มีทั้งเคลื่อน มีทั้งนิ่ง
บริวารเกิด ประธานสง่าสมบูรณ์ ว่างแน่น แข็งอ่อน ให้อยู่ที่พอเหมาะ ไม่รู้ที่ลูก ให้ดูที่แม่
ประธานไม่เป็นประธาน ให้ดูที่บริวาร บริวาร มี บริวาร ล้อมหน้าล้อมหลัง บริวารนั้นคือ ประธานจริง
หากมีสภาพสง่าภูมิฐาน ความสง่าภูมิฐานที่ยิ่งใหญ่ จะมีบ่ามีไหล่ หน้าจะเปิด บริวารโอบอุ้ม หงส์แดงจะรองรับ
หากเบี่ยงหนีทิ้งท้าย บิ่นเบี้ยว เหว้าแหว่ง ไม่เป็นรูปลักษณ์ เอียงเอนเหมือนบริวาร นั่นคือ ไม่ต้องสนใจ
ถึงแม้ตำแหน่งดูไม่สมบูรณ์ แต่มีทุกๆบริวาร มุ่งมาส่ง มาโอบอุ้ม มาติดตามแบบพอเหมาะพอควร ไม่เบียดไม่ห่าง ปกป้องคุ้มครอง เป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนไหนควรชิดก็ชิด ส่วนไหนควรห่างก็ห่าง ส่วนไหนควรสูงก็สูง ส่วนไหนควรต่ำก็ต่ำเกิดอ าณาจักรอันพอเหมาะพอควร นั่นคือไม่สมบูรณ์แบบสมบูรณ์จริง
ฉะนั้น อย่ามองพลาดแบบไม่สมบูรณ์ ปรมาจารย์ในอดีต บัญญัติ เป็นตำรา หากไม่เข้าใจจริง ก็อาจจะผิดพลาดได้ แต่ถ้าเข้าใจถ่องแท้ ก็จะเป็นเหตุเป็นผล เป็นหลักเป็นเกณฑ์
ตอน 2 ***

จงสังเกตพลังมังกร ต่อด้วยมองหารายละเอียดของกระแส แล้วหาตำแหน่งสำคัญ ดูกระแสน้ำ ดูบริวาร
เมื่อมีการหักเหเปลี่ยนรูปทรง นั่นคือลีลากระแส ขึ้นสูงลงต่ำ หักเหเปลี่ยนกระแส นั่นคือพลังกำลังมุ่งไปสู่ข้างหน้า หากตำแหน่งเกิด หน้าจะเปิดไหล่จะเด่น มองดูทุกกระแส จนกว่าจะเจอเป็นอาณาจักร จึงหยุดนิ่งสังเกต
สังเกตทุกกระแส กระแสที่เปลี่ยนแปลงแตกต่าง นั่นคือความหมาย
ด้านหลังกระจัดกระจาย โลดแล่นไหลมา ให้ดูที่ดาวเด่น มุ่งพุ่งวิ่งมา ให้ดูที่ขึ้นสูงหรือลงต่ำเป็นสำคัญ รูปร่างแข็งกร้าวใหญ่โต ดูข้างหน้า อ่อนโยนนุ่มนวล ตำแหน่ง อ่อนยานร่างเล็ก ด้านหลังให้มีกำลังหยาบแข็ง
เมื่อจะเกิดตำแหน่งสำคัญ จะมีองค์ประกอบ พลังเมื่อหยุด จะมีเนื้อหนัง สังเกตให้ดี จะมีบ่งบอก มองให้กว้าง จะเห็นรูปทรง ข้างหน้าเป็นแอ่งกระทะ นั่นคือเป็นจริงยิ่งนัก
องค์ประกอบเกิด พลังหยุด จะมีกระแส สงบ ค่อยๆ สังเกตสังเกตความจริงอย่างละเอียด มองหาสิ่งแวดล้อม ด้านหน้าต้องมีแอ่งกระทะ นั่นคือสำคัญเกิด

