ตัวเลขผลตรวจสุขภาพ เห็นแล้วต้องทำอะไร? เมื่อได้รับใบรายงานผลการตรวจสุขภาพมาแล้ว เราต้องใส่ใจสักนิด โดยเปรียบเทียบผลการตรวจเลือดของเราอยู่ในค่ามาตรฐานที่กำหนดหรือไม่ ถ้าอยู่ในค่ามาตฐานทุกค่า ทุกตัวที่ตรวจ ก็พอจะเบาใจได้ระดับหนึ่งในปีนี้ และในปีต่อไปค่อยลุ่นกันใหม่ ข้อควรระวังก่อนตรวจสุขภาพนั้น หลายคนอาจไม่ทราบหรือบางคนตั้้งใจจะให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้ได้ผลการตรวจสุขภาพไม่ตรงกับปัจจุบัน หรือผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ก็จะทำให้การตรวจสุขภาพในครั้งนี้ไม่ได้ประโยชน์มากนัก นั้นก็คือก่อนการตรวจสุขภาพ จะมีบางคนเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต เช่น ขยันลุกขึ้นมาออกกำลังกาย รับประทานอาหารแต่น้อย กินอาหารที่มีประโยชน์ เข้าวัดเข้าวาฟังธรรมะ เปิดฟังเพลงไม่เครียดไม่ฟุ้งซ่าน กลับบ้านตรงเวลา อยู่บ้านทำงานอดิเรก สนุกและมีความสุขแบบสุดๆ แต่หลังวันตรวจสุขภาพผ่านไป มีการเลี้ยงฉลองไม่เว้นวัน เหนื่อยเมื่อยล้าเพลียทุกวันไม่มีเวลาออกกำลังกาย อาหารก็กินแบบฉลองเฮฮาปาร์ตี้แบบไม่มีคุณค่า กลับบ้านดึกดื่น นอนน้อย เครียด...ฯลฯ ถ้าเป็นดังนี้แล้ว เราจะได้อะไรกับผลการตรวจสุขภาพ 1.ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด คืออะไร
CBC: การตรวจเลือดหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count) คือ การตรวจสุขภาพโดยการนับปริมาณและการดูรูปร่างของเซลล์ทั้งหมดที่มีอยู่ในเลือด เช่น เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว (ค่าwbc) เกร็ดเลือด ซึ่งผลของการวัดค่าต่างๆ จะบ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ตรวจและค่าสภาวะของเลือดว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด จะแสดงข้อมูลของเม็ดเลือดที่สำคัญในมนุษย์ 3 กลุ่ม ได้แก่ เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell; RBC) เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell; WBC) และเกล็ดเลือด (Platelet; PLT) ซึ่งค่าแต่ละชนิดสามารถแปลความหมายโดยละเอียดได้ดังนี้
1.1 ฮีโมโกลบิน Hemoglobin (Hb/HGB) คือ ค่าระดับโปรตีนหรือสารสีแดงในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่จับกับออกซิเจนเพื่อที่จะนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย เป็นการบ่งบอกว่าร่างกายมีภาวะเลือดจางหรือไม่ ซึ่งได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานไว้ดังนี้
ฮีโมโกลบิน Hemoglobin (Hb/HGB) มาตรฐานคือเท่าไหร่
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้ชาย = 13.5-17.5 g/dL
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้หญิง = 12.0-15.5 g/dL
ถ้าค่าที่ตรวจวัดได้มีค่าน้อยกว่ามาตรฐานแสดงว่ามีผู้ตรวจมีภาวะโลหิตจาง (Anemia) เกิดขึ้น ส่งผลให้เลือดไม่สามารถพาออกซิเจนไปเข้าสู่ร่งกายได้เพียงพอต่อความต้องการ
หรือค่าที่ตรวจวัดได้มีค่ามากกว่ามาตรฐานแสดงว่าผู้ตรวจมีภาวะเลือดแดงมากหรือ ภาวะเลือดหนืด (Polycythemia) คือ ภาวะที่ไขกระดูกทำการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงในจำนวนที่มากผิดปกติ ส่งผลให้เลือดมีความเข้มข้นสูงไหลเวียนได้ช้าลงและมีความเสี่ยงที่เม็ดเลือดแดงเกิดการอุดที่หลอดเลือดฝอยได้ ซึ่งลักษณะนี้จะพบได้น้อยมาก
ค่า Hemoglobin ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจกำลังเริ่มเกิดหรือเกิดสภาวะของโรคโลหิตจางขึ้นแล้ว (ข้อมูลที่อาจช่วยยืนว่าได้เกิดสภาวะโรคโลหิตจางหรือไม่นั้นจำเป็นต้องได้จากผลการตรวจ CBC ตัวอื่นเปรียบเทียบและช่วยร่วมบ่งชี้ด้วย โดยเฉพาะค่า RBC, Hematocrit, MCV, RDW) 2. อาจเกิดสภาวะเลือดไหลออกหรือเลือดตกใน เช่น บาดแผลขนาดใหญ่ แผลในกระเพาะอาหาร พยาธิปากขอในลำไส้ ริดสีดวงทวาร หรือมีประจำเดือนมากผิดปกติมานาน ฯลฯ 3. อาจเกิดจากโรคไตที่ส่งต่อฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างไขกระดูก 4. อาจเกิดจากการขาดแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก
ค่า Hemoglobin ที่สูงกว่าปกติ อาจเกิดจากสาเหตุเดียวกันกับที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดง (RBC) มีจำนวนสูงกว่าปกติ เช่น
1. การพำนักในภูมิประเทศที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งอากาศมีออกซิเจนเบาบางมาก 2. การออกกำลังกายหรือการประกอบกิจการงานที่ต้องใช้แรงกายอย่างหักโหมจนเกินไป 3. อาจเกิดจากสภาวะของโรคเม็ดเลือดแดงคับคั่งมากเกินไป 4. อาจเกิดสภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
1.2 ฮีมาโทคริต (Hematocrit, Ht หรือ HCT) หรือ Erythrocyte Volume Fraction (EVF) หรือ Packed cell volume (PCV) คือ ค่าปริมาณความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาตรของเลือดทั้งหมด ซึ่งค่านี้จะแสดงโดยการวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นค่าที่ใช้บ่งบอกสภาะโลหิตจางเช่นเดียวกับค่า Hemoglobin ซึ่งมีการกำหนดค่ามาตราฐานไว้ดังนี้
hct ปกติ หรือค่า hematocrit (ฮีมาโทคริต) มาตรฐานคือเท่าไหร่?
