แปะก๊วย ชื่อสามัญ Ginkgo biloba
แปะก๊วย ชื่อวิทยาศาสตร์ Ginkgo biloba L. จัดอยู่ในวงศ์ GINKGOACEAE
แปะก๊วย พืชพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณโดยเฉพาะในแถบประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น มีลำต้นขนาดใหญ่ ใบเป็นรูปพัด แปะก๊วยมีการนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาแบบแพทย์แผนจีน
โดยเชื่อว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสมอง ความคิด รวมถึงระบบไหลเวียนเลือด นอกจากนี้เมล็ดแปะก๊วยยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้อีกด้วย
ใบแปะก๊วยประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์หลักที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ 2 ชนิด คือ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และเทอร์พีนอยด์ (Terpenoids) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ มีการนำมารับประทานโดยเชื่อว่าอาจช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งอาจช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง ตา หู และขาให้ดีขึ้น บรรเทาอาการของโรคอัลไซเมอร์ การสูญเสียความทรงจำ สมาธิสั้น ปวดศีรษะ วิงเวียน หูอื้อ ความผิดปกติทางการได้ยิน
นอกจากนี้ในเมล็ดแปะก๊วยยังประกอบไปด้วยสารที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในร่างกาย แต่ก็อาจมีท็อกซิน (Toxin) หรือพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้มีอาการชักหรือหมดสติ
ทั้งนี้ข้อพิสูจน์หรือหลักฐานทางการแพทย์มีมากน้อยเพียงใดที่จะช่วยยืนยันสรรพคุณ ประโยชน์ และความปลอดภัยของการรับประทานแปะก๊วย สารสกัดจากแปะก๊วย รวมถึงสารสกัดจากใบแปะก๊วยที่มีบทบาทหรือส่วนช่วยในการรักษาโรคเหล่านี้
การรักษาด้วยแปะก๊วยที่อาจได้ผล
โรควิตกกังวล
การขาดหลักฐานและข้อสรุปในปัจจุบันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแปะก๊วยที่มีต่ออาการทางระบบประสาท เช่น ออทิสติก ภาวะซึมเศร้า สมาธิสั้น รวมถึงโรควิตกกังวล ทำให้มีการศึกษาโดยการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแปะก๊วยต่อโรคทางจิตประสาทรวมถึงโรควิตกกังวลทั่วไป โดยสุ่มให้ผู้ป่วยจำนวน 82 คน รับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยขนาด 480 มิลลิกรัมต่อวัน หรือ 240 มิลลิกรัมต่อวัน
พบว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการรักษาที่ 41% และ 31% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาหลอกที่มีการตอบสนองเพียง 22% และมีความปลอดภัยอยู่ในระดับที่ดี จึงอาจได้ผลในการรักษาโรควิตกกังวล แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
ความคิดความจำ
ในปัจจุบันยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแปะก๊วยในการพัฒนาความคิดความจำ แต่งานวิจัยส่วนใหญ่แนะนำว่าการรับประทานแปะก๊วยอาจช่วยพัฒนาความคิดความจำและสมาธิได้เล็กน้อยในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี โดยที่การรับประทานในปริมาณ 120-240 มิลลิกรัมต่อวันเป็นขนาดที่ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทานในปริมาณมากหรือ 600 มิลลิกรัมต่อวัน
นอกจากนี้ยังมีการวิจัยบางส่วนศึกษาเกี่ยวกับการรับประทานแปะก๊วยร่วมกับสมุนไพรหรืออาหารเสริมประเภทอื่น ๆ เช่น โสม หรือตังเซียม ที่อาจช่วยพัฒนาความคิดความจำได้ดีกว่าการรับประทานแปะก๊วยเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม การรับประทานแปะก๊วยร่วมกับโสมไม่อาจช่วยทำให้ความคิดหรืออารมณ์ของผู้หญิงวัยทองดีขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไปเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของแปะก๊วย
ต้อหิน
เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การสูญเสียเซลล์ปมประสาทม่านตาและใยประสาทแอกซอน (Axons) รวมถึงความดันตาที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ตาบอด จึงเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแปะก๊วยต่อความดันตา ทำให้มีงานวิจัยพบว่าการลดความดันตายังคงเป็นวิธีการรักษาต้อหินที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามสารสกัดจากแปะก๊วยอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยต้อหิน และอาจใช้เป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดรักษาผู้ป่วยต้อหินแบบความดันตาปกติ (Normal Tension Glaucoma) และแบบความดันตาสูง (High Tension Glaucoma)
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งให้ผู้ป่วยที่มีลานสายตาผิดปกติจากต้อหินจำนวน 27 คน รับประทานสารสกัดจากแปะก๊วยขนาด 40 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จากนั้นเว้นระยะพักไป 8 สัปดาห์ และรับประทานยาหลอกที่มีส่วนผสมของฟรักโทส 40 มิลลิกรัมต่อเป็นเวลา 4 สัปดาห์
จากผลการทดลองพบว่าแปะก๊วยอาจช่วยทำให้ลานสายตาที่ผิดปกติจากต้อหินมีอาการดีขึ้น แต่เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างมีจำนวนน้อย จึงยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของแปะก๊วยต่อไป
อาการก่อนมีประจำเดือน
เป็นอาการเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในวัยมีประจำเดือนต่อประสบพบเจอ ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้การรักษาด้วยสมุนไพรเป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจช่วยบรรเทาอาการและเกิดผลข้างเคียงได้น้อยกว่า
จึงมีการทดลองชิ้นหนึ่งสุ่มให้นักศึกษาหญิงที่มีอาการก่อนมีประจำเดือนทั้งหมด 90 คนรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยชนิดเม็ดขนาด 40 มิลลิกรัมหรือยาหลอก 3 ครั้งต่อวัน โดยเริ่มรับประทานในวันที่ 16 ของรอบประจำเดือนไปจนถึงวันที่ 5 ของรอบถัดไป พบว่าความรุนแรงของอาการก่อนมีประจำเดือนทั้งทางร่างกายและทางจิตใจโดยรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งในกลุ่มที่รับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยมีความรุนแรงของอาการลดลงมากกว่าในกลุ่มที่รับประทานยาหลอก อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ปริมาณ และระยะเวลาในการรักษา
ภาวะ Tardive Dyskinesia
เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคจิต ทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายแบบบิดไปมาหรือซ้ำ ๆ ในรูปแบบเดิมของกล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า ซึ่งอนุมูลอิสระอาจมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเกิดภาวะนี้
จึงมีการทดลองชิ้นหนึ่งสุ่มให้ผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย ขนาด 240 มิลลิกรัมต่อวันหรือยาหลอก เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าแปะก๊วยอาจมีประสิทธิภาพในการรักษาและบรรเทาอาการของภาวะดังกล่าวในผู้ป่วยจิตเภท
วิงเวียนศีรษะ
เป็นอาการเกิดขึ้นบ่อยและมักพบในเพศหญิงมากกว่าในเพศชาย และส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมีการทดลองชิ้นหนึ่งสุ่มให้ผู้ป่วยอายุเฉลี่ยที่ 58 ปี จำนวน 160 คน รับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย ขนาด 240 มิลลิกรัมต่อวันหรือยาเบตาฮีสทีน (Betahistine) ขนาด 32 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดจากแปะก๊วยมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการวิงเวียนศีรษะเท่าเทียมกับเบตาฮีสทีน ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาอาการวิงเวียนศีรษะอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
