การตรวจระดับไขมันในเลือด หรือการตรวจไขมันในเลือด (ภาษาอังกฤษ : Lipid Profile หรือ Lipid Panel) คือ การตรวจเพื่อให้ทราบค่าขององค์ประกอบของไขมันทุกตัวในกระแสเลือดว่าอยู่ในระดับที่ผิดปกติหรือไม่ เพราะการได้ทราบค่าระดับไขมันที่ผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้แก้ไข เยียวยา หรือรักษาให้ไขมันลดลงมาสู่ระดับปกติได้ทันท่วงที ทั้งนี้ ย่อมช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD), โรคลมปัจจุบัน หรือโรคอุบัติเหตุขาดเลือดในสมอง (CVA)
ตามหลักแล้วคำว่า “Lipid Profile” จะประกอบไปด้วยการวัดค่าไขมัน 5 ตัว คือTotal Cholesterol, Triglycerides, HDL-c, LDL-c และ VLDL-c
แต่ตามแบบฟอร์มใบตรวจเลือดของโรงพยาบาลทั่วไปจะแสดงผลตรวจของไขมันในเลือดเฉพาะตัวที่สำคัญเพียง 4 ตัวแรก (ไม่มี VLDL-c) ซึ่งจะขอกล่าวถึงไปทีละหัวข้อเพื่อให้เกิดความเข้าใจแบบง่าย ๆ ครับ
Cholesterol (คอเลสเตอรอล) คือ สารคล้ายไขมันที่ร่างกายจำเป็นต้องมีใช้ตลอด (คอเลสเตอรอลมิใช่ไขมันแท้จริง เพราะมีค่าพลังงานเท่ากับ 0 แคลอรี)
- เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อผนังห่อหุ้มเซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย (สร้างความลื่นไหล สะดวกต่อการผ่านเข้าออกเซลล์ ของสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ฯลฯ)
- เป็นวัตถุดิบให้ร่างกายผลิตน้ำดี (เพื่อใช้ในการย่อยอาหารประเภทไขมันและดูดซึมวิตามินที่ละลายอยู่ในไขมัน)
- เป็นสารเริ่มต้นให้ร่างกายสังเคราห์วิตามินดีขึ้นมาใช้
- เป็นสารสเตียรอยด์ที่ถูกร่างกายนำไปใช้ผลิตสเตียรอยด์ฮอร์โมน และเป็นฉนวนปกป้องห่อหุ้มเส้นใยประสาทเพื่อให้การสื่อประสาทเป็นไปอย่างฉับไว ถูกต้อง ไม่ลัดวงจร
อย่างไรก็ตาม ค่าคอเลสเตอรอลที่สูงกว่าปกติขึ้นไปมาก ๆ ก็ย่อมไม่ส่งผลดี เพราะอาจทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลมากเกินความจำเป็นนั้นก็มักมาจากการกินอาหารมากเกินไป (โดยเฉพาะอาหารที่เป็นน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว ไขมันจากเนื้อสัตว์ และไขมันทรานส์) รวมถึงความเครียดหรือความวิตกกังวล (บังคับให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลขึ้นมาเตรียมการเกินความจำเป็น)
หากมนุษย์เรากินอาหารประเภทใดก็ตามที่มากเกินความต้องการในการใช้ ในที่สุดอาหารส่วนเกินต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะมีจุดหมายปลายทางกลายไปเป็นคอเลสเตอรอลเสมอ แต่จะเป็นตัวดีหรือตัวร้ายนั้นเป็นอีกเรื่อง และความยุ่งยากอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ร่างกายจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อกำจัดคอเลสเตอรอลที่เกิดขึ้นด้วยความลำบาก
กล่าวคือ คอเลสเตอรอลในเลือดจะมีตัวขนส่งที่เรียกว่า “ไลโปโปรตีน” (Lipoprotien) ซึ่งเป็นสารประกอบของโปรตีนผสมกับไขมัน (มีบทบาทช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลพาให้ลอยไปในกระแสเลือด เปรียบเสมือนเป็นพาหนะขนส่งให้กับคอเลสเตอรอล เพราะคอเลสเตอรอลลอยตัวเองในเลือดไม่ได้)
ถ้าตัวขนส่งหรือไลโปโปรตีนนี้มีส่วนผสมของโปรตีนมากและมีไขมันน้อย ก็จะเรียกว่าเป็น “ไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง” (High-density lipoprotien หรือ HDL)
แต่ถ้ามีอัตราส่วนของโปรตีนน้อยและมีไขมันมาก ก็เรียกว่า “ไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ” (Low-density lipoprotien หรือ LDL) ส่วนโลโปโปรตีนที่สำคัญตัวอื่นที่มีความหนาแน่นต่ำกว่า LDL ก็จะเรียกว่า “VLDL” (Very low-density lipoprotien) และตัวที่มีความหนาแน่นต่ำที่สุดก็จะเรียกว่า “ไคโลไมครอน” (Chylomicron) ซึ่งตรงนี้จะยังไม่ขอกล่าวลงลึกในรายละเอียดครับ