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้ชายมีค่าประมาณ 40-50 %
ค่ามาตรฐานสำหรับผู้หญิงมีค่าประมาณ 35-47%
ถ้าค่า Hct มีค่าน้อยกว่ามาตรฐานแสดงว่าร่างกายอาจจะอยู่ในสภาวะโลหิตจาง แต่ถ้าค่า HCT มีค่ามากกว่ามาตรฐานแสดงว่ามีภาวะเลือดหนืด เช่นเดียวกับค่าของ Hb ซึ่งในการตรวจเลือด ผลของ Hb และ Hct จะไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นโรคโลหิตจางหรือไม่ และค่า Hct จะมีค่ามากกว่าค่า Hb ประมาณ 3 เท่าเสมอ
ค่า Hematocrit ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. ได้เกิดสภาวะของโรคโลหิตจาง โดยเฉพาะในกรณีที่ค่า Hematocrit ได้แสดงค่าน้อยกว่าค่า Anemia Cut-off 2. อาจเกิดจากโรคตับแข็งที่นำไปสู่การคั่งของของเหลวจนทำให้น้ำเลือดเจือจาง 3. อาจเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวภายหลังการเสียเลือดอย่างรุนแรง 4. อาจเกิดจากการขาดสารอาหารเกี่ยวกับเลือด เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิค หรือธาตุเหล็ก 5. อาจเกิดจากเซลล์ไขกระดูกมีความผิดปกติ ทำให้มีผลต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ 6. อาจเกิดโรคเกี่ยวกับไต ทำให้ไตผลิตฮอร์โมนสร้างเม็ดเลือดแดงไม่ได้ตามปกติ 7. อาจมีโรคร้ายแรงเกี่ยวกับไขกระดูก เช่น Lymphoma, Multiple myeloma, Leukemia หรือ Hodgkin’s disease 8. อาจเกิดจากการตั้งครรภ์ เนื่องจากการตั้งครรภ์ย่อมสร้างสภาวะการกักคั่งน้ำ จึงทำให้ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในน้ำเลือดในช่วงเวลานั้นมีระดับลดลง แต่อย่างไรก็ไม่ควรต่ำกว่าค่า Anemia Cut-off ในกลุ่มของหญิงตั้งครรภ์ตามเกณฑ์ตัวเลขด้านบน
ค่า Hematocrit ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. กำลังเกิดสภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ (Dehydration) 2. ร่างกายอาจกำลังตกอยู่ในกระบวนการขับน้ำทิ้งออกจากร่างกาย เช่น อยู่ในช่วงการกินยาขับปัสสาวะ หรือในขณะที่ยังใส่สายสวนปัสสาวะอยู่ 3. รางกายอาจเกิดสภาวะของโรคเม็ดเลือดแดงคับคั่ง 4. อาจกำลังเกิดโรคหัวมาแต่กำเนิด จึงทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการเร่งสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีจำนวนมากขึ้นเพื่อส่งออกซิเจน 5. อาจเกิดจากโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายได้รับออกซิเจนจากเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ เป็นผลต่อเนื่องให้ร่างกายต้องเร่งสร้างจำนวนเม็ดเลือดแดงให้เพิ่มขึ้น 6. อาจเป็นผลภายหลังจากร่างกายบาดเจ็บจากไฟลวก 7. อาจอยู่ในพื้นที่ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลค่อนข้างมากมาเป็นเวลานาน
1.3 White Blood Cell Count (WBC Count) คือ จำนวนของเม็ดเลือดขาวทุกชนิดที่มีทั้งหมดในเลือดในขณะที่ทำการตรวจ
ค่ามาตรฐานของเซลล์เม็ดเลือดขาว (ค่า wbc) ที่สภาวะปกติ คือ ประมาณ 4,500-10,000 cell/ml (cells/mm3)
– ค่า WBC Count มีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน แสดงว่า ร่างกายอยู่ในสภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Leukopenia)
1. ร่างกายกำลังติดเชื้อจากจุลชีพก่อโรคร้ายแรงบางชนิด เช่น เชื้อไวรัส 2. ร่างกายอาจกำลังมีสภาวะภูมิต้านทานโรคที่กำลังตกต่ำ จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ 3. ไขกระดูกอาจมีปัญหา หรือมีโรคสำคัญบางอย่าง 4. อาจเกิดจากการใช้ยาหรือได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดที่ให้ผลข้างเคียงต่อการทำลายเม็ดเลือดขาว 5. ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามินบี 12, กรดโฟลิค หรือธาตุเหล็ก 6. อาจเกิดจากม้ามทำงานมากเกินไป (Hypersplenism) โดยดักตับเก็บเม็ดเลือดขาวไว้มากผิดปกติจากกระแสเลือด
– ค่า WBC Count มีค่าสูงกว่ามาตรฐาน แสดงว่า ร่างกายอยู่ในสภาวะเม็ดเลือดขาวสูง (Leukocytosis) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการอักเสบหรือติดเชื้อภายในร่างกายทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อมาจัดการกับเชื้อโรคหรือไขกระดูกมีความผิดปกติ (Myeloproliferative Disorder) ที่ส่งผลให้ไขกระดูกสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวมากขึ้นผิดปกติ เป็นต้น
1. ร่างกายอาจกำลังเกิดการอักเสบจากการบาดเจ็บหรือเกิดจากการถูกจุลชีพก่อโรคโจมตี 2. ร่างกายอาจกำลังได้รับเชื้อโรคสำคัญหรือเกิดโรคจากจุลชีพก่อโรคที่หลุดเข้าสู่ร่างกาย จึงกระตุ้นให้ร่างกายต้องเร่งผลิตสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาต่อสู้ 3. อาจเกิดโรคสร้างเม็ดเลือดขาวมากผิดปกติจากไขกระดูก (Myeloproliferative disorders) 4. อาจเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 5. อาจกำลังเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งซึ่งยังแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่จนยากจะตรวจพบได้ในขณะนั้น (จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สูงขึ้นผิดปกติโดยไม่มีอาการของโรคอื่น อาจนับเป็นสัญญาณบ่งชี้ของโรคมะเร็ง) 6. อาจกำลังเกิดความระคายเคือง เช่น จากความเครียด หรือริดสีดวงทวาร ซึ่งผลต่อฮอร์โมนที่มีอิทธิพลในการสร้างเม็ดเลือด 7. อาจเกิดจากสภาวะการขาดน้ำต่อมไทรอยด์อาจทำงานมากเกินไป 8. อาจเกิดจากการกินยากลุ่มสเตียรอยด์มานานเกินไป
การรายงานจำนวนของเม็ดเลือดขาวนั้น นอกจากจะรายงานเป็นผลรวมของเซลล์เม็ดเลือดขาวทั้งหมดที่ตรวจพบแล้ว ยังสามารถรายงานแยกเป็นจำนวนเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดได้ด้วย ซึ่งเรียกการรายงานผลแบบนี้ว่า White Blood Cell Differential (WBC Differential)
ชนิดของเม็ดเลือดขาว
1.นิวโทรฟิล (Neotrophil : NEUT) คือ เม็ดเลือดขาวที่มีพบอยู่ในเลือดมากที่สุด มีหน้าที่ต่อต้านเชื้อรา (Fungi) และเชื้อแบคทีเรีย (Bacteria) จากภายนอกที่เข้ามาในร่างกาย นิวโทรฟิลเป็นเม็ดเลือดขาวด่านแรกมีหน้าที่ดักจับเชื้อโรค เมื่อนิวโทรฟิลตายจะกลายเป็นน้ำหนอง (Pus) ค่าของนิวโทรฟิลจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 cells/ml หรือประมาณ 40-80% ค่าของนิวโทรฟิลจะมีค่าสูงเมื่อร่างกายของผู้ตรวจอยู่ในสภาวะติดเชื้อ