การรักษาด้วยแปะก๊วยที่เป็นไปได้ แต่ยังมีหลักฐานสนับสนุนไม่เพียงพอ
จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ
เป็นโรคที่ส่งผลต่อจอประสาทตาหรือเรตินา ซึ่งจะเกิดการเสื่อมสภาพเนื่องจากอายุหรือบางรายอาจเกิดบาดแผลที่จอประสาทตาและส่งผลต่อการมองเห็น ซึ่งแปะก๊วยเชื่อว่ามีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา
จึงมีการทดลองชิ้นหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแปะก๊วยกับยาหลอก โดยสุ่มให้ผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย ขนาด 80 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันหรือยาหลอก และการทดลองอีกชิ้นหนึ่งในประเทศเยอรมันสุ่มให้ผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย ขนาด 240 มิลลิกรัมต่อวัน และขนาด 60 มิลลิกรัมต่อวัน โดยทั้ง 2 การทดลองใช้ระยะเวลา 6 เดือน
ถึงแม้ว่าทั้ง 2 การทดลองจะมีการรายงานเกี่ยวกับผลกระทบในทางบวกของแปะก๊วยต่อการมองเห็น แต่กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก มีระยะเวลาในการทดลองสั้น ไม่มีการประเมินผลกระทบและคุณภาพชีวิต ซึ่งทำให้ยังไม่ได้คำตอบว่าแปะก๊วยมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยจอประสาทตาเสื่อมหรือไม่ อีกทั้งผู้วิจัยยังได้แนะนำอีกว่าการศึกษาในอนาคตควรเพิ่มขนาดของกลุ่มตัวอย่างและระยะเวลาในการทดลองเพื่อให้การประเมินผลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สมาธิสั้น
ผู้ป่วยสมาธิสั้นบางรายอาจมีการตอบสนองต่อยารักษาโรคที่แตกต่างกันออกไป ผู้ที่ตอบสนองต่อยาได้ไม่ดีอาจมีความสนใจการรักษาทางเลือก ซึ่งแปะก๊วยเป็นสมุนไพรที่มีการสันนิษฐานว่าอาจมีประโยชน์ต่อการรักษา ซึ่งจากการศึกษานำร่องทางคลินิกโดยให้เด็กสมาธิสั้นรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย เป็นเวลา 3-5 สัปดาห์ โดยสามารถเพิ่มขนาดสูงสุดที่ 240 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ป่วยที่ปัญหาเรื่องการจดจ่อยังไม่ดีขึ้น
หลักฐานที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้แนะนำว่าการใช้สารสกัดจากแปะก๊วยด้วยขนาดสูงสุดที่ 240 มิลลิกรัมต่อวันอาจเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์ทางการแพทย์สำหรับเด็กสมาธิสั้น แต่ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนสรุปถึงประสิทธิภาพในการรักษา
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งสุ่มให้ผู้ป่วยเด็กสมาธิสั้นรับประทานสารสกัดจากแปะก๊วยขนาด 80-120 มิลลิกรัมต่อวัน หรือรับประทานยาเมทิลเฟนิเดต (Methylphenidate) ขนาด 20-30 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าการรักษาสมาธิสั้นด้วยสารสกัดจากแปะก๊วยมีประสิทธิภาพด้อยกว่าการรักษาด้วยเมทิลเฟนิเดต ซึ่งเรื่องนี้ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
ออทิสติก
จากการศึกษาโดยการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแปะก๊วยต่อความผิดปกติของระบบประสาท โดยสุ่มให้ผู้ป่วยเด็กออทิสติกรับประทานแปะก๊วยหรือยาหลอก ร่วมกับการรับประทานยาริสเพอริโดน (Risperidone) พบว่ามีความปลอดภัย สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยเด็ก สามารถทนต่ออาการข้างเคียงได้ดีแต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และดูเหมือนว่าการใช้แปะก๊วยเป็นยารักษาเสริมร่วมกับยาริสเพอริโดนอาจไม่มีประสิทธิภาพในการรักษา
แต่มีการวิจัยจากการสังเกตขั้นต้นชิ้นหนึ่ง ให้ผู้ป่วยออทิสติกรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยขนาด 100 มิลลิกรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าส่งผลดีต่อพฤติกรรมที่ผิดปกติ รวมถึงอาการต่าง ๆ และแนะนำว่าแปะก๊วยอาจมีประสิทธิภาพเป็นยาเสริมในการรักษาออทิสติก แต่เนื่องจากหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของแปะก๊วยต่อออทิสติกยังไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาเพิ่มเติม