โดยคอเลสเตอรอลที่ไปเกาะ LDL (เรียกสั้น ๆ ว่า LDL-cholesterol หรือ LDL-c) นั้น จะมีบทบาทช่วยกันขนส่งคอเลสเตอรอลจากตับออกไปแจกจ่ายทั่วร่างกาย LDL จึงถือว่าเป็น “ตัวร้าย” ที่เพิ่มค่าคอเลสเตอรอลในร่างกายให้สูงขึ้น
ส่วนคอเลสเตอรอลที่ไปเกาะ HDL (เรียกสั้น ๆ ว่า HDL-cholesterol หรือ HDL-c) จะมีหน้าที่ตรงกันข้ามกัน เพราะมันจะช่วยกันขนส่งคอเลสเตอรอลทั่วร่างกายกลับคืนไปให้ตับทำลาย (โดยผลิตเป็นน้ำดี) ฉะนั้น HDL จึงถือเป็น “ตัวพระเอก” เพราะมันช่วยให้คอเลสเตอรอลทั่วร่างกายลดลงได้
กล่าวโดยสรุป คอเลสเตอรอลจะลอยตัวอยู่เดี่ยว ๆ ในกระแสเลือดไม่ได้ มันจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวพาหนะ (ไลโปโปรตีน) ชนิดใดชนิดหนึ่งเสมอ ฉะนั้น การหาค่าคอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) จึงมีสูตรว่า
Total cholesterol = HDL-c + LDL-c + VLDL-c
แต่การจะหาค่า VLDL จากเลือดนั้นทำได้ยากกว่าการหาค่า Triglycerides ในทางการแพทย์จึงใช้ค่าของ 20% Triglycerides แทน (ค่านี้มาจาก VLDL ที่มักมีค่าประมาณ 20% ของ Triglyceride) ด้วยเหตุนี้ Total cholesterol ในปัจจุบันจึงสามารถคำนวณได้จากสูตร
Total cholesterol = HDL-c + LDL-c + (Triglycerides/5)
ค่า Total cholesterol เพียงตัวเดียว อาจมิใช่ตัวบ่งชี้ที่แม่นยำในการวินิจฉัยสุขภาพ ดังนั้น เมื่อจะต้องมีการเจาะเลือดคราวใดก็สมควรจะตรวจให้ครบทั้ง 4 ตัวสำคัญดังกล่าว
Triglycerides (ไตรกลีเซอไรด์) หรือเขียนอย่างย่อ ๆ ว่า “TG” คือ ไขมันแท้จริง (มีค่าพลังงานเท่ากับ 9 แคลอรีต่อกรัม) ซึ่งเป็นผลรวมมาจากอาหารทุกประเภทที่กินมากเกินความต้องการในการใช้ + ไขมันจากอาหารไขมันแท้จริง + ไขมันที่แปรผันจากอาหารแป้งและโปรตีน ในยามจำเป็นที่ร่างกายขาดกลูโคส เช่น มิได้บริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรต ร่างกายอาจดึงไตรกลีเซอไรด์ที่สะสมไว้ (จนทำให้อ้วน) ออกมาเผาผลาญเพื่อสร้างพลังงานให้กับร่างกายต่อไป
สาเหตุของไตรกลีเซอไรด์สูง
สาเหตุของภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น
การรักษาภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงอาจทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการใช้ยารักษา ดังนี้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลง โดยแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยลองปรับพฤติกรรมตามคําแนะนํา ดังนี้
การใช้ยา
หากผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้วอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการใช้ยาควบคู่ไปด้วย โดยยาที่ใช้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น
HDL-c (High-density lipoprotein cholesterol) คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี ซึ่งเกิดจากไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง (HDL) ที่มีคอเลสเตอรอลมาเกาะติดหรือบรรทุกอยู่ จึงเขียนว่า “HDL-c” (แต่คนทั่วไปก็เรียกกันว่า HDL เท่านั้น) โดยมีหน้าที่ขนส่งคอเลสเตอรอลทั่วร่างกายกลับคืนไปให้ตับทำลายทิ้งออกไปจากร่างกาย จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) ให้ต่ำลงได้