ค่าผิดปกติของ Neutrophil ที่ถือว่าวิกฤติ คือ
ค่า Neutrophil ที่วัดจากจำนวนหน่วยสมบูรณ์ (ANC) = น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1,000 cells/cu.mm. (cells/mm3)
ค่า Neutrophil ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
1. ร่างกายอาจกำลังขาดแคลนสารอาหารสำคัญบางตัว คือ วิตามินบี 12 (B12) หรือกรดโฟลิค (Folic acid) 2. ร่างกายอาจกำลังเกิดบาดแผลขนาดใหญ่ หรืออาจเพิ่งได้รับการฉายรังสีหรือรับยาคีโม 3. ร่างกายอาจกำลังเริ่มเผชิญกับการติดเชื้อที่เสี่ยงต่อการนำไปสู่โรคสำคัญ เช่น ตับอักเสบ ไทฟอยด์ ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคคางทูม ฯลฯ
ค่า Neutrophil ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
1. อาจกำลังเกิดโรคจากการติดเชื้อ เช่น โรคหูอักเสบ โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ โรคกระดูกอักเสบ โรคโกโนเรีย โรคงูสวัด โรคอีสุกอีใส ฯลฯ 2. อาจกำลังเกิดการอักเสบจากโรคทั่วไป เช่น โรคกล้ามเนื้ออักเสบ โรคปวดข้อ โรคเกาต์เฉียบพลัน ฯลฯ 3. อาจกำลังตกอยู่ภายใต้สภาวะความเครียดอย่างหนัก 4. อาจกำลังเกิดโรคสภาวะอันเนื่องมาจากการเผาผลาญอาหารบกพร่อง เช่น สภาวะความเป็นกรดจากเบาหวาน (Diabetic acidosis) 5. อาจกำลังเกิดโรคเซลล์หรือเนื้อเยื่อบางจุดขาดเลือด เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แผลไฟลวก แผลหิมะกัด ฯลฯ
2.ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes : LYMP) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ในการต่อต้านเชื้อไวรัส (Virus) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
– T Cell มีหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรค
– B Cell มีหน้าที่ในการสร้าง Antibody เพื่อจับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย
– NK Cell มีหน้าที่ในการกำจัดเซลล์ที่เกิดการติดเชื้อ
ค่าโดยรวมของเซลล์ทั้ง 3 ชนิด จะมีค่าประมาณ 20-40% หรือประมาณ 1,000-3,000 cells/ml ค่าลิมโฟไซต์จะมีค่าสูงเมื่อมีการติดเชื้อไวรัสอย่างเฉียบพลัน เช่น การติดเชื้ออีสุกอีใส การติดเชื้อหัด การติดเชื้อวัณโรค เป็นต้น
ค่า Lymphocyte ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. ร่างกายอาจตกอยู่ในความเครียดอย่างหนัก 2. ร่างกายอาจถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัวจากเชื้อ HIV/AIDS 3. อาจกำลังเกิดโรคมะเร็งบางชนิด 4. อาจกำลังเกิดโรคร้ายแรง เช่น วัรโรคระยะลุกลาม โรคหัวใจ โรคไต ฯลฯ 5. อาจเกิดจากการได้รับยาบางชนิดที่มีฤทธิ์กดไขกระดูก เช่น ยาเคมีบำบัด 6. อาจกำลังได้รับการรักษาด้วยรังสีบำบัด หรือรับการฉายเอกซเรย์ (X-ray) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) บ่อยครั้งเกินไป
ค่า Lymphocyte ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจกำลังได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิดเรื้อรัง 2. อาจกำลัติดเชื้อจากบางโรค เช่น วัณโรค โรคหัด โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ 3. อาจกำลังเกิดสภาวะโรคตับอักเสบจากการติดเชื้อ 4. อาจอยู่ในสภาวะภายหลังการรับการถ่ายเลือด (Post-transfusion)
3.โมโนไซต์ (Monocyte : MONO) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคและจดจำลักษณะของเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะพบได้เล็กน้อยในกระแสเลือด การตรวจจะมีค่ามาตรฐานประมาณ 2-10 % หรือประมาณ 200-1,000 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่อผู้ตรวจอยู่ในระยะฟื้นตัวจากการติดเชื้อ
ค่า Monocyte ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจเกิดโรคโลหิตจางจากไขกระดูกเสื่อม (Aplastic anemia) 2. อาจเกิดโรคโลหิตจางจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Lymphocytic anemia)
ค่า Monocyte ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. ร่างกายอาจมีการติดเชื้อในบางโรค เช่น โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบจากแบคทีเรียชนิดไม่รุนแรง โรควัณโรค โรคตับอักเสบ โรคมาลาเรีย 2. อาจกำลังเกิดโรคลำไส้อักเสบ (Imflammatory bowel disease) 3. อาจเกิดโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งชนิดเนื้องอก มะเร็งเม็ดเลือดขาวของเซลล์โมโนไซต์ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ
4.อีโอซิโนฟิล (Eosinophils : EOS) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ในการต่อต้านพยาธิ อารอักเสบหรืออาการแพ้ต่างๆ โดยอีโอซิโนฟิลจะปล่อยเอ็นไซม์ (Enzyme) และสารเคมีกลุ่มไซโตไคน์ (Cytokine) ค่ามาตรฐานประมาณ 1-6% หรือ 20-500 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่ออยู่ในสภาวะภูมิแพ้ (Allergy) หรือสภาวะที่มีพยาธิอยู่ในร่างกาย
5.เบโซฟิล (Basophils) คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่เหมือนกับอีโอซิโนฟิล แต่เบโซฟิลจะปล่อยสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งมีหน้าหน้าที่ในการก่อปฏิกิริยาภูมิแพ้ (Anaphylaxis) ค่ามาตรฐานน้อยกว่า 1-2% หรือ 20-1,000 cell/ml ซึ่งจะมีค่าสูงเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น การแพ้อาหาร ลมพิษ หรือการเกิดการอักเสบชนิดเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
ค่า Basophil ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจกำลังตกอยู่ในสภาวะมีความเครียดอย่างหนัก 2. อาจกำลังอยู่ในสภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน 3. ร่างกายสตรีอาจกำลังตกไข่ (Ovulation) 4. อาจกำลังตั้งครรภ์
