รู้จักวิตามิน หรือ ไวตามิน
วิตามิน หรือ ไวตามิน เป็นสารประกอบอินทรีย์ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่สิ่งมีชีวิตต้องการในปริมาณเล็กน้อย เรียกสารประกอบเคมีอินทรีย์ (หรือชุดสารประกอบที่สัมพันธ์กัน) ว่า วิตามิน ต่อเมื่อสิ่งมีชีวิตไม่สามารถสังเคราะห์สารนั้นได้ในปริมาณเพียงพอ และต้องได้รับจากอาหาร
ฉะนั้น คำว่า "วิตามิน" จึงขึ้นอยู่กับทั้งสภาวะแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ ตัวอย่างเช่น กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) ถือเป็นวิตามินสำหรับมนุษย์ แต่ไม่ถือเป็นวิตามินสำหรับสัตว์อื่นส่วนใหญ่ การเสริมวิตามินสำคัญต่อการรักษาปัญหาสุขภาพบางอย่าง แต่มีหลักฐานประโยชน์การใช้ในผู้มีสุขภาพดีน้อย (ภูมิต้านทานน้อย)
คำว่า วิตามิน ไม่รวมสารอาหารสำคัญอื่น เช่น แร่ธาตุ กรดไขมันจำเป็น หรือกรดอะมิโนจำเป็น (ซึ่งร่างกายต้องการสารเหล่านี้ในปริมาณมากกว่าวิตามินมาก) หรือสารอาหารอื่นอีกมากที่ส่งเสริมสุขภาพแต่ต้องการไม่บ่อย
ในปัจจุบัน ระดับสากลรับรองวิตามินอย่างสากลสิบสามชนิด วิตามินจำแนกโดยกัมมันตภาพทางชีวภาพและเคมี ไม่ใช่โครงสร้าง ฉะนั้น วิตามินแต่ละชนิดจึงหมายถึงสารประกอบวิตาเมอร์ (vitamer) ซึ่งล้วนแสดงกัมมันตภาพทางชีวภาพที่สัมพันธ์กับวิตามินหนึ่ง ๆ ชุดสารเคมีดังกล่าวจัดกลุ่มตามชื่อวิตามิน "ระบุทั่วไป" เรียงตามอันดับอักษร
เช่น "วิตามินเอ" ซึงรวมสารประกอบเรตินัล เรตินอล และแคโรทีนอยด์ที่ทราบกันอีกสี่ชนิด วิตาเมอร์ตามนิยามสามารถเปลี่ยนเป็นรูปกัมมันต์ของวิตามินในร่างกายได้ และบางครั้งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตาเมอร์อีกชนิดหนึ่งได้เช่นกัน
วิตามินมีหน้าที่ทางชีวเคมีหลากหลาย วิตามินบางตัวมีหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมเมแทบอลิซึมของแร่ธาตุ (เช่น วิตามินดี) บางตัวควบคุมการเจริญและการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เฉพาะของเซลล์และเนื้อเยื่อ เช่น วิตามินเอบางรูป หน้าที่อื่นของวิตามิน เช่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (เช่นวิตามินอีและวิตามินซีในบางครั้ง) วิตามินจำนวนมากที่สุด
วิตามินบีคอมเพล็กซ์ มีหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของโคแฟกเตอร์เอนไซม์ ซึ่งช่วยเอนไซม์ทำงานเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในเมแทบอลิซึม ในบทบาทนี้ วิตามินอาจสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอนไซม์ที่เป็นส่วนหนึ่งของหมู่พรอสเธติก (prosthetic group) ตัวอย่างเช่น ไบโอตินเป็นส่วนของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกรดไขมัน
วิตามินยังอาจสัมพันธ์ใกล้ชิดน้อยกว่ากับตัวเร่งปฏิกิริยาเอนไซม์ คือ โคเอนไซม์ ซึ่งเป็นโมเลกุลจับได้ซึ่งมีหน้าที่นำหมู่เคมีหรืออิเล็กตรอนระหว่างโมเลกุลต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น กรดโฟลิกอาจนำหมู่เมทิล ฟอร์มิล และเมทีลินในเซลล์ แม้ว่าบทบาทเหล่านี้ในการสนับสนุนปฏิกิริยาเอนไซม์-สารตั้งต้นจะเป็นหน้าที่ของวิตามินซึ่งทราบกันดีที่สุด ทว่า หน้าที่อื่นของวิตามินก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เมื่อกลางคริสต์ทศวรรษ 1930 มีเม็ดเสริมอาหารวิตามินบีคอมเพลกซ์ที่สกัดจากยีสต์และวิตามินซีกึ่งสังเคราะห์เชิงพาณิชย์วางขายเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้น วิตามินได้รับจากอาหารเพียงทางเดียว และปกติการเปลี่ยนอาหาร (ตัวอย่างเช่น ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างฤดูเพาะปลูกหนึ่ง ๆ) เปลี่ยนชนิดและปริมาณวิตามินที่ได้รับอย่างมาก ทว่า ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา มีการผลิตวิตามินเป็นสารเคมีโภคภัณฑ์และมีเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารปรุงแต่งวิตามินรวมทั้งกึ่งสังคราะห์และสังเคราะห์ราคาไม่แพงอย่างแพร่หลายมาก
วิตามินแต่ละชนิดใช้ในหลายปฏิกิริยา ฉะนั้น ส่วนใหญ่จึงมีหลายหน้าที่
ชื่อบอกทั่วไปของวิตามิน | ชื่อเคมีวิตาเมอร์(รายการไม่สมบูรณ์) | สภาพละลายได้ | ปริมาณที่แนะนำ (ชาย อายุ 19–70 ปี) |
โรคจากการขาด | ระดับปริมาณได้รับบน (UL/วัน) |
โรคจากขนาดเกิน | แหล่งอาหาร |
---|---|---|---|---|---|---|---|