LDL-c (Low-density lipoprotein cholesterol) คือ คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ซึ่งเกิดจากไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่มีคอเลสเตอรอลมาเกาะติดหรือบรรทุกอยู่ จึงเขียนว่า “LDL-c” (แต่คนทั่วไปก็เรียกกันว่า LDL เท่านั้น) โดยมีบทบาทช่วยกันขนส่งคอเลสเตอรอลจากตับออกไปแจกจ่ายทั่วร่างกาย จึงถือว่าเป็น “ตัวร้าย” ที่เพิ่มค่าคอเลสเตอรอลในร่างกายให้สูงขึ้น
ค่า LDL นี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ LDL-c และ Direct LDL-c โดย LDL-c จะเป็นค่าที่ได้มาจากการคำนวณโดยอาศัยสูตร
LDL-c = Total cholesterol – HDL-c – (Triglyceride/5)
ซึ่งทางห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการคำนวณแบบนี้เพื่อความสะดวก ประหยัด และรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ค่าที่คำนวณได้จึงเป็นค่าแบบทั่วไป (ถ้าในใบรางานผลเลือดระบุว่าเป็น LDL หรือ LDL-c เฉย ๆ ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเป็นค่าที่ได้มาจากการคำนวณ)
ส่วน Direct LDL-c นั้นจะเป็นค่าที่ได้จากการตรวจวิเคราะห์ข้อมูลจากเลือดโดยตรง มิได้ใช้วิธีที่ผลมาจากการคำนวณจากค่าตัวอื่น ดังนั้น Direct LDL-c จึงเป็นค่าที่แน่นอนกว่า
อย่างไรก็ตาม ค่าทั้ง 2 แบบนี้จะไม่แตกต่างกันมากนัก ก็ต่อเมื่อระดับ Triglycerides ไม่สูงเกิน 400 mg/dL หรือไม่ต่ำกว่า 50 mg/dL ฉะนั้น หากค่านี้ในใบรายงานผลเลือดที่มิได้ระบุว่าเป็น Direct LDL-c ก็ควรเหลือบสายตาดูค่า Triglycerides ด้วยว่าสูงหรือต่ำเกินกว่าที่กล่าวมาหรือไม่ หากอยู่ในระหว่างเกณฑ์ก็ถือว่าค่า LDL-c เฉย ๆ นี้ ก็พอน่าจะเชื่อถือได้บ้าง แต่ถ้าไม่อยู่ในเกณฑ์ก็สมควรขอให้สถานพยาบาลเจาะเลือดให้ใหม่ โดยระบุให้ชัดว่าต้องการตรวจหาค่า Direct LDL-c
ตัวอย่างเช่น คนไข้รายนึงผลตรวจเลือดมีค่า Total cholesterol = 262 mg/dL, HDL-c = 79 mg/dL และ Triglycerides = 55 mg/dL (โปรดสังเกตว่าค่า Triglycerides มีค่ามากกว่า 50 mg/dL ตามเงื่อนไข แต่ก็มากกว่านิดเดียว)
เมื่อใช้สูตรคำนวณหาก็จะได้ค่า LDL-c = 172 mg/dL แต่คนไข้รายเดียวกันนี้เมื่อวิเคราะห์ LDL-c จากเลือดโดยตรง (Direct LDL-c) กลับปรากฏว่ามีค่าเพียง 126 mg/dL เท่านั้น (ฉะนั้น ค่าทั่วไปที่ได้จากการคำนวณอาจเบี่ยงเบนผิดไปมากจากค่าแท้จริงได้)
เนื่องจากค่า HDL-c ที่ได้จากผลการตรวจเลือดนั้น ค่อนข้างเป็นตัวเลขที่อิสระและมีความแน่นอนเหมือนค่า Total cholesterol ด้วยเหตุนี้โครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติ (NCEP) ของสหรัฐอเมริกา จึงได้สำรวจทางสถิติพบอัตราส่วนระหว่าง 2 ค่านี้ว่า อาจใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD) ได้ โดยเรียกอัตราส่วนนี้เรียกว่า “Risk of Coronary Heart Disease” (อัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพราะหลอดเลือด) ซึ่งค่าเฉลี่ยในผู้ชายไม่ควรเกิน 5 และในผู้หญิงไม่ควรเกิน 4.4 (มาจากค่า Total cholesterol หารด้วย HDL-c)
เกณฑ์ของอัตราส่วนระหว่าง Total cholesterol ต่อ HDL-c มีดังนี้
แม้ค่า LDL-c จะค่อนข้างแกว่ง แต่ก็เป็นค่าที่มีความสัมพันธ์กับค่าอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจึงได้พิจารณาใช้อัตราส่วนระหว่าง LDL-c ต่อ HDL-c (สูตร คือ LDL-c หารด้วย HDL-c) เป็นอีกเกณฑ์หนึ่งเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ทั้งนี้อัตราส่วนนี้ก็คล้ายคลึงกับอัตราส่วน Total cholesterol ต่อ HDL-c ในหัวข้อที่แล้ว และมิใช่เป็นข้อวินิจฉัยที่ชี้ขาดสุดท้ายว่าจะเป็นหรือไม่เป็นโรค แต่ตัวเลขนี้จะใช้ประโยชน์เพื่อการเฝ้าระวังสำหรับตัวท่านเองได้ หากพบตัวเลขที่ผิดปกติก็จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป
เกณฑ์ของอัตราส่วนระหว่าง LDL-c ต่อ HDL-c มีดังนี้