สูญเสียการได้ยิน
จากการทดลองโดยสุ่มให้ผู้ป่วยจำนวน 106 คน ที่มีอาการประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันแบบไม่ทราบสาเหตุ (Acute Idiopathic Sudden Sensorineural Hearing Loss) อย่างน้อย 15 เดซิเบล ที่เกิดขึ้นน้อยกว่า 10 วันก่อนการทดลองรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยขนาด 120 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน และขนาด 12 มิลลิกรัม เป็นเวลา 8 สัปดาห์
พบว่าการรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยดูเหมือนจะช่วยในการฟื้นตัวของผู้ป่วยที่สูญเสียการได้ยิน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับประทานในปริมาณสูงและไม่มีอาการหูอื้อ แต่เนื่องจากหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของแปะก๊วยต่อการได้ยินยังไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาต่อไป
ปวดศีรษะไมเกรน
มีการศึกษาขั้นต้นเกี่ยวกับการใช้สารกิงโกไลด์ ชนิดบี (Ginkgolide B) ซึ่งเป็นสารสกัดจากใบแปะก๊วยชนิดหนึ่งในการป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน โดยหยุดยาก่อนการทดลองเป็นเวลา 2 เดือน และรับประทานยาที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบแปะก๊วยนี้ขนาด 60 มิลลิกรัม โคเอนไซม์คิวเท็นขนาด 11 มิลลิกรัม และวิตามินบี 12 ขนาด 8.7 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 4 เดือน และให้ผู้ป่วยจดบันทึกรายงานเกี่ยวกับอาการทางระบบประสาท ระยะเวลาและความถี่ของอาการ
พบว่าสารกิงโกไลด์ ชนิดบีมีประสิทธิภาพในการลดความถี่และระยะเวลาของอาการปวดศีรษะไมเกรน โดยที่ผลการทดลองปรากฏชัดในช่วงแรกและเพิ่มขึ้นในช่วงที่ 2 ของการรักษา แต่เนื่องจากหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของแปะก๊วยต่ออาการปวดศีรษะไมเกรนยังไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาต่อไป
การรักษาด้วยแปะก๊วยที่อาจไม่ได้ผล
มีโรคอีกหลายชนิดที่เชื่อว่าสามารถรักษาได้ด้วยแปะก๊วย แต่ไม่มีผลงานวิจัยรองรับเพียงพอ เช่น ความดันโลหิตสูง หูอื้อ สมองเสื่อม ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
ความปลอดภัยในการรับประทานแปะก๊วย
การรับประทานแปะก๊วยหรือสารสกัดจากใบแปะก๊วยโดยทั่วไปแล้วค่อนข้างปลอดภัยหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน ใจสั่น คลื่นไส้ แน่นท้อง ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ท้องผูก หรือท้องเสีย และอาจเกิดอาการแพ้ในผู้ที่แพ้แปะก๊วย และยังมีข้อควรระวังในการใช้แปะก๊วยดังต่อไปนี้
รวมถึงมีข้อควรระวังในการรับประทานแปะก๊วยโดยเฉพาะบุคคลในกลุ่มดังต่อไปนี้
คุณประโยชน์ของแปะก๊วย
ใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง และยังช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติที่ยับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดฝอย ทำงานดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง และสูบฉีดไปยังผิวหนังได้ดี มีฤทธิ์ช่วยให้ความจำดีขึ้น ยับยั้งความเสื่อมของสมอง
โทษมหันต์ของแปะก๊วย
แปะก๊วยมีทั้งด้านดีและร้าย เปรียบเหมือนดาบสองคม ดังนั้นการนำมาใช้ประโยชน์ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน เพราะหากใช้ไม่ดีก็มีโทษอย่างมหันต์เลยค่ะ เพราะมีผลไปขัดขวางการเกาะกันของเกร็ดเลือด ดังนั้นผู้ใช้ยาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น ยา warfarin และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดต้องระวังให้ดีค่ะ อีกทั้งหากรับประทานสารสกัดแปะก๊วยมากเกินไปอาจมีผลข้างเคียงทำให้ ปวดศีรษะ, มึนงง, เวียนศีรษะ ทางเดินอาหารปั่นป่วน หรืออาจเกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง, ระบบหายใจและหลอดเลือดผิดปกติ ง่วงซึม ระบบการนอนหลับก็ปั่นป่วนไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้ระบุข้อกำหนดในการใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย ดังนี้