วิตามินเอ | เรตินอล,เรตินาล, และ แคโรทีนอยด์สี่ชนิด รวมทั้ง บีตา-แคโรทีน |
ไขมัน | 900 ไมโครกรัม | ตาบอดกลางคืน, หนังคางคก, และกระจกตาน่วม | 3,000 ไมโครกรัม | ภาวะวิตามินเอเกิน | ตับ ไข่ ส้ม ผลไม้สีเหลืองสุก ผักใบเขียว แครอท ฟักทอง ผักโขมฝรั่ง ปลา นมถั่วเหลือง นม |
วิตามินบี1 | ไทอามีน | น้ำ | 1.2 มิลลิกรัม | โรคเหน็บชา,กลุ่มอาการเวอร์นิเก–คอร์ซาคอฟ | N/D | ง่วงนอนหรือกล้ามเนื้อผ่อนคลายในขนาดสูง | เนื้อหมู โอ๊ตมีล (oatmeal) ข้าวซ้อมมือ ผัก มันฝรั่ง ตับ ไข่ |
วิตามินบี2 | ไรโบเฟลวิน | น้ำ | 1.3 มิลลิกรัม | โรคขาดวิตามินบี 2, ลิ้นอักเสบ, โรคปากนกกระจอก | N/D | ผลิตภัณฑ์นม กล้วย ป๊อปคอร์น ถั่วสีเขียว หน่อไม้ฝรั่ง | |
วิตามินบี3 | ไนอาซิน,ไนอะซินาไมด์ | น้ำ | 16.0 มิลลิกรัม | โรคเพลแลกรา | 35.0 มิลลิกรัม | ตับเสียหาย (ขนาด > 2 ก./วัน) และปัญหาอื่น | เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผักหลายชนิด เห็ดผลเปลือกแข็งเมล็ดเดียว |
วิตามินบี5 | กรดแพนโทเทนิก | น้ำ | 5.0 มิลลิกรัม | ความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน | N/D | ท้องร่วง อาจมีคลื่นไส้และอาการแสบร้อนกลางอก | เนื้อสัตว์ บล็อกโคลี อะโวคาโด |
วิตามินบี6 | ไพริด็อกซีน,ไพริด็อกซามีน, ไพริด็อกซัล | น้ำ | 1.3–1.7 มิลลิกรัม | โลหิตจาง โรคเส้นประสาทหลายเส้น | 100 มิลลิกรัม | การรับรู้อากัปกิริยาบกพร่อง เส้นประสาทเสียหาย (ขนาด > 100 มิลลิกรัม/วัน) | เนื้อสัตว์ ผัก ผลเปลือกแข็งเมล็ดเดียว กล้วย |
วิตามินบี7 | ไบโอติน | น้ำ | 30.0 ไมโครกรัม | ผิวหนังอักเสบลำไส้เล็กอักเสบ | N/D | ไข่แดงดิบ ตับ ถั่วลิสง ผักใบเขียว | |
วิตามินบี9 | กรดโฟลิก,กรดโฟลินิก | น้ำ | 400 ไมโครกรัม | โลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงใหญ่(megaloblastic anemia) และการขาดระหว่างตั้งครรภ์สัมพันธ์กับความพิการของทารกแรกเกิด เช่น นิวรัลทิวบ์ (neural tube) บกพร่อง | 1,000 ไมโครกรัม | อาจบดบังอาการของการขาดวิตามินบี12 และผลอย่างอื่น | ผักใบ พาสตา ขนมปัง ธัญพืช ตับ |
วิตามินบี12 | ไซยาโนโคบาลามิน,ไฮดรอกซีโคบาลามิน,เมทิลโคบาลามิน | น้ำ | 2.4 ไมโครกรัม | โลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงใหญ่ | N/D | ผื่นคล้ายสิว [สาเหตุยังไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัด] | เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่นจากสัตว์ |
วิตามินซี | กรดแอสคอร์บิก | น้ำ | 90.0 มิลลิกรัม | ลักปิดลักเปิด | 2,000 มิลลิกรัม | วิตามินซีขนาดสูง(Vitamin C megadosage) | ผลไม้และผักหลายชนิด ตับ |
วิตามินดี | คลอเลแคลซิเฟรอล, เออร์โกแคลซิเฟรอล | ไขมัน | 10 ไมโครกรัม | โรคกระดูกอ่อนในเด็กและโรคกระดูกน่วม | 50 ไมโครกรัม | ภาวะวิตามินดีเกิน | ปลา ไข่ ตับ เห็ด |
วิตามินอี | โทโคเฟอรอล, โทโคไตรอีนอล | ไขมัน | 15.0 มิลลิกรัม | การขาดน้อยมาก; การเป็นหมันในชายและการแท้งในหญิงโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกเล็กน้อยในทารกแรกเกิด | 1,000 มิลลิกรัม | พบภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นในการศึกษาแบบสุ่มขนาดใหญ่ครั้งหนึ่ง | ผักและผลไม้หลายชนิด ผลเปลือกแข็งเมล็ดเดียวกับเมล็ดพืช |
วิตามินเค | ฟิลโลควิโนน, เมนาควิโนน | ไขมัน | 120 ไมโครกรัม | เลือดออกง่าย | N/D | เพิ่มเลือดจับลิ่มในผู้ป่วยที่ได้วาร์ฟาริน | ผักใบเขียว ไข่แดง ตับ |
วิตามินที่ละลายในน้ำ
วิตามินที่ละลายในไขมัน
ความแตกต่างของวิตามินทั้ง 2 ประเภท
เนื่องจากความสามารถในการละลายในน้ำและน้ำมันที่แตกต่างกัน ทำให้วิตามินทั้งสองกลุ่ม มีคุณสมบัติบางประการที่แตกต่างกันด้วย เช่น การดูดซึม การขนส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การเก็บสะสม การขับออกมานอกร่างกาย รวมถึงพิษหรืออาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับวิตามินมากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย
วิตามินที่ละลายในน้ำ | วิตามินที่ละลายในไขมัน | |
การดูดซึมจากทางเดินอาหาร | พอดูดซึมแล้วจะเข้าสู่กระแสเลือดในทันที | ต้องเข้าสู่ระบบน้ำเหลือก่อน จึงเข้าสู่ระบบเลือด |