เป็นค่าที่ได้จาก Triglycerides หารด้วย HDL-c โดยอัตราส่วนระหว่าง Triglycerides กับ HDL-c อาจช่วยบ่งชี้โรคหัวใจได้ โดยค่ายิ่งต่ำ (เช่น 1.7) ก็ย่อมบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจต่ำ แม้วิถีชีวิตประจำวันของผู้ถูกตรวจจะไม่สู้ดีนักก็ตาม แต่ถ้ายิ่งมีค่าสูง ๆ (เช่น 6.0) ก็ย่อมบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในระดับสูง แม้ว่าจะมีวิถีชีวิตที่ดีเพียงใดก็ตาม
เกณฑ์ของอัตราส่วนระหว่าง Triglycerides ต่อ HDL-c มีดังนี้
ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปควรได้รับการเจาะเลือดตรวจระดับไขมันทุก ๆ 5 ปี โดยเฉพาะในกรณีที่ท่านมี
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตัน
โรคหัวใจจัดเป็นหนึ่งในโรคที่คุกคามชีวิตคนทั่วโลก สำหรับประเทศไทยในปี 2552 สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการตายอันดับสองในกลุ่มโรคไม่ติดต่อรองจากอุบัติเหตุโดยมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากถึง 4 ล้านกว่าคน และมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอุดตัน ซึ่งควรจะต้องระวังและป้องกัน เนื่องจากในปัจจุบันแต่ละปี คนไทยประมาณ 60,000 - 100,000 คน เสียชีวิตอย่างกระทันหันจากอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และคนไทยอีกกว่า 39 ล้านคน กำลังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจในขณะนี้ ซึ่งสาเหตุหลักเนื่องจากการมีระดับไขมันในเลือดสูง
สาเหตุหลักของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ คือ การมีระดับไขมันโคเลสเตอรอล หรือไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงผิดปกติ จนเกิดการสะสมและอุดตันที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งแท้จริงแล้ว “ตับ” เป็นอวัยวะหลักในการสร้างไขมันโคเลสเตอรอลถึง 80% ที่เหลืออีก 20% เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล ในขณะที่ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์นั้น ส่วนใหญ่ได้มาจากการรับประทานอาหารถึง 80% ได้แก่ กะทิ เนย ครีมต่างๆ
ภาวะไขมันในเลือดบางตัวสูงจะเป็นอันตราย (ไขมันชนิดร้าย) แต่ไขมันในเลือดบางตัวสูงกลับเป็นผลดีต่อร่างกาย (ไขมันชนิดดี)
ไขมันชนิดร้ายที่เรารู้จักดี คือ โคเลสเตอรอล (Cholesterol) ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) แอลดีแอล - โคเลสเตอรอล (LDL- Cholesterol)
และไขมันชนิดดีที่เรารู้จักดี คือ เอชดีแอล - โคเลสเตอรอล (HDL-Cholesterol)
ทางการแพทย์แนะนำว่าไม่ควรปล่อยให้โคเลสเตอรอลไม่ควรมีค่าเกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรแอลดีแอล โคเลสเตอรอล มีค่าเกิน 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และไตรกลีเซอร์ไรด์ ควรตํ่ากว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในขณะที่ควรจะมีเอชดีแอล โคเลสเตอรอล มากกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ปัจจุบันนอกจากยาที่ช่วยลดไขมันในเลือด แล้วมีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มขึ้นถึงสารอาหารจากธรรมชาติหลายชนิด ที่เป็นทางเลือกในการลดไขมันในเลือดสำหรับผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดยังไม่สูงมากก่อนตัดสินใจใช้ยา ซึ่งสารอาหารจากธรรมชาติเหล่านี้ ได้แก่
นํ้ามันปลา (Fish Oil)
นํ้ามันปลาเป็นสารอาหารประเภทไขมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันในกลุ่ม Omega-3 (Polyunsaturated Fatty Acid) ซึ่งมีกรดไขมันที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ
1. EPA (Eicosapentaenoic Acid) กรดไขมัน EPA มีส่วนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันไขมัน
อุดตันหลอดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุในการเกิดโรคหัวใจและสมองอุดตัน นอกจากนั้นยังมีส่วนช่วยบรรเทาอาการอักเสบจากข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์ โดยจะช่วยลดอาการปวดข้อ ทำให้ลดปัญหาผล
ข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารจากการรับประทานยาแก้ปวดข้อ (NSAIDs) เป็นเวลานานๆ ได้
2. DHA (Docosahexaenoic Acid) กรดไขมัน DHA มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความเสื่อมของสมอง การเรียนรู้ และความจำ รวมถึงระบบสายตา ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันมีการยืนยันผลการวิจัยทางการแพทย์ถึงประโยชน์ที่สำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3 จากนํ้ามันปลาต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ โดยจะมีการระบุถึงความสำคัญของการรับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาติดต่อกันนานเป็นสัปดาห์ จนกระทั้งเป็นเดือน หรือเป็นปี จะส่งผลที่ดีต่อร่างกายในการป้องกันของหลอดเลือดลดอัตราการตายจากภาวะหัวใจวาย รวมทั้งช่วยลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้
Time as a variable with prescription omega-3 fatty acias (P-OM3)
ทางสมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา (American Heart Association; AHA) ได้แนะนำการ รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 เพื่อการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ดังนี้
ขนาดของกรดไขมันโอเมก้า-3 (EPA+DHA) ที่ควรได้รับต่อวัน คือ 500 มิลลิกรัม/วัน
ขนาดของกรดไขมันโอเมก้า-3 (EPA+DHA) ที่ควรได้รับต่อวัน คือ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
ขนาดของกรดไขมันโอเมก้า-3 (EPA+DHA) ที่ควรได้รับต่อวัน คือ 2,000 - 4,000 มิลลิกรัม/วัน
ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ สูงถึง 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร นํ้ามันปลาก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ คือ ความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายสามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้
นอกจากนี้ก็ยังมีรายงานถึงผลดีสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในระดับเริ่มต้น ซึ่ง Johns Hopkins Medical School ได้สรุปรวบรวมผลการศึกษาจาก 17 รายงานการศึกษาทางคลีนิคพบว่าการรับประทานนํ้ามันปลาประมาณ 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน (จากปริมาณ EPA+DHA) สามารถช่วยลดความดันล่าง (diastolic pressure) ได้ 3.5 มม.ปรอท และลดความดันบน (systolic pressure) ได้ถึง 5.5 มม.ปรอท และได้ผลดียิ่งขึ้นเมื่อจำกัดอาหารเค็มร่วมด้วยโดยนํ้ามันปลาจะไม่มีผลกับความดันในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติ
คริลออยล์ (Krill oil)
คริลล์ออยบริสุทธิ์จะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งประกอบไปด้วยกรดไขมัน EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) ที่อยู่ในรูปแบบจับกับสาร Phosphatidylcholine ธรรมชาติ
ทำให้การย่อยและการดูดซึมกรดไขมันโอเมก้า-3 ในร่างกายดีขึ้น นอกจากนี้ คริลล์ออย ยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-6 กรดไขมันโอเมก้า-9 และสารต้านอนุมูลอิสระสีแดงที่ชื่อ Astaxanthin ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไลโคปีน (Lycopene) และเบต้า-แคโรทีน ( Beta-carotene)