ที่มาเลี้ยวคด นั่นคือกระแสธาตุน้ำ หมายถึงกระแสไปไม่ไกล ตำแหน่งจะเกิด
หรือด้านหลังสะเปะสะปะ ก็ให้เปลี่ยนด้านมองหา ด้านหน้าโค้งรับ เหมือนข้าเป็นฮ่องเต้ บางครั้งเกี่ยวกับอาณาจักร กระแสพลังจะหันเหก็ได้
หรือบางครั้งหลบช่องลม โดยเลี้ยวไปอีกมุมหนึ่งก็ได้
แต่ถ้าองค์ประกอบมี แต่หนีจาก ถึงแม้จะสง่าภูมิฐาน ก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าบริเวณ โอบอุ้มเป็นกำแพงเมือง ถึงจะไม่เห็นพลังโดดเด่น นั่นคือพลังแฝง นั่นคือสำคัญเป็นพิเศษ
หรือถ้าบริเวณบีบรัด คับแคบ แล้วมีช่องเห็นออกนอกได้ ก็เป็นสำคัญได้ ทุกอย่างสมบูรณ์ มีหนึ่งเสียหาย ก็หมดความสำคัญ หรือทุกอย่างไม่สมบูรณ์ ได้ความสำคัญเพียงหนึ่งเดียว ก็เป็นสำคัญได้
น้ำด้านหลัง ไหลผ่าไหล่ แทงเข้าลูกกระตา หรือ หัวแหว่ง ขาเบี้ยว เช่นนี้ไม่น่าสนใจ สองข้างเป็นร่องลึก เสือขาว มังกรมีครบ ก็ไม่มีประโยชน์
สองน้ำรวมหนึ่ง เป็นช่องน้ำ ไหลออกตรงๆ เป็นปากแหลม ถึงแม้จะมี เนินสำคัญ ก็ไม่มีประโยชน์
ที่มาไม่มีองค์ประกอบ ไม่เกิดผล เต่าดำไม่มุ่งรับ ถึงจะมีพลังก็เปล่าประโยชน์ สายสะดือไม่ต้องสูง แต่ไหล่หลังควรมลหนา
... ตอน 3 ...

สายสะดือ คือที่มาของชีวิต ปกป้องต้องดี และสายสะดือคือที่มาของครรภ์และคลอดต้องระวังให้ดี อย่าหลงใหลว่าหน้าตาดี ต้องดูให้รอบคอบ
อย่าคิดว่าไม่มีตัวไม่มีตน ต้องสังเกตที่สายสะดือ มีตำแหน่ง สังเกตที่มลเด่น ล่าง ต้องมีพื้นราบ มลๆ หน้าออกไป ต้องมีกระแสน้ำสองข้างมาประจบกัน และหน้าออกไป ต้องมีแอ่งกระทะ ด้านหลังต้องมีที่มา ตำแหน่งสำคัญต้องมีเหนืออูมๆ จุดสำคัญ
สังเกตด้วยการวางกากบาท ลงด้านตรงไม่ได้ ก็ต้องดูที่ข้างบน ไม่เกิดก็ดูที่ล่างลงไป ร้อยตายดูที่หนึ่งเกิด คล้ายๆ กันสังเกตความเด่น หลากหลายพลัง อาจแฝง จะแฝงจะโผล่ สังเกตพลังหยุด จะแฝงจะโผล่สังเกตหันเห
มีมุมมีเหลี่ยม ดูภูเขาเปิดหน้า ข้างหนึ่งหนาข้างหนึ่งบาง ข้างหนึ่งสั้นข้างหนึ่งยาว เป็นธรรมชาติแท้ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง รังนก ง่าม นูน ยื่น
เมื่อมีตำแหน่ง ก็ต้องมีองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นพื้นราบหรือภูเขาสูง เมื่อมีตำแหน่ง ก็ต้องมีเปิดหน้า
อย่างไรก็แล้วแต่ ร่างต้องมีพลัง พลังต้องมีชีวิต บริวารต้องอุ้ม กระแสน้ำต้องโอบ จะมากจะน้อย อยู่ที่พอเหมาะ จะมองไกล ต้องดูที่ใกล้
ด้านหน้าไม่มีน้ำสองข้างตัดเป็นช่องน้ำ ถึงมีน้ำจะมีมากมาย ก็หมดความหมาย
มือไม้ไม่ครบ จะมีทิวเขาห้อมล้อมสง่างาม ก็ไม่มีความหมาย ต่อให้ขาดเสือขาว หรือมังกรเขียวไปข้างหนึ่ง ยังดีกว่าด้านหน้าไม่มีหงส์แดง
ดูหน้าตาภูเขา ดูที่มา ปลอมหรือจริง อาณาจักรดูที่โอบอุ้ม ไม่ใช่ดูใหญ่โต บริวาร ดูที่โอบอุ้ม ไม่ดูลักษณะ ถ้าเป็นบริวารข้า ต้องโอบอุ้มแน่นอน