ค่า Basophil ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่สร้างสารก่อภูมิแพ้ 2. อาจเกิดสภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป 3. อาจเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin’s lymphoma) 4. อาจเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดจากไขกระดูกชนิดเรื้อรัง (Chronic myelocytic leukemia) 5. อาจเกิดจากการอักเสบจากโรคบางชนิด เช่น ไซนัสอักเสบ ช่องทางหายใจอักเสบ (โรคหอบหืด) ลำไส้อักเสบ ผิวหนังอักเสบ
1.4 ค่าเกล็ดเลือด (Platelet Count : PLT) คือ จำนวนของเกร็ดเลือดหรือเม็ดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุดที่มีอยู่ในเลือด เกร็ดเลือดสร้างจากไขกระดูก เกร็ดเลือดจะมีอายุอยู่ประมาณ 8-9 วัน หลังจากที่เกร็ดเลือดหมดอายุจะถูกกำจัดโดยตับและม้าม เกร็ดเลือดมีหน้าที่ทำให้เลือดแข็งตัว (Blood Clotting) ป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียเลือดมาก โดยเมื่อร่างกายเกิดบาดแผลหรือมีเลือดไหล เกร็ดเลือดจะมีการพองตัวและรวมตัวกันเป็นกลุ่มทำเลือดเป็นก้อนเหนียวในหลอดเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดเป็นการหยุดการไหลของเลือดนั่นเอง ค่าเกร็ดเลือดปกติหรือค่าของเกร็ดเลือดมาตรฐานอยู่ที่ 130,000 – 400,000 cell/ml
– ค่าเกร็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) คือ มีค่าเกร็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 cell/ml จะส่งผลให้เลือดหยุดไหลช้า เมื่อเกิดบาดแผล และมีการเกิดจุดเลือดออก (Petechia) ขึ้นตามผิวหนัง
– ค่าเกร็ดเลือดสูง (Thrombocytosis) คือ มีค่าเกร็ดเลือดมากกว่า 400,000 cell/ml จะส่งผลให้เลือดจะแข็งตัวเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดมีการแข็งตัวในหลอดเลือดจนเกิดการอุดตันของหลอดเลือด
ค่าเกร็ดเลือดนอกจากจะรายงานในรูปแบบของ Platelet Count แล้วยังมีการรายงานในผลของเกร็ดเลือดในแบบ Platelet morphology คือ การตรวจดูจำนวน ขนาดและรูปร่างของเกร็ดเลือดโดยละเอียด ว่ามีการจับตัวเป็นกลุ่ม (Clumping) หรือไม่ เพราะว่าถ้าเกร็ดเลือดมีการจับตัวเป็นกลุ่มอาจจะทำให้มีความเสี่ยงในการแข็งตัวของเลือดได้ ซึ่งการรายงานผลจะแจ้งว่าเพียงพอหรือไม่เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งจะรายงานคู่กับกับการรายงานแบบ Platelet Count เสมอ
2.ระดับน้ำตาลในเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) คือ การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ในเลือด สำหรับการคัดกรองผู้ตรวจว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ซึ่งการตรวจจะมีผลระดับน้ำตาลในเลือดผู้ตรวจควรงดน้ำ งดอาหารก่อนการตรวจอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง เพื่อที่ค่าที่ตรวจได้จะมีความแม่นยำ โดย ค่าปกติของระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ที่ 75-110 mg/dl
– ระดับน้ำตาลมีค่ามากกว่า 110 – 140 mg/dl คือ ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีแนวโน้มที่จะมีอาการของโรคเบาหวาน
– ระดับน้ำตาลมีค่ามากกว่า 140 – 200 mg/dl คือ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น
ระดับน้ำตาลมีค่ามากกว่า 200 mg/dl คือ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และต้องได้รับการรักษาจากแพทย์
การตรวจสุขภาพเป็นเพียงการตรวจเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ตรวจว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อที่ผู้รับการตรวจจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลด้านโภชนาการอาหาร การออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายที่เป็นอยู่เพื่อที่ร่างกายจะได้มีสุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
3.การตรวจระดับไขมันในเลือด
การตรวจระดับไขมันในเลือด คือ การวัดค่าของไขมันที่มีอยู่ในเลือด การตรวจนี้ก็เพื่อที่ต้องการทราบถึงชนิดของไขมันที่มีอยู่ในเลือดว่าเป็นไขมันชนิดไหนอยู่บ้าง ซึ่งการรู้ว่าในเลือดมีไขมันชนิดดีหรือไม่ดีจะทำให้ผู้ตรวจดูแลเรื่องอาหารและการออกกำลังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคในอนาคตได้ ซึ่งการตรวจจะมีการตรวจไขมัน 4 ชนิด คือ
1.คอเรสเตอรอลรวม (Total Cholesterol:TC) เป็นการวัดปริมาณคอเลสเตอรรอลทั้งคอเลสเตอรอลชนิดดีและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่มีอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งค่ามาตรฐานของคอเลสเตอรอลมีค่าไม่เกิน 200 mg/dl
2.ไตรกลีเซอรไรด์ (Triglyceride) คือ ไตรกลีเซอไรด์มาได้จากการสังเคราะห์ในร่างกายและการรับประทานอาหารที่มีไขมันเข้าไป ไตรกลีเซอไรด์จะมีการเปลี่ยนไปเป็นไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ถ้าไตรกลีเซอไรด์มีค่าสูง แสดงว่าร่างกายก็จะมีการสะสมของไขมันเพิ่มมากขึ้น มีความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว เมื่อมีการสะสมมากจะทำให้เกิดภาวะอ้วนซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ ตามมา ซึ่งค่ามาตรฐานของไตรกลีเซอไรด์มีค่าไม่เกิน 150 mg/dl
3.ไขมันชนิดดี (High Density Lipoprotein : HDL) คือ คอเลสเตอรอลชนิดที่ดีที่ตับสังเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งในเลือดควรมีค่า HDL ไม่ต่ำกว่า 40 mg/dl จึงจะอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เพราะว่า HDL มีหน้าที่ป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ
4.ไขมันชนิดเลว (Low Density Lipoprotein : LDL) คือ การวัดค่าไขมันชนิดไม่ดี ซึ่งไขมันชนิดนี้มาได้จากการรับประทานเข้าไปและการสังเคราะห์ที่ตับ LDL สามารถเข้าไปสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เป็นไขมันส่วนเกิน และสามารถสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบหรืออุดตันได้ ซี่งไม่สาเหตุหลักของการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งในร่างกายไม่ควรมี LDL เกิน 100 mg/dl เพราะถ้าเกินกว่านี้ร่างกายจะเกิดการสะสมไม่สามารถกำจัดหรือใช้งานได้หมด
4. การตรวจทำงานของตับ AST (SGOT) : Aspartate aminotransferase