การขนส่งภายในร่างกาย | ขนส่งอย่างอิสระ | ต้องการโปรตีนหรือตัวขนส่งเฉพาะจึงไปยังที่ต่างๆในร่างกายได้ |
การเก็บสะสม | ส่วนใหญ่เก็บและหมุนเวียนในส่วนน้ำของร่างกาย เช่น เลือด | เก็บสะสมในไขมัน |
การขับออกจากร่างกาย | ไตทำหน้าที่สำคัญในการขับออกวิตามินที่มากเกินความต้องการ โดยจะขับออกทางปัสสาวะ | ร่างกายขับออกได้น้อย ส่วนใหญ่จะสะสม |
วิตามินเอ
วิตามินเอ หรือ เรตินอล จัดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันหรือน้ำมัน ซึ่งภายในร่างกายของเราสามารถเก็บวิตามินเอได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอทุกวัน โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอ ได้แก่ อาหารจำพวกตับ, บร็อกโคลี, ผักโขม, ฟักทอง, น้ำมันตับปลา, แครอท, ไข่, นม, มะละกอ, มะม่วง, ถั่วลันเตา เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินเอ
– ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันภาวะตาแห้ง หรือตาบอด
– ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
– ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวพรรณ ลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวแข็งแรง
– ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ฟัน และเหงือก
– ช่วยบำรุงให้ผมมีสุขภาพดี
– ช่วยรักษาสิว ริ้วรอยต่างๆ
– ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ และโรคถุงลมโป่งพองได้
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ปกติในท้องตลาดทั่วไปมีวางจำหน่ายอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทที่สกัดน้ำมันตับปลาตามธรรมชาติ และประเภทกระจายตัวในน้ำ ที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ควรรับประทานแบบน้ำมัน อย่างผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ซึ่งขนาดที่แนะนำให้รับประทานโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 5,000 – 10,000 ไอยู
และนอกจากนี้ยังมีกรดวิตามินเอแบบทา หรือเรียกว่า เรตินเอ ที่ใช้เพื่อการรักษาสิวเป็นหลัก โดยจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้ตามใบสั่งของแพทย์เท่านั้น
อันตรายจากการได้รับวิตามินเอมากเกินขนาด
– การรับประทานวิตามินเกินวันละ 15,000 ไอยู อย่างต่อเนื่องติดต่อกันทุกวันจะเกิดเป็นพิษต่อตับขึ้น
– สำหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หากได้รับวิตามินเอเกินขนาดจะทำให้ทารกที่ออกมาพิการได้
– อาการที่บ่งชี้ว่ากำลังได้รับวิตามินเอเกินขนาด ได้แก่ ผมร่วง, ท้องเสีย, อาเจียน, เป็นผื่น, ปวดศีรษะ, รอบเดือนมาผิดปกติ, ตับบวมโต, ปวดกระดูก และอ่อนเพลีย เป็นต้น
วิตามินบี
วิตามินบี หรือ วิตามินรวม เรียกว่ามีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น วิตามินบี 1, วิตามินบี 2, วิตามินบี 3, วิตามินบี 5, วิตามินบี 6, วิตามินบี 7, วิตามินบี 9, วิตามินบี 12, วิตามินบี 15 หรือวิตามินบี 17 เป็นต้น โดยวิตามินบีต่างๆ เหล่านี้จะให้ประโยชน์และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน
วิตามินบี 1
วิตามินบี 1 หรือ ไทอามีน จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ โดยวิตามินจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับการชดเชยใหม่ทุกวัน เป็นวิตามินที่สังเคราะห์มาจากเชื้อแบคทีเรีย, รา และพืช ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 1 อยู่ ได้แก่ ส้ม, หน่อไม้ฝรั่ง, เนื้อสัตว์, ตับ, ข้าวกล้อง, เมล็ดทานตะวัน, ถั่วต่างๆ, มันเทศ, ข้าวโอ๊ต, ขนมปัง, ยีสต์, ธัญพืชต่างๆ, ปลา, รำจมูกข้าว, ข้าวกล้อง เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินบี 1
– ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือภาวะสมองเสื่อม
– ช่วยให้เจริญอาหาร
– ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง
– ช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย
– ช่วยรักษาโรคงูสวัด
– ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการผ่าตัดทำฟัน
– ช่วยให้ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจดีขึ้น
– ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบินได้