ถ้าเป็นอาณาจักร ด้านหน้ามีเป็นแอ่งกระทะ พลังเมื่อมาถึง ขาดโน่นขาดนี่ เติมแหว่งแต่งขาด หนึ่งเท่าร้อย อยู่ที่เข้าใจศิลป์
มีที่มา แต่งแล้วได้ผล ไม่มีที่มา แต่งดีอย่างไร ก็เปล่าประโยชน์
หนีจากหายหัว หมดทุกอย่าง คดเขี้ยวสั้นยาว มองที่เป็นกลาง สูงต่ำ เล็กใหญ่ อยู่ที่พอเหมาะ กำหนดตำแหน่ง ต้องเที่ยงตรง ไม่ผิดแม้หนึ่งนิ้ว วางโลงศพ ติดดินชิดพลัง ไม่ตื้นไม่ลึก
ทำผิดจากที่มี ดีกว่าทำที่ไม่มี ดูตำราเข้าใจความหมาย ดูที่ทางต้องสังเกตและจดจ่อ เข้าใจตำรานี้ ก็จะดูได้เข้าใจ หากทั้งหมดไม่เอื้อ ขาดการปกป้อง ถึงจะสง่าดีเด่น ก็เป็นที่ปลอม
รอบด้านโอบอุ้ม เหมือนกำแพงเมือง นั่นคือที่สำคัญยิ่งใดๆ หากสี่ด้านปิดมิด เบียดชิด ก็ให้ขึ้นสูง ค่อยๆหาความพอเหมาะ ก็สำคัญได้
จงเข้าใจไว้ว่า สวยสง่าพร้อมมูล เพียงหนึ่งเสียหาย ก็เสียทั้งหมด กระแสน้ำพุ่งเข้าไหล่ คือชันมากไม่เกิดรองรับ อย่าไปสนใจ สองข้างร่องลึก เสือขาว มังกรเขียว มีครบ ก็ไม่ใช่พลังจริง
กระแสน้ำเข้าหาแล้วเป็นปากแหลม ถึงจะดูสวยก็เลวร้าย กระแสพลังไม่ชัดเจน ถึงจะมีครรภ์ ก็ใช้ไม่ได้

เต่าดำไม่รับ ถึงจะมีรก ก็ไม่เกิด สะดือต้องให้ราบ ไหล่ต้องหนา สะดือเป็นชีวิต ของครรภ์ ปกป้อง ต้องดี ลงต่ำเพื่อเป็นคลอด ต้องให้กระชับพลังจะสมบูรณ์ ไม่มีไม่เห็นอะไร อาจเป็นสำคัญก็ได้ นั่นคือพลังแฝง แสดงออกโดดเด่น แต่ขาดความสำคัญเพียง 1 ก็หมดสภาพ
ไม่เห็นอะไรเป็นพลัง แต่ได้เพียง 1 แฝงเป็นสำคัญ ก็ดีเด่นได้ หูตาสว่าง ความคิดแหลมคม ศึกษาดีๆ หาประสบการณ์มากๆ คุยแบบสร้างสรรค์หาความรู้ ด้วยจริงจัง นั่นคืออัจฉริยะ
ดูเหมือนว่า "วันเช็งเม้ง" จะเริ่มห่างหายจากลูกหลานชาวจีนมากขึ้น ไม่ว่าจากสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม การคงไว้ซึ่งวันนัดพบถามไถ่ทุกข์สุขดิบกันก็ดี นานกว่าจะได้พบเจอกันก็ดี ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันก็ดี พี่น้องช่วยเหลือกันก็ดี นี่เแหละเป็นกุศโลบายของชาวจีน ประเพณีที่ควรจะสืบคงไว้ตลอดไป
นอกจากโชคลาภ..ความสุขความเจริญที่บรรพบุรุษส่งเสริมเราแล้ว..ตัวเราเองก็ต้องดูแลตัวเองด้วย..หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ..อาหารที่ทานมีคุณค่าครบตามที่ร่างกายต้องการ...หายใจด้วยอากาศไร้มลพิษ..เหล้าเบียร์แอลกอฮอล์ทานแต่น้อยพอประมาณ
Cr.
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, kapook.com, mthai.com, fengshuitown.com, js100.com
หากท่านอ่อนเพลีย เมื่อยล้า นอนไม่ค่อยหลับ ภูมิคุ้มกันน้อย..ขอแนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB...สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..