AST (Aspartate transaminase ) หรือ Aspartate aminotransferase (แต่เดิมการแพทย์จะใช้คำว่า “SGOT ” หรือ Serum glutamic oxaloacetic transaminase ซึ่งก็มีความหมายและเป็นค่าชนิดเดียวกัน)
เอนไซม์ที่อาจตรวจพบได้ในกระแสเลือด ซึ่งสร้างขึ้นมาจากความเสียหายของตับ เม็ดเลือดแดง หัวใจ กล้ามเนื้อ ตับอ่อน หรือไต จะเห็นได้ว่าค่า AST นี้มิใช่ค่าเอนไซม์เฉพาะตับเท่านั้น แต่เป็นค่าที่สะท้อนจากทุกเนื้อเยื่อของทุกอวัยวะที่เสียหาย เพียงแต่ตับเป็นอวัยวะที่ไวต่อโรคหรือจากสภาวะแวดล้อมที่มากระทบ เช่น จากสารพิษ จึงมักเป็นสาเหตุแรก ๆ ที่ทำให้ AST ซึ่งเกิดขึ้นจากตับมีค่าสูงขึ้นบ่อยครั้ง นั่นแปลว่า ALT ที่สูงขึ้นผิดปกติมักมีสาเหตุมาจากตับมากกว่าอวัยวะอื่น
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ค่า AST พิจารณาร่วมกับค่าผลเลือดตัวอื่นที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะนั้น ๆ ด้วยเสมอ เช่น กรณีวินิจฉัยสภาวะหรือความเสียหายของตับก็จำเป็นต้องใช้ค่า AST พิจารณาร่วมกับค่า ALT เสมอ หรือในกรณีของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็จำเป็นต้องอาศัยทั้งค่า AST, CPK และ LDH
ค่า AST จะเริ่มสูงขึ้น โดยผลของเซลล์ที่ได้รับอันตรายให้ต้องบาดเจ็บ เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 6-10 ชั่วโมง (เช่น จากตับได้รับพิษจากยาบางตัวหรือเห็ดพิษ หรือแม้แต่จากการดื่มแอลกอฮอล์) และจะปรากฏค่า AST สูงที่สุดภายในระยะเวลา 24-36 ชั่วโมง และค่า AST อาจจะกลับคืนสู่ระดับปกติภายใน 3-7 วัน แต่หากเป็นการบาดเจ็บของเซลล์ที่มีลักษณะเรื้อรัง เช่น เซลล์ตับมีภาวะอักเสบเรื้อรังจากพิษของสุราหรือไวรัส กรณีอย่างนี้ ค่า AST ก็จะยังคงสูงอยู่ต่อไป
ควรตระหนักไว้เสมอว่า ค่าเอนไซม์ของตับทั้ง AST และ ALT นั้น ใช้เพื่อการเฝ้าตรวจหรือแจ้งเตือนจากโรคตับว่ากำลังมีหรือกำลังเป็นโรคใดอยู่หรือไม่ แต่ไม่สามารถนำไปใช้เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำหน้าที่ของตับในเชิงปริมาณได้
สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีจะพบค่า AST ในเลือดน้อยมาก แต่หากเซลล์ตับ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ และอื่น ๆ ดังกล่าวถูกทำลาย จะมีเอนไซม์ AST จากอวัยวะนั้น ๆ ออกมาที่ระบบเลือดในปริมาณมากขึ้น โดยที่อาจจะพบอาการแสดงของโรคนั้น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
การตรวจ AST (SGOT)
ชื่อต่าง ๆ ในใบรายงานผลการตรวจที่มีความหมายเดียวกัน คือ
AST
AAT
Aspartate transaminase
ASAT
AspAT
Aspartate aminotransferase
SGOT
Serum Glutamic Oxaloacetic Transaminase
จุดประสงค์ของการตรวจ AST (SGOT)
การตรวจเพื่อให้ทราบค่าเอนไซม์ AST ซึ่งอาจแสดงผลเปลี่ยนแปลงจากค่าปกติเมื่อตับหรืออวัยวะอื่นบางแห่งกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือมีความผิดปกติ (ยิ่งค่า AST สูงขึ้นมากเพียงใด ก็ย่อมเป็นสัดส่วนโดยตรงที่สะท้อนให้เห็นถึงจำนวนเซลล์ของอวัยวะต้นทางที่ได้รับอันตรายบาดเจ็บฟกช้ำมากขึ้นเท่านั้น) 1.ตรวจสุขภาพของตับในขณะนั้นว่ามีความเสียหายใด ๆ ต่อตับปรากฏอยู่บ้างหรือไม่
2. ตรวจยืนยันข้อสงสัยโรคตับที่อาจปรากฏอาการสำคัญว่าเกิดจากโรคตับอักเสบหรือโรคตับแข็งหรือไม่ 3. ตรวจเพื่อยืนยันอาการผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นว่าเกี่ยวข้องกับตับหรือไม่ เช่น ปวดช่องท้องส่วนบน คลื่นไส้ อาเจียน ดีซ่าน (ตัวเหลืองตาเหลือง) 4. ตรวจในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการดีซ่าน เพื่อช่วยบ่งชี้ว่ามาจากโรคเลือดหรือโรคตับ 5. ตรวจเพื่อติดตามผลการรักษาหากเกิดโรคตับและได้มีการรักษาอยู่ก่อนแล้ว 6. ตรวจเพื่อติดตามผล หรือพิษจากยาลดคอเลสเตอรอล หรือจากยารักษาโรคอื่นว่าได้สร้างความเสียหายให้แก่ตับหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด 7. ตรวจเพื่อช่วยคัดกรองและ/หรือวินิจฉัยภาวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 8. การตรวจ AST ในปัจจุบันมักเป็นการตรวจที่อยู่ในโปรแกรมการตรวจสุขภาพประจำปี แต่ในความเป็นจริงแล้วการส่งตรวจการทำงานของตับควรจะส่งตรวจในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ เช่น ในผู้ที่มีดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับ มีประวัติหรือมีโอกาสเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ มีภาวะอ้วนหรือเป็นเบาหวาน หรือเป็นผู้ที่กินยาหรือวิตามินหรือสมุนไพรในปริมาณและขนาดที่อาจทำลายตับได้ หรือส่งตรวจในรายที่มีอาการของโรคตับ (เช่น อ่อนแรง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องบวม มีภาวะดีซ่านตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม หรือมีอาการคันที่ผิวหนัง)
ค่าปกติของ AST (SGOT)
ค่าปกติของ AST (SGOT) ให้ยึดตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
ค่าปกติของ AST (SGOT) ในผู้ชาย คือ 8 – 46 U/L
ค่าปกติของ AST (SGOT) ในผู้หญิง คือ 7 – 34 U/L
ค่า AST (SGOT) ที่ต่ำกว่าปกติ
ค่า AST (SGOT) ที่ต่ำกว่าปกติ มักไม่ค่อยปรากฏและไม่มีนัยสำคัญ หรืออาจสรุปได้ว่า หากตรวจพบค่า AST อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติก็อาจหมายความว่าทุกอวัยวะ (ตับ เม็ดเลือดแดง หัวใจ กล้ามเนื้อ ตับอ่อน หรือไต) ยังไม่มีโรคสำคัญเกิดขึ้น หรือยังมีสุขภาพดีอยู่
ค่า AST (SGOT) ที่สูงกว่าปกติ