จากสารสำคัญต่างๆเหล่านี้ จึงทำให้คริลล์ออยมีประโยชน์ในการดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยการช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดหัวใจ โดยการช่วยลดไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารสกัดโพลีโคซานอล (Policosanol)
สารสกัดจากธรรมชาติกลุ่มโพลีโคซานอล (Policosanol) ที่พบเฉพาะในไขเปลือกอ้อย (Saccharumofficinarum, L.) อุดมไปด้วยคุณค่าบริสุทธิ์ของสารอาหารจากธรรมชาติ และมีโครงสร้างทางเภสัชวิทยาคล้ายยาลดไขมันโคเลสเตอรอลกลุ่มสแตติน
จากการทำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์มากกว่า 60 การวิจัย ในผู้ป่วยที่มีไขมันโคเลสเตอรอลสูงมากกว่า 3,000 คนทั่วโลก จนกระทั่งมีการตีพิมพ์ผลการวิจัยลงในวารสารทางการแพทย์ American Heart Journal ปี 2002 ถึงคุณประโยชน์ของสารสกัดโพลีโคซานอล (Policosanol) ในการลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลชนิดรวม และไขมันโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL-Cholesterol) ช่วยบำรุงตับให้สร้างไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-Cholesterol)
ซึ่งมีหน้าที่นำพาไขมันที่สะสมและอุดตันตามผนังหลอดเลือดกลับไปทำลายที่ตับ ช่วยลดภาวะการอุดตันของเกล็ดเลือดได้ถึง 50% ป้องกันภาวะความหนาตัวของผนังหลอดเลือด และฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของหัวใจและตับ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้
พบว่าสำหรับผู้ที่มีไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูงประมาณ 200-239 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรควรรับประทานวันละ 5 มิลลิกรัม และสำหรับผู้ที่มีไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูงประมาณ 240-299 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรรับประทานวันละ 10-20 มิลลิกรัมหลังอาหารเย็น หรือก่อนนอน
เลซิติน (Lecithin)
เลซิติน เป็นสารประกอบระหว่างกรดไขมันจำเป็น ฟอสฟอรัส และวิตามิน บี สองชนิด ได้แก่ โคลีน (Choline) และ อิโนซิตอล (Inositol) เลซิตินเป็นสารที่พบมากในอาหารหลายชนิด เราสามารถพบเลซิตินได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ สำหรับร่างกายมนุษย์พบมากที่สมอง ซึ่งมีเลซิตินเป็นส่วนประกอบถึง 30% ส่วนใหญ่เลซิตินที่จำหน่ายในปัจจุบันสกัดมาจากถั่วเหลือง
เลซิติน มีส่วนช่วยให้ไขมันที่รับประทานเข้าไปแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ เนื่องจากเลซิตินมีหน้าที่เป็นตัวทำละลายไขมันในกระแสเลือด ดังนั้นเมื่อเลซิตินผ่านไปในกระแสเลือด จึงช่วยละลายไขมันที่จับตามผนังหลอดเลือด มีผลในการควบคุมระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดและเพิ่มการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้นช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ช่วยเสริมสร้างการทำงานของตับในการเร่งการเผาผลาญไขมัน ทำให้ตับทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น
จากหลักฐานทางวิชาการพบว่า เลซิตินช่วยบำรุงตับ ป้องกันโรคตับแข็งและลดการเกิดนิ่วในถุงนํ้าดี ซึ่งสามารถพบได้ในผู้ที่มีภาวะไขมันโคเลสเตอรอลสูง และสำหรับการบำรุงตับ ป้องกันโรคตับแข็ง ควรรับประทาน วันละ 1,200-3,600 มิลลิกรัม สำหรับลดไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรรับประทานวันละ 3,600-7,200 มิลลิกรัม