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายเป็น 50 มิลลิกรัม, 100 มิลลิกรัม และ 500 ไมโครกรัม โดยขนาดที่แนะนำให้รับประทานคือ 100 – 300 มิลลิกรัม ซึ่งร่างกายต้องการวันละ 1.5 ไมโครกรัม ควรรับประทานร่วมกับวิตามินบี 2 และวิตามินบี 6
อันตรายจากการได้รับวิตามินบี 1 มากเกินขนาด
– เนื่องจากวิตามินบีนั้นเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ หากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็มักจะขับออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ จึงทำให้วิตามินบีไม่เข้าไปสะสมอยู่ภายในร่างกายจนเกิดภาวะพิษในร่างกายขึ้นได้ และอาการบ่งชี้ว่าร่างกายได้รับวิตามินบี 1 มากเกินไปนั้นไม่ค่อยพบ อาจมีทั่วๆ ไป เช่น ภาวะตัวบวม, ใจเต้นเร็ว, อาการสั่น หรือภูมิแพ้ เป็นต้น
วิตามินบี 2
วิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน หรือที่คนสมัยก่อนอาจรู้จักกันในชื่อวิตามินจี จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ดูดซึมง่าย เช่นเดียวกันกับวิตามินบี 1 ร่างกายไม่เก็บสะสมวิตามินบี 2 ไว้ เราจึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินบี 2 เป็นประจำ ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 2 อยู่ ได้แก่ โยเกิร์ต, มะเขือเทศ, เนื้อ, พืชผักใบเขียวต่างๆ, ถั่วต่างๆ, เมล็ดอัลมอนด์, ไข่, เนื้อปลา, ตับ หรือเมล็ดธัญพืชต่างๆ เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินบี 2
– ช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตให้แก่ร่างกาย
– ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี
– ช่วยให้สุขภาพเล็บและผมแข็งแรง
– ช่วยให้อวัยวะระบบสืบพันธุ์แข็งแรง
– ช่วยป้องกันอาการเจ็บหรือแสบที่เกิดภายในช่องปาก หรือโรคนกกระจอกเทศ
– ช่วยบำรุงสายตาในการมองเห็น และอาการอ่อนล้าของสายตา
– ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรน
– ช่วยในการเผาผลาญแป้ง, ไขมัน และโปรตีน
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายหลายขนาด โดยขนาดที่ใช้กันทั่วไปจะอยู่ที่ 100 – 300 มิลลิกรัม ซึ่งในทารกร่างกายต้องการวันละ 0.3 – 0.4 มิลลิกรัม ส่วนในเด็กจะอยู่ที่วันละ 0.6 – 0.9 มิลลิกรัม ในผู้ชายจะอยู่ที่วันละ 1.3 มิลลิกรัม และในผู้หญิงจะอยู่ที่วันละ 1.1 มิลลิกรัม ส่วนในผู้หญิงตั้งครรภ์จะอยู่ที่วันละ 1.4 มิลลิกรัม
อันตรายจากการได้รับวิตามินบี 2 มากเกินขนาด
– เนื่องจากวิตามินบีนั้นเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ หากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็มักจะขับออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ จึงทำให้วิตามินบีไม่เข้าไปสะสมอยู่ภายในร่างกายจนเกิดภาวะพิษในร่างกายขึ้นได้ และอาการบ่งชี้ว่าร่างกายได้รับวิตามินบี 1 มากเกินไปนั้นไม่ค่อยพบ อาจมีทั่วๆ ไป เช่น เกิดอาการชา หรือแสบยิบๆ หรืออาการคัน เป็นต้น
วิตามินบี 3
วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซิน หรือ วิตามินพีพี จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำเช่นเดียวกับวิตามินบีอื่นๆ โดยร่างกายของเรานั้นจะสามารถสร้างไนอะซินขึ้นได้เองโดยใช้กรดแอมิโนทริปโตแฟน แต่หากร่างกายกำลังขาดสารอาหารอย่างวิตามินบี 1, บี 2 และบี 6 ร่างกายจะไม่สามารถสร้างไนอะซินจากทริปโตแฟนขึ้นได้ ซึ่งในอาหารที่กรดอะมิโนทริปโตแฟน ได้แก่ เห็ด, อะโวคาโด, ยีสต์, มะเขือเทศ, แครอท, บร็อกโคลี, มันฝรั่ง เป็นต้น ส่วนแหล่งของวิตามินบี 3 จะอยู่ในอาหารจำพวกเนื้อ, นม, ไข่, ถั่วต่างๆ, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, ตับ เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินบี 3
– ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
– ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกรีเซอไรด์
– ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น
– ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยสดใสเปล่งปลั่ง
– ช่วยบำรุงระบบประสาท
– ช่วยลดภาวะอาการซึมเศร้า
– ช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบ
– ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
– ช่วยแก้อาการร้อนใน
– ช่วยลดกลิ่นปาก
– ช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรน
– ช่วยลดความดันโลหิต