ค่า AST (SGOT) ที่สูงกว่าปกติ อาจเกิดจากการอักเสบหรือปวดเจ็บของเนื้อเยื่อหัวใจ ตับ ตับอ่อน หรือกล้ามเนื้อก็ได้ โดยอาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Heart attack) 2. อาจเกิดโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Acute pancreatitis) 3. อาจเกิดโรคไตวายเฉียบพลัน (Acute renal failure) 4. อาจเกิดโรคตับอักเสบ (Hepatitis) 5. อาจเกิดโรคตับแข็ง (Cirrhosis) 6. อาจเกิดโรคมะเร็งตับ (Liver tumor) 7. อาจเกิดภาวะอุดตันภายในตับเอง 8. อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงไหลผ่านเข้าตับได้น้อยกว่าปกติ ทำให้เซลล์ตับตายเฉพาะที่ (Lever ischemia) 9. อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงสีซีดลงอันเนื่องมาจากพันธุกรรม (Hereditary hemochromatosis) 10. อาจเกิดโรคโลหิตจางชนิดเซลล์เม็ดเลือดแดงลดจำนวนน้อยลงอย่างเฉียบพลัน (Acute hemolytic anemia) 11. อาจเกิดโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อขั้นแรก (Primary muscle disease) 12. อาจเกิดโรคกล้ามเนื้อลีบขั้นรุนแรง (Progressive muscular dystrophy) 13. อาจเกิดจากแผลไฟลวกที่ลึกและรุนแรง (Severe deep burn) 14. อาจเกิดจากการได้รับการผ่าตัดมาได้นาน (Recent surgery) 15. อาจเกิดจากภาวะการถอนพิษหรือลงแดงจากการหยุดดื่มแอลกอฮอล์ 16. อาจเกิดจากการที่เพิ่งได้รับการรักษาโรคหัวใจด้วยวิธีสอดใส่ห่วงถ่างขยายหลอดเลือดกล้ามเนื้อหัวใจมาได้ไม่นาน (Recent cardiac catheterization) 17. อาจเกิดจากมีอาการของโรคชักมาได้ไม่นาน (Recent convultion) 18. อาจเกิดจากความรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสจากโรคโมโนนิวคลีโอซิส (Mononucleosis) 19. อาจเกิดจากกล้ามเนื้อโครงร่างของร่างกายได้รับการบาดเจ็บฟกช้ำอย่างรุนแรง 20. อาจเกิดจากการกินยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ, ยาสแตตินที่ใช้ลดคอเลสเตอรอล (Statin), ยาคีโมรักษามะเร็ง (Chemotherapy), ยาระงับอาการปวดแอสไพริน (Aspirin) รวมทั้งอาจเกิดจากการใช้ยาเสพติด (Narcotics) 21. หากค่า AST สูงกว่าปกติไม่มากก็อาจสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นประจำ, ตับอาจติดเชื้อหรืออักเสบเรื้อรัง, อาจมีนิ่วในถุงน้ำดี, อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสจากโรคโมโนนิวคลีโอซิส (Mononucleosis), อาจมีการแพร่กระจายของมะเร็งมาที่ตับ
AST : ALT (DeRitis ratio)
เนื่องจากการตรวจเลือดเพื่อหาค่า ALT มักจะต้องตรวจหาค่า AST ควบคู่ไปด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงช่วยกันวิเคราะห์และพบว่าอัตราส่วนระหว่าง AST : ALT นั้น อาจช่วยบ่งชี้โรคตับอย่างหยาบ ๆ ได้ (มิใช่ข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน แต่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานทั่วไปในเบื้องต้นโดยอาศัยสถิติเดิมเป็นข้อยืนยัน) และเรียกอันตราส่วนตามชื่อผู้ค้นคว้าคนแรกนี้ว่า “DeRitis ratio ” โดยจากการรวบรวมสถิติที่ผ่านมาเพื่อใช้เป็นข้อสันนิษฐานโรคที่เกี่ยวกับโรคตับนั้น สามารถสรุปได้ดังนี้
AST : ALT = 2 : 1 อาจสันนิษฐานว่าเกิดโรคตับจากแอลกอฮอล์ หรือตับเสียหายเรื้อรังจากแอลกอฮอล์ เช่น โรคไขมันพอกตับ AST : ALT = 1 : 1 มักเป็นค่าปกติทั่วไป AST : ALT = < 1 : 1 อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นโรคไขมันพอกตับแม้ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หรือเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส หรือเกิดจากการใช้ยา (เฉียบพลันหรือเรื้อรัง)
ข้อควรรู้และคำแนะนำก่อนการตรวจ AST (SGOT)
1. ต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) ก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง 2. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักก่อนการตรวจ AST 3. แจ้งให้แพทย์ทราบถึงชื่อและขนาดยาที่รับประทาน โดยเฉพาะยาสแตติน (Statins), ยาปฏิชีวนะ, ยาแอสไพริน (Aspirin), ยาละลายลิ่มเลือด (Clopidogrel), ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin), ยานอนหลับ, ยาบาร์บิทูเรต (Barbiturate), ยาเคมีบำบัด, ยาสมุนไพร หรือวิตามินใด ๆ ที่รับประทานอยู่ในขนาดสูง เพราะอาจส่งผลต่อการแปลผลทางห้องปฏิบัติการได้ 4. แจ้งให้แพทย์ทราบถึงการแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาใด ๆ มีการตั้งครรภ์หรือกำลังจะตั้งครรภ์ หรือได้รับการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ หรือเคยได้รับการผ่าตัด สวดหลอดเลือดหัวใจ หรือทำบอลลูนหัวใจ เนื่องจากผลการตรวจอาจผิดพลาดไปจากความเป็นจริงได้ 5. แพทย์จะพิจารณาสั่งตรวจการทำงานของตับก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการแสดงของโรคตับหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคตับ รวมทั้งในผู้ป่วยที่แสดงอาการของโรคหัวใจขาดเลือด และจะพิจารณาตรวจซ้ำตามดุลยพินิจของแพทย์เพื่อประเมินผลการรักษา 6. ผลการประเมินค่าทางห้องปฏิบัติการนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานความเป็นไปได้ซึ่งไม่สามารถบ่งชี้ได้ชัดเจนเพียงค่าเดียว เพราะต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการซ้ำเพื่อยืนยัน และต้องตรวจควบคู่ไปกับ ALT และค่าเอนไซม์ตับตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย
5. การตรวจทำงานของตับ ALT (SGPT) : Alanine aminotransferase
ALT (Alanine transaminase ) หรือ Alanine aminotransferase (แต่เดิมการแพทย์จะใช้คำว่า “SGPT ” หรือ Serum glutamate-pyruvate transaminase ซึ่งก็มีความหมายและเป็นค่าชนิดเดียวกัน) คือ เอนไซม์ที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดซึ่งอาจเกิดจากความเสียหายของอวัยวะใด ๆ ก็ได้ เช่น ไต หัวใจ กล้ามเนื้อ ตับอ่อน หรือตับ (ความเสียหายจากทุกอวัยวะยกเว้นตับ จะปรากฏค่า ALT ไม่มากนักและมักไม่อาจบ่งชี้ได้ว่ามาจากอวัยวะใดชัดเจน)
แต่เฉพาะความเสียหายของตับเท่านั้นที่ค่า ALT จะสำแดงค่าสูงขึ้นผิดปกติเป็นตัวเลขให้เห็นอย่างเด่นชัด นั่นแปลว่า หากมีโรคตับเมื่อใด ALT ในเลือดที่ตรวจได้ก็จะสูงกว่าปกติอย่างเด่นชัดเมื่อนั้น ด้วยเหตุนี้ ค่า ALT จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของโรคตับ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคตับอักเสบและโรคตับแข็ง แม้อาการภายนอกของผู้ป่วยจะยังไม่แสดงออกมาให้เห็นเลยก็ตาม) ALT จึงใช้เพื่อการตรวจสุขภาพของตับเป็นหลัก ซึ่งมักจะให้ความน่าเชื่อถือมากกว่าค่าผลเลือดตัวอื่น (เช่น AST) อย่างไรก็ตาม การตรวจ ALT เพื่อบ่งชี้ความเสียหายของตับนั้นมักจะนิยมตรวจพร้อมกันจากการเจาะเลือดตรวจในคราวเดียวอีก 3 ตัวสำคัญ คือ AST, ALP และ LDH