นํ้ามันกระเทียม (Garlic Oil)
นํ้ามันกระเทียมมีหลายรายงานการศึกษาที่รายงานถึงผลการช่วยลดไขมันโคเลสเตอรอล และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ โดยมีผู้เข้าร่วมการศึกษา 220 คนรับประทานกระเทียมผงแห้ง 800 มิลลิกรัมต่อวัน (หรือเทียบเท่านํ้ามันกระเทียม 2-5 มิลลิกรัมต่อวันหรือกระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน) เป็นเวลา 4 เดือน พบว่าไขมันโคเลสเตอรอลลดลง 12% และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ 17%
ในประเทศเยอรมัน Munich University ใช้นํ้ามันกระเทียมเป็นยาในผู้ป่วยโรคหลอดเลือด พบว่าผู้รับประทานอาหารไขมันตํ่า ไขมันโคเลสเตอรอลจะลดลง 10% และเมื่อได้รับกระเทียมร่วมด้วยจะช่วยให้ระดับไขมันโคเลสเตอรอลลดลงเพิ่มขึ้นอีก 10% สำหรับการลดไขมันในเลือดหรือลดความดันโลหิตสูงควรรับประทานวันละ 2-5 มิลลิกรัม
1. กระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาว
ในน้ำมันกระเทียมมีสารอัลลิซิน (Allicin) ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน โดยไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้น
2. มีคุณสมบัติเสมือนยาฏิชีวนะ
ฤทธิ์ของกระเทียมที่คุณสมบัติเสมือนยาปฏิชีวนะที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อราใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อต่าง ๆ ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ลดการเกิดภูมิแพ้และอาการเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด หอบหืด ไซนัส หูอักเสบ เป็นต้น
3. ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
น้ำมันกระเทียมมีส่วนช่วยลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด โดยไขมันโคเลสเตอรอลเป็นสาเหตุของการเกิดอุดตันของเส้นเลือด จากการวิจัยพบว่าสารประกอบซัลเฟอร์ และอัลลิซิน สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL-cholesterol) นอกจากนี้ยังลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดได้
4. ช่วยลดความดันโลหิตสูง
จากการศึกษาวิจัยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศพบว่ากระเทียมสามารถช่วยลดความดันโลหิตตัวบน (ความดันที่เกิดขึ้นขณะหัวใจบีบตัวไล่เลือดออกจากหัวใจ) ได้ถึง 7.7 มิลิเมตรปรอท และลดความดันโลหิตตัวล่าง (ความดันของเลือดที่ค้างอยู่ในหลอดเลือด ขณะหัวใจคลายตัว) ได้ถึง 5 มิลลิเมตรปรอท นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 16-40% ซึ่งได้มาจากผลการวิจัยที่ทำขึ้นกับกลุ่มทดลองของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจำนวน 553 คน
โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10)
ผลการศึกษาทางการแพทย์ถึงความสำคัญของโคเอนไซม์ คิวเทน ในผู้ใช้ยาลดไขมันโคเลสเตอรอลกลุ่มสแตติน
ยาลดไขมันโคเลสเตอรอลกลุ่มสแตตินเป็นกลุ่มยาลดไขมันที่มีการใช้กันมาก จากการวิจัยพบว่า ยาลดไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดกลุ่มดังกล่าว ทำให้ปริมาณโคเอนไซม์ คิวเทนในร่างกายลดลง เนื่องจากขั้นตอนการออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไขมันโคเลสเตอรอล จะมีผลยับยั้งการสร้างโคเอนไซม์ คิวเทนไปด้วย นำไปสู่การขาดโคเอนไซม์ คิวเทน
ซึ่งอาการเริ่มแรกจะสังเกตได้จากการมีภาวะกล้ามเนื้อแขน ขา อ่อนแรงปวดกล้ามเนื้อ หากรุนแรงจะมีผลกระทบกับอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ตับ ทำงานผิดปกติได้ ผลกระทบดังกล่าวจะพบได้มากขึ้นในผู้สูงอายุ ผู้ที่ใช้ยาปริมาณสูงผู้ที่ใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวอื่นๆ อยู่ก่อน และพบว่าเมื่อให้โคเอนไซม์คิวเทนเสริม วันละ 100-200 มิลลิกรัม จะช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้