– จัดเป็นยาอันตราย ต้องขายเฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบันและไม่ให้มีโฆษณาสรรพคุณต่อสาธารณะ
– จะต้องมีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ที่เป็นโรคเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ รวมทั้งโรคของหลอดเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังผิดปกติ
– ให้ขึ้นทะเบียนในลักษณะผสมกับสมุนไพรตัวอื่นๆ มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย และอนุญาตสรรพคุณของตำรับเป็นยาบำรุงร่างกาย
– ในการใช้สารสกัดแป๊ะก๊วย เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องได้รับใบสำคัญการใช้ฉลากอาหารและจะต้องไม่ระบุสรรพคุณใดๆในการบำบัดรักษาโรคเลย
แปะก๊วย เป็นพืชที่มีมานานเป็นพันปี จึงมีการนำใบแปะก๊วยมาใช้รักษาอาการต่างๆจำนวนมาก ส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
ใบแปะก๊วยมักใช้สำหรับโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ หรือ โรคที่เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงในผู้สูงอายุ เช่น ความจำเสื่อม ปวดศีรษะ มีเสียงในหู เวียนศีรษะ บ้านหมุน อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า ปัญหาเกี่ยวกัยการได้ยิน
นอกจากนี้ยังมีการใช้ในโรคที่เกิดจากเลือดไหลเวียนไม่ดีในร่างกายส่วนอื่นๆ เช่น อาการปวดขาเมื่อเดินนานๆที่เกิดจากหลอดเลือดแดงอุดตัน โรคที่หลอดเลือดไปเลี้ยงส่วนปลายไม่ดี ทำให้นิ้วม่วงเมื่อเจออากาศเย็น (Raynaud’s syndrome)
อาการอื่นๆที่มีการใช้ใบแปะก๊วย เช่น
ใบแปะก๊วยช่วยในการไหลเวียนเลือด ซึ่งอาจช่วยในการทำงานของสมอง ดวงตา ประสาทหู และการได้ยินให้ดีขึ้น อาจช่วยชะลอโรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ นอกจากนี้ยังช่วยการไหลเวียนเลือดบริเวณขาอีกด้วย
ส่วนเมล็ดแปะก๊วย มีสารที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และ เชื้อรา อย่างไรก็ตาม เมล็ดมีสารที่อาจทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการชัก หรือ หมดสติได้ จึงไม่ควรทานเมล็ดแปะก๊วยในปริมาณมากเกินไป
ใบแปะก๊วยมีประโยชน์กับโรคต่างๆดังต่อไปนี้
สารสกัดใบแปะก๊วยค่อนข้างปลอดภัยเมื่อกินในขนาดที่เหมาะสม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ท้องผูก ใจเต้นแรง และ ผื่นผิวหนัง
ใบแปะก๊วยทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกและฟกช้ำ เลือดออกที่ตา สมอง หรือ เลือดออกมากหลังผ่าตัด
ควรระมัดระวังการใช้ในภาวะต่อไปนี้
เช่น ยาลดความดัน (Propranolol/Metoprolol/Losartan/Hydrochlorothiazide), ยาเบาหวาน (Glipizide), ยาแก้หอบ (Theophylline), ยานอนหลับคลายเครียด (Amitriptyline/Valium), ยาลดกรด (Omeprazole), ยากันชัก (Dilantin), ยาแก้ปวดแก้อักเสบ (Ibuprofen/Diclofenac/Celebrex),ยาแก้ปวด (Tramadol), ยามะเร็งเต้านม (Tamoxifen)
ผล หรือ เมล็ดแปะก๊วย
ไม่ควรกินส่วนเมล็ดของแปะก๊วยต้มเกิน 10 ผลต่อวัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการผื่นผิวหนัง หายใจลำบาก ชีพจรอ่อนลง ชัก หรือหมดสติได้ โดยเฉพาะผลสดที่ไม่ผ่านการต้ม ซึ่งเป็นพิษ อาจทำให้ชัก หรือ เสียชีวิตได้
ขนาดยาที่มีการใช้ในงานวิจัยต่างๆ
สำหรับการใช้ทุกอย่าง ในครั้งแรกควรเริ่มรับประทาน ขนาดไม่เกิน 120 mg ต่อวัน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดท้อง