ในกรณีที่ค่า AST มีค่าผิดปกติไปมาก ๆ จนทำให้สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือโรคตับก็ได้นั้น ถ้าหากค่า ALT ขึ้นสูงผิดปกติสอดคล้องกันด้วย ก็จะช่วยให้แพทย์ชี้ชัดแยกแยะลงไปได้ว่าอาจเกิดจากโรคตับมากกว่าโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ค่า ALT นับเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญอย่างยิ่งตัวหนึ่งในการวิเคราะห์ผลข้างเคียงหรือพิษต่อตับจากยารักษาโรคบางชนิด (เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล) จึงสรุปได้ว่า หากตับได้รับพิษจากยา แอลกอฮอล์ อาหาร หรือจากการถูกโจมตีด้วยเชื้อไวรัส ก็ย่อมมีผลทำให้ค่า ALT สูงขึ้นได้เสมอ (ALT เป็นตัวบ่งชี้ที่ไวต่อความเปลี่ยนค่าเป็นที่สุด ในผลจากความเสียหายใด ๆ ของเซลล์ตับ)
การตรวจ ALT (SGPT)
ชื่อต่าง ๆ ในใบรายงานผลการตรวจที่มีความหมายเดียวกัน คือ
ALT
Alanine transaminase
ALAT
Alanine aminotransferase
SGPT
Serum Glutamate-Pyruvate Transaminase
จุดประสงค์การตรวจ ALT (SGPT)
1. ตรวจเพื่อให้ทราบค่าเอนไซม์ ALT ซึ่งอาจแสดงผลการเปลี่ยนจากค่าปกติเมื่ออวัยวะบางแห่งของร่างกายโดยเฉพาะตับ ได้รับผลกระทบจากสารพิษ หรือฟกช้ำ หรือถูกโจมตีจากไวรัสจนเป็นผลทำให้เซลล์ตับบาดเจ็บหรือได้รับความเสียหาย 2. ตรวจสอบความเสียหายของตับจากเหตุใดก็ตามว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด 3. ตรวจสอบโรคตับซึ่งทราบอยู่ก่อนแล้ว (เช่น มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์ ยารักษาโรค ไวรัส) ว่าโรคตับที่เป็นอยู่ในขณะนั้นทรุดหนักอยู่ในระดับของโรคตับอักเสบหรือระดับของโรคตับแข็ง 4. ตรวจสอบในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการดีซ่านเพื่อบ่งชี้ให้แน่ชัดว่ามีสาเหตุมาจากโรคเลือดหรือมาจากโรคตับ 5. ตรวจสอบเพื่อเฝ้าระวังความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตับ จากการกินยาลดคอเลสเตอรอลหรือยารักษาโรคอื่นใดก็ตาม 6. ตรวจในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ เช่น ในผู้ที่มีดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับ มีประวัติหรือมีโอกาสเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ มีภาวะอ้วนหรือเป็นเบาหวาน หรือเป็นผู้ที่กินยาหรือวิตามินหรือสมุนไพรในปริมาณและขนาดที่อาจทำลายตับได้ หรือส่งตรวจในรายที่มีอาการของโรคตับ (เช่น อ่อนแรง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องบวม มีภาวะดีซ่านตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม หรือมีอาการคันที่ผิวหนัง)
ค่าปกติของ ALT (SGPT)
ค่าปกติของ ALT (SGPT) ให้ยึดตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
ค่าปกติทั่วไปของ ALT (SGPT) คือ 0 – 48 U/L
ค่าปกติของ ALT (SGPT) ที่เหมาะสมในปัจจุบัน วิทยาลัยอเมริกันแห่งสมาคมอายุรแพทย์อเมริกันได้รายงานเสนอว่า แพทย์แผนปัจจุบันควรปรับค่าปกติของ ALT ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสชนิดซี (HCV) และโรคไขมันพอกตับ (FLD) เพราะผู้ป่วยที่กำลังเป็นโรคใดโรคหนึ่งอย่างเงียบ ๆ นี้ หากไปเจาะเลือดตรวจค่า ALT ก็จะไม่สามารถบ่งบอกได้ว่ากำลังเกิดโรค เพราะพบค่า ALT อยู่ในเกฑณ์ปกติ (0 – 48 U/L ซึ่งเป็นเกณฑ์ปกติเดิม) จึงอาจทำให้เข้าใจผิดว่าตนเองยังมีสุขภาพดีเช่นคนทั่วไปได้ ในข้อเสนอแนะจึงสรุปได้ว่าค่าปกติของ ALT ที่เหมาะสมในปัจจุบัน ควรปรับลดและกำหนดค่ามาตรฐานใหม่เป็นดังนี้
ค่าปกติของ ALT (SGPT) ในผู้ชาย คือ 30 U/L
ค่าปกติของ ALT (SGPT) ในผู้หญิง คือ 19 U/L
ค่า ALT (SGPT) ที่ต่ำกว่าปกติ
ค่า ALT (SGPT) ที่ต่ำกว่าปกติ โดยธรรมดามักจะไม่ปรากฎและมักมีค่าให้ตรวจพบได้เสมอตราบเท่าที่บุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่และตับก็ยังต้องทำหน้าที่เป็นปกติดีอยู่ แต่ถ้า ALT ต่ำกว่าปกติร่วมกับค่าคอเลสเตอรอลที่สูงเกินปกติ ก็อาจเกิดจากท่อน้ำดีในตับอุดตัน (Congested liver) ได้
ค่า ALT (SGPT) ที่สูงกว่าปกติ
ค่า ALT (SGPT) ที่สูงกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อยเป็นครั้งคราว อาจแสดงผลได้ว่า
1. ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) 2. กล้ามเนื้ออักเสบ (Myositis) 3. อาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial infraction) 4. หากมีโรคหรือภาวะใดที่กระทบต่อตับ หัวใจ หรือกล้ามเนื้อโครงร่าง ก็ย่อมเป็นเหตุทำให้ค่า ALT กระเพื่อมสูงขึ้นได้เสมอ
ค่า ALT (SGPT) ที่สูงเล็กน้อย อาจแสดงผลได้ว่า
1. เริ่มเกิดสภาวะตับอักเสบจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น การกินยา การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการกินอาหารที่เป็นพิษ 2. อาจเกิดจากการกินยาบางชนิดเป็นประจำหรือต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น ยาลดคอเลสเตอรอลสแตติน (Statins), ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics), ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy), ยาแก้ปวด (Aspirin), ยาแก้อาการซึมเศร้านอนไม่หลับ (Barbiturates), ยาเสพติด (Narcotics) 3. อาจมีไขมันสะสมแทรกอยู่ในเนื้อเยื่อตับสูงเกินปกติ 4. อาจเกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังที่ยังแสดงอาการไม่มาก แต่ในระยะยาวอาจก่อให้เกิดโรคตับแข็งขึ้นได้ 5. อาจเริ่มมีอาการของโรคตับแข็ง
ค่า ALT (SGPT) ที่สูงปานกลาง อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจเกิดโรคตับอักเสบ (Hepatitis) 2 อาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักจนอยู่ในฐานะเป็นยาเสพติด (Alcohol abuse) 3. ตับอาจอักเสบในระยะเริ่มต้นจากเชื้อไวรัส หรือระยะที่ได้รับการรักษาจนอาการเริ่มดีขึ้น 4. อาจเกิดจากการกินยาเกินขนาด เช่น ยาพาราเซตามอล ยาสมุนไพรบางชนิด 5. อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสจากโรคโมโนนิวคลีโอซิส (Mononucleosis) หรือที่เรียกว่า “โรคจูบปาก” ซึ่งเป็นการติดต่อผ่านทางน้ำลาย หรือจากการไอ จาม หรือน้ำมูก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตับและม้ามโตกว่าปกติ และอาจรักษาได้ด้วยการพักผ่อนให้มาก ๆ 6. ตับอาจเป็นโรคมะเร็ง (Hepatic tumor) 7. ท่อน้ำดีอาจถูกปิดกั้น ซึ่งอาจเกิดจากท่อน้ำดีอักเสบหรือมีนิ่วในถุงน้ำดี