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายในรูปของแคปซูล อัดเม็ด และผง ในขนาด 50 – 1,000 มิลลิกรัม โดยวิตามินบีรวมที่ดีมักมีไนอะซินรวมอยู่ด้วยในขนาด 50 – 500 มิลลิกรัม ซึ่งสามารถอ่านดูที่ฉลากได้ และควรขอคำแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนนำมารับประทาน
อันตรายจากการได้รับวิตามินบี 3 มากเกินขนาด
หากรับประทานมากเกินขนาดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาการหน้าแดง, คันตามตัว, อาการร้อนวูบวาบ เป็นต้น และห้ามให้สัตว์เลี้ยงรับประทาน
วิตามินบี 6
วิตามินบี 6 หรือ ไพริด็อกซิน จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำอีกชนิดหนึ่ง โดยจะถูกขับออกจากร่างกายได้ในเวลา 8 ชั่วโมง หลังจากรับประทานอาหารเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่ ได้แก่ เมล็ดธัญพืชต่างๆ, ถั่วต่างๆ, เนื้อสัตว์, ข้าวซ้อมมือ, กล้วย, ขนมปัง, นม, พืชผักต่างๆ เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินบี 6
– ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
– ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
– ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดีขึ้น
– ช่วยบำรุงผิวพรรณ
– ช่วยให้ระบบย่อยในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
– ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
– ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้วิงเวียนศีรษะ
– ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
– ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องช่วงก่อนมีรอบเดือนของผู้หญิง
– ช่วยบรรเทาอาการอาเจียนในสตรีมีครรภ์
– ช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายหลายขนาด ตั้งแต่ขนาด 50 – 500 มิลลิกรัม ทั้งในแบบแยกและแบบวิตามินบีรวม โดยสามารถซื้อสูตรแบบแตกตัวช้ามารับประทานได้ ซึ่งสามารถปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนซื้อมารับประทาน
อันตรายจากการได้รับวิตามินบี 6 มากเกินขนาด
หากรับประทานวิตามินบี 6 มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยจะทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น อาการเท้าชาและกระตุก หรือฝันแล้วเหมือนจริงมากเกินไป และมีอาการกระสับกระส่ายในช่วงเวลากลางคืน เป็นต้น นอกจากนี้ หากรับประทานติดต่อกันทุกวันเป็นประจำในขนาด 2 – 10 กรัม อาจส่งผลก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบประสาทได้
วิตามินบี 7
วิตามินบี 7 หรือ ไบโอติน หรือ วิตามินบีดับเบิลยู จัดเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ โดยแหล่งอาหารที่สำคัญของวิตามินบี 7 อยู่ ได้แก่ ตับ, เครื่องในสัตว์, สัตว์ปีก, เมล็ดธัญพืชต่างๆ ที่ไม่ขัดสี, ถั่วเหลือง, ไข่แดง, กะหล่ำดอก เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินบี 7
– ช่วยบำรุงสุขภาพผิวและเส้นผมให้แข็งแรง
– ช่วยป้องกันภาวะผมหงอกก่อนวัย
– ช่วยป้องกันอาการผมร่วง
– ช่วยบำรุงระบบประสาท
– ช่วยบำรุงไขกระดูกให้แข็งแรง
– ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย
– ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
– ช่วยผลิตฮอร์โมนเพศในช่วงวัยรุ่น
– ช่วยบำรุงเล็บไม่ให้เปราะหรือแตกหักง่าย
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายหลายขนาด โดยขนาดที่แนะนำทั่วไปจะอยู่ที่ 100 – 300 ไมโครกรัม ซึ่งร่างกายเราต้องการไบโอตินวันละ 20 – 100 ไมโครกรัม โดยเฉพาะในผู้หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับไบโอตินเสริม แต่โดยปกติแล้วสารไบโอตินมักอยู่ในอาหารที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำ ร่างกายจึงไม่ค่อยขาดสารไบโอตินมากเท่าไหร่นัก
อันตรายจากการได้รับวิตามินบี 7 มากเกินขนาด
เนื่องจากวิตามินบี 7 หรือไบโอตินนี้จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้ เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณมากเกินไป ส่วนใหญ่ร่างกายมักจะขับออกมาในรูปของปัสสาวะ จึงไม่มีภาวะพิษที่ได้รับจากการรับประทานวิตามินชนิดนี้มากเกินไป
วิตามินบี 9