หน้าที่หลักของโคเอนไซม์คิว10 คือ การผลิตพลังงาน และสามารถทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินอี ธรรมชาติ (Natural Vitamin E)
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมุลอิสระที่สำคัญที่สุดในการขัดขวางกระบวนการที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว โดยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของไขมัน เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายได้ดีในไขมัน จะช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ และป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้หลอดเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีรายงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษ พบว่าคนไข้ที่ได้รับวิตามิน อี ธรรมชาติ วันละ 400-800 หน่วยสากล จะช่วยลดการเกิดอาการโรคหัวใจวายเฉียบพลันถึง 77% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามิน อี
2. โรคความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง ได้กลายมาเป็นปัญหาทางสุขภาพของมหาชนที่สำคัญที่สุดด้วยความชุกที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคไตตามสถิติปี ค.ศ. 2000 มีผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงทั้งหมดประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรโลกที่เป็นผู้ใหญ่และยังเป็นที่คาดว่าในปี ค.ศ. 2025 อัตราส่วนของการเกิดความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 29% ของผู้ใหญ่ทั้งโลกหรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 1,560 ล้านคนสำหรับประเทศไทย สามารถพบในผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่ระดับความดันโลหิต 140/90 มม.ปรอท หรือมากกว่าซึ่งจะเป็นค่าบนหรือค่าล่างก็ได้
โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็นเมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนมากจะไม่ได้รับการดูแลรักษาส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากไม่มีอาการ ทำให้คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสนใจเมื่อเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงจะเริ่มสนใจและรักษาซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควรการควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดโอกาสเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต
ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ดังนี้
วิตามินและสารอาหารที่แนะนำในการดูแลหัวใจและภาวะความดันโลหิตสูง
1. โคเอนไซม์คิวเทน (CoQ10) เป็นสารสำคัญในการสร้างพลังงานพื้นฐานของเซลล์ในร่างกายและโดยเฉพาะหัวใจ ช่วยลดอนุมูลอิสระที่จะทำลายไนตริก ออกไซด์ซึ่งมีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ขนาดรับประทานที่แนะนำ คือ วันละ 100 มิลลิกรัม
2. น้ำมันปลา (Fish Oil) ช่วยควบคุมระดับไขมันในหลอดเลือด ลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ขนาดรับประทานที่แนะนำ พิจารณาจากปริมาณ EPA+DHA ต้องได้รับวันละ 3,000 มิลลิกรัม
3. น้ำมันกระเทียม ช่วยควบคุมระดับไขมันในหลอดเลือด ลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ขนาดรับประทานที่แนะนำ คือวันละ 2- 5 มิลลิกรัม
การปฏิบัติตัวให้มีชีวิตยืนยาวห่างไกลโรคหัวใจ มี 7 ประการด้วยกันคือ