วิตามินบี 9 หรือ โฟเลต หรือ วิตามินเอ็มโฟเลต จัดเป็นวิตามินในกลุ่มวิตามินที่ละลายน้ำ เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายชนิดหนึ่ง โดยแห่งอาหารสำคัญที่มีวิตามินบี 9 อยู่ ได้แก่ ไข่แดง, ตับ, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, ถั่วต่างๆ, ข้าวซ้อมมือ, ยีสต์, อะโวคาโด, ฟักทอง, พืชผักใบเขียว, แคนตาลูป, ผลไม้รสเปรี้ยว, ส้ม, กล้วย เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินบี 9
– ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
– ช่วยพัฒนาระบบสมองและประสาท
– ช่วยสร้างเสริมเซลล์เม็ดเลือดแดง
– ช่วยในการเผาผลาญโปรตีน
– ช่วยเสริมสร้างกรดนิวคลีอิก
– ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเด็ก
– ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ
– ช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งลำไส้
– ช่วยป้องกันภาวะแท้งหรือพิการในเด็กทารกของหญิงตั้งครรภ์
– ช่วยเสริมสร้างน้ำนมของหญิงหลังคลอด
– ช่วยบำรุงผิวพรรณ
– ช่วยป้องกันภาวะผมหงอกก่อนวัยอันควร
– ช่วยป้องกันอาการแพ้จากภาวะอาหารเป็นพิษ
– ช่วยป้องกันการเกิดพยาธิในลำไส้
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายหลายขนาด ตั้งแต่ขนาด 400 – 800 ไมโครกรัม โดยขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 180 – 200 ไมโครกรัม แต่ในผู้หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานเพิ่มเป็น 2 เท่า และจำเป็นต้องซื้อตามใบสั่งของแพทย์เท่านั้น
อันตรายจากการได้รับวิตามินบี 9 มากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินบี 9 มากเกินขนาด อาจมีในบางรายที่มีอาการผื่นแพ้ขึ้นได้ และอาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 ขึ้นได้
วิตามินบี 12
วิตามินบี 12 หรือไซยาโนโคบาลามิน หรือวิตามินแดง เป็นวิตามินที่ละลายน้ำ ซึ่งจัดเป็นสารอาหารที่พบได้ในเนื้อสัตว์เท่านั้น ไม่มีอยู่ในพืชผักต่างๆ โดยแห่งอาหารสำคัญที่มีวิตามินบี 12 อยู่ ได้แก่ หอยนางรม, หอยแครง, เครื่องในสัตว์, ตับ, เนื้อปลา, ไข่, นม, ชีส เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินบี 12
– ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
– ช่วยลดอัตราความเสี่ยงต่อภาวะโรคหัวใจ
– ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
– ช่วยแก้อาการซึมเศร้า
– ช่วยสร้างเสริมโปรตีน
– ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง
– ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย
– ช่วยให้เด็กเจริญอาหาร
– ช่วยสร้างเสริมสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
– ช่วยป้องกันโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
– ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายหลายขนาด ตั้งแต่ขนาด 50 – 2,000 ไมโครกรัม โดยขนาดที่แนะนำให้รับประทานโดยทั่วไปจะอยู่ที่วันละ 5 – 100 ไมโครกรัม และเนื่องจากวิตามินบี 12 นี้ จะดูดซึมได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในกระเพาะอาหาร อาจรับประทานแบบแตกตัวช้า ร่วมกับซอร์บิทอล เพื่อให้ไปแตกตัวในลำไส้เล็ก
อันตรายจากการได้รับวิตามินบี 12 มากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินบี 12 มากเกินขนาด ยังไม่พบการเกิดอันตรายกับร่างกายที่ร้ายแรง อาจมีสิวขึ้นมาก หรือปัสสาวะมีกลิ่นแรง และเส้นประสาทอาจหนาขึ้น เป็นต้น
วิตามินซี
วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และจะสลายตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง หรือความร้อน ซึ่งวิตามินซีจัดเป็นวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายอย่างยิ่งเพราะเรียกได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมากๆ โดยในสัตว์ส่วนใหญ่นั้นจะสามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นได้เอง แต่ในมนุษย์ หนูตะเภา และลิง จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินซีอยู่ ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย, มะเขือเทศ, ส้ม, มันฝรั่ง, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย, แคนตาลูป, พริกไทย, ดอกกะหล่ำ เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินซี
– ช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนให้แก่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
– ช่วยป้องกันโรคหวัด
– ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
– ช่วยให้ผิวพรรณดี สดใส เปล่งปลั่ง
– ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ
– ช่วยลดความดันโลหิต
– ช่วยป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟัน
– ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กภายในร่างกาย
– ช่วยรักษาแผลสด หรือแผลจากไฟไหม้ได้
– ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น
– ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
– ช่วยยาที่ใช้สำหรับการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
– ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระได้ดีมาก
– ช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียและไวรัสหลายชนิด
– ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย
– ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว
– ช่วยต้านทานอาการภูมิแพ้
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์
– ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ในท้องตลาดทั่วไปเรียกได้ว่าเป็นวิตามินที่มีจำหน่ายแพร่หลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง นิยมรับประทานกันมาก มีทั้งในรูปแบบของแคปซูล อัดเม็ด ลูกอม แบบผง และน้ำเชื่อม เป็นต้น โดยขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันจะอยู่ที่ 500 มิลลิกรัม ถึงประมาณ 4 กรัมต่อวัน และไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างเนื่องจากมีกรด ควรรับประทานหลังอาหารทันที หรือพร้อมอาหาร และห้ามอมไว้ในปากเพราะจะกัดกร่อนฟัน ทำให้เกิดแผลภายในช่องปากได้
อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินซีมากเกินขนาดอาจก่อให้เกิดโรคนิ่วจากกรมออกซาลิกและกรดยูริกได้ และอาจมีอาการปัสสาวะบ่อย, ท้องร่วง, ปวดศีรษะ หรือเป็นผื่นตามผิวหนัง เป็นต้น ฉะนั้นควรรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย
วิตามินดี
วิตามินดี หรือ แคลซิเฟอรอล หรือ วิตามินแดด จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน โดยร่างกายของเราจะได้รับวิตามินชนิดนี้จากการได้รับแสงแดด หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินดีอยู่ ได้แก่ นม, เนย, ปลา, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, ไข่แดง, ตับ เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินดี
– ช่วยในเรื่องการดูดซึมของวิตามินเอ
– ช่วยเสริมสร้างฟอสฟอรัสและแคลเซียม ที่เป็นส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
– ช่วยแก้ภาวะเยื่อบุตาอักเสบ
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
– ช่วยแก้โรคหวัดได้หากรับประทานร่วมกับวิตามินเอและซี
– ช่วยป้องกันภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุน
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
สำหรับวิตามินดีที่เป็นอาหารเสริม มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานคือ 5 – 10 ไมโครกรัม สำหรับในผู้ใหญ่ โดยในท้องตลาดทั่วไปมีวางจำหน่ายทั้งแบบแคปซูลและแบบเม็ด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนซื้อมารับประทาน
อันตรายจากการได้รับวิตามินดีมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินดีมากเกินขนาดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายขึ้นได้ โดยมีอาการต่างๆ เช่น คันตามบริเวณผิวหนัง, มีอาการท้องร่วง, เจ็บบริเวณดวงตา, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่, อาเจียน หรือมีหินปูนแคลเซียมสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ปอด กระเพาะอาหาร หรือตับ และไตได้
วิตามินอี
วิตามินอี หรือ ไทโคฟีรอล หรือ ไทโคไทรอีนอล จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมันหรือไขมัน เมื่อรับประทานเข้าไปจะถูกเก็บสะสมตามเนื้อเยื่อไขมัน, เลือด, ต่อมหมวกไต, ต่อมใต้สมอง, หัวใจ, มดลูก และกล้ามเนื้ออัณฑะ โดยแหล่งอาหารสำคัญที่มีวิตามินอีอยู่ ได้แก่ อะโวคาโด, พืชผักใบเขียว, เมล็ดธัญพืชต่างๆ, เนื้อสัตว์, ข้าวโพด, ไข่แดง เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินอี
– ช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าและผิวพรรณ ดูอ่อนกว่าวัย
– ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ
– ช่วยป้องกันและละลายลิ่มเลือดในร่างกาย
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ได้หลากหลายชนิด
– ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกาย
– ช่วยให้ปอดแข็งแรง
– ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบริเวณเต้านม
– ช่วยปกป้องร่างกาย ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี
– ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกตา
– ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย
– ช่วยสมานแผลไหม้บริเวณผิวหนังให้หายได้เร็วขึ้น
– ช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นที่หนาและนูนขึ้น
– ช่วยบรรเทาอาการขาตึงหรือเกิดตะคริว
– ช่วยลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคสมองเสื่อม หรือภาวะอัลไซเมอร์
– ช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
– ช่วยป้องกันภาวการณ์เกิดโรคอัมพาต หรืออัมพฤกษ์
– ช่วยลดความดันโลหิต
– ช่วยป้องกันภาวะการแท้ง
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
สำหรับวิตามินอีนั้นในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายทั้งในรูปแบบของน้ำมันชนิดแคปซูล และแบบอัดเม็ดที่ละลายน้ำ ตั้งแต่ 100 – 1,500 ไอยู โดยมีขนาดที่แนะนำให้รับประทานทั่วไปอยู่ที่ 200 – 1,200 ไอยูต่อวัน
อันตรายจากการได้รับวิตามินอีมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินอีมากเกินขนาดอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้องขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ควรรับประทานวิตามินนี้สูงเกินไป เนื่องจากจะทำให้เลือดหยุดไหลยาก และห้ามใช้ในผู้ที่ขาดวิตามินเค เพราะจะส่งผลให้เลือดหยุดไหลได้ยากเช่นเดียวกัน
วิตามินเค
วิตามินเค หรือ แอลฟาฟิลโลควิโนน จัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน โดยวิตามินเคนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ
วิตามินเค 1 ที่พบได้มากในพืชผักใบเขียว, กีวี และอะโวคาโด
วิตามินเค 2 เป็นประเภทที่สามารถสร้างขึ้นได้โดยแบคทีเรียกลุ่มโพรโบติกในลำไส้ใหญ่ของเรา และพบมากในอาหารประเภทเนื้อ, นม, ไข่, ถั่วหมักญี่ปุ่น
วิตามินเค 3 จัดเป็นวิตามินสังเคราะห์ อยู่ในรูปที่ละลายน้ำ เป็นวิตามินที่มีพิษ ซึ่งเป็นวิตามินที่ห้ามไม่ให้นำมาผลิตเป็นอาหารเสริม เพราะมีอันตรายและส่งผลให้เกิดอาการแพ้
ประโยชน์ของวิตามินเค
– ช่วยบรรเทาภาวะอาการรอบเดือนที่มามากผิดปกติ
– ช่วยป้องกันภาวะเลือดออกภายในร่างกาย หรือเลือดไหลไม่หยุด
– ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะบาง
– ช่วยในการสร้างลิ่มเลือดภายในร่างกาย
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
สำหรับวิตามินเคในท้องตลาดทั่วไปมีจำหน่ายแบบเม็ด 100 ไมโครกรัม โดยอาจมีผสมอยู่ในวิตามินรวมทั่วๆ ไป โดยปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายในเด็กทารกคือ 10 – 20 ไมโคกรัม ส่วนในเด็กเล็กจะอยู่ที่ 15 – 100 ไมโคกรัม และในผู้หญิงจะอยู่ที่ 90 ไมโครกรัม ส่วนในผู้ชายจะอยู่ที่ 120 ไมโครกรัม
อันตรายจากการได้รับวิตามินเคมากเกินขนาด
การรับประทานวิตามินเคมากเกินขนาดจะส่งผลเสียต่อร่างกายโดยอาจมีอาการท้องร่วงอย่างหนัก ซึ่งก่อนซื้อมารับประทานควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพราะแม้ว่าวิตามินเคนั้นจะมีความแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมันประเภทอื่นคือจะไม่สะสมในร่างกายเหมือนชนิดอื่นก็ตาม แต่วิตามินเคสังเคราะห์ก็จัดเป็นวิตามินที่อันตรายหากรับประทานมากเกินขนาด หรือไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายนั่นเอง
เมื่อเรารู้แล้วว่าวิตามินเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับร่างกาย เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และลดอาการเจ็บป่วยจากโรคภัยต่างๆรวมถึงโรคขาดสารอาหารด้วย แต่ในขณะเดียวกันเราเองต้องได้รับวิตามินชนิดต่างๆในปริมาณที่ร่างกายต้องการด้วย ไม่มากหรือน้อยจนเกินไปเพื่อให้ร่างกายได้ทำงานปกติและสมบูรณ์