ค่า ALT (SGPT) ที่สูงมาก อาจแสดงผลได้ว่า
1. เซลล์ตับอาจกำลังเสียหายอย่างรุนแรงจากเชื้อไวรัสตับอักเสบตัวใดตัวหนึ่งมาไม่นานนัก เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ บี หรือซี 2. เซลล์ตับอาจกำลังเสียหายเพราะพิษจากยารักษาโรคบางตัว หรือสมุนไพร หรือวิตามินบางชนิดที่รับประทานในขนาดและปริมาณที่เป็นพิษต่อตับ 3. ร่างกายอาจได้รับสารตะกั่วทางใดทางหนึ่งจนตับเกิดความเสียหายจาพิษของตะกั่ว 4. ร่างกายอาจถูกพิษโดยตรงจากสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ (Cabon tetrachloride) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้อุปกรณ์เครื่องดับเพลิง 5. ตับอาจเสียหายร้ายแรงจากโรคมะเร็งตับ ซึ่งย่อมมีผลทำให้ค่า ALT อยู่ในระดับที่สูงมาก 6. ตับอาจอยู่ภาวะขาดเลือด (Hepatic ischemia) เช่น จากกรณีหัวใจล้มเหลว 7. ร่างกายอาจเกิดอาการช็อก (Shock) จึงทำให้ตับได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงต่ำกว่าปริมาณที่ควรได้รับจนเซลล์บางส่วนเริ่มตายหรือเสียหายอย่างกว้างขวาง
AST : ALT (DeRitis ratio)
เนื่องจากการตรวจเลือดเพื่อหาค่า ALT มักจะต้องตรวจหาค่า AST ควบคู่ไปด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงช่วยกันวิเคราะห์และพบว่าอัตราส่วนระหว่าง AST : ALT นั้น อาจช่วยบ่งชี้โรคตับอย่างหยาบ ๆ ได้ (มิใช่ข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน แต่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานทั่วไปในเบื้องต้นโดยอาศัยสถิติเดิมเป็นข้อยืนยัน) และเรียกอันตราส่วนตามชื่อผู้ค้นคว้าคนแรกนี้ว่า “DeRitis ratio ” โดยจากการรวบรวมสถิติที่ผ่านมาเพื่อใช้เป็นข้อสันนิษฐานโรคที่เกี่ยวกับโรคตับนั้น สามารถสรุปได้ดังนี้
AST : ALT = 2 : 1 อาจสันนิษฐานว่าเกิดโรคตับจากแอลกอฮอล์ หรือตับเสียหายเรื้อรังจากแอลกอฮอล์ เช่น โรคไขมันพอกตับ AST : ALT = 1 : 1 มักเป็นค่าปกติทั่วไป AST : ALT = < 1 : 1 อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นโรคไขมันพอกตับแม้ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หรือเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส หรือเกิดจากการใช้ยา (เฉียบพลันหรือเรื้อรัง)
ข้อควรรู้และคำแนะนำก่อนการตรวจ ALT (SGPT)
1. ต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) ก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง 2. ต้องงดการกินยาทุกชนิดล่วงหน้าหลาย ๆ วัน ก่อนการเจาะเลือด (โปรดปรึกษาแพทย์ในกรณีที่เป็นยาซึ่งสั่งให้กินโดยแพทย์) 3. ต้องงดกินสมุนไพรทุกประเภท รวมถึงอาหารพื้นเมืองตามความเชื่อประหลาด ๆ เช่น สมองลิง กระดูกหัวเสือ เขากวางอ่อน อุ้งตีนหมี ดีงู ปลาปักเป้า ฯลฯ 4. การออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือภายหลังการผ่าตัด หรือการใส่หลอดโลหะขยายหลอดเลือดกล้ามเนื้อหัวใจในทุกกรณี ล้วนทำให้ค่า ALT สำแดงค่าผิดเพี้ยนสูงขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงควรงดการออกกำลังกายก่อนตรวจและแจ้งให้แพทย์ทราบถึงกรณีดังกล่าว 5. แจ้งให้แพทย์ทราบหากท่านกำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากผลการตรวจอาจผิดพลาดไปจากความเป็นจริงได้ 6. แพทย์มักพิจารณาสั่งตรวจการทำงานของตับในผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของโรคตับหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคตับ และจะพิจารณาตรวจซ้ำตามดุลยพินิจของแพทย์เพื่อประเมินผลการรักษา 7.ผลการประเมินค่าทางห้องปฏิบัติการนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานความเป็นไปได้ซึ่งไม่สามารถบ่งชี้ได้ชัดเจนเพียงค่าเดียว เพราะต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการซ้ำเพื่อยืนยัน และต้องตรวจควบคู่ไปกับ AST และค่าเอนไซม์ตับตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย
6. การตรวจการทำงานของไต (ฺฺBUN, Creatinine, Creatinine clearance, eGFR)
การตรวจการทำงานของไต (ภาษาอังกฤษ : Renal function test ) คือ การตรวจดูสมรรถภาพการทำงานของไตได้จากการตรวจเลือดและการตรวจปัสสาวะ* ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วจะประกอบไปด้วยการตรวจ BUN , Creatinine และ eGFR ทั้งนี้ก็เพื่อดูว่าไตสามารถทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดขับทิ้งปัสสาวะได้เป็นปกติหรือไม่
หมายเหตุ : ไตเป็นอวัยวะคู่ที่ตั้งอยู่ใกล้กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอวทั้งด้านซ้ายและขวา มีหน้าที่ในการขับทิ้งของเสียออกจากร่างกาย, รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย, รักษาสมดุลของสภาวะความเป็นกรด-ด่าง, ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ, ผลิตฮอร์โมนสำคัญ ๆ เพื่อการดำรงชีวิตได้เป็นปกติของร่างกายมนุษย์
สาเหตุสำคัญที่อาจทำให้ไตทำหน้าที่บกพร่องหรือส่งผลก่อให้เกิดโรคไตที่สำคัญและท่านสามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, ยารักษาโรคที่ใช้ผิดขนาดหรือนานเกินไป, เหตุใด ๆ ที่มากระทบกระเทือนต่อไตโดยตรง (จากอุบัติเหตุต่าง ๆ และจากกีฬาบางชนิด เช่น เทควันโด มวยไทย ฟุตบอล), สารพิษต่าง ๆ (น้ำแร่ น้ำบ่อ น้ำหมัก ฯลฯ ที่ถูกอ้างว่าเป็นสมุนไพร แต่ไม่ผ่านการรับรอง) เป็นต้น เพราะฉะนั้น หากท่านเป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงก็ต้องควบคุมให้ได้ ใช้ยารักษาโรคอย่างถูกต้องตามความจำเป็นด้วยความระมัดระวัง ระวังการเล่นกีฬาที่เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนและระวังการเกิดอุบัติเหตุ และหากกินยาหรือสมุนไพรใด ๆ อยู่โดยไม่สมควรก็ควรหยุดโดยทันที เหล่านี้ก็จะช่วยปกป้องไตให้มีสุขภาพแข็งแรงและอยู่กับท่านไปอีกนานตราบเท่าที่ท่านยังมีลมหายใจได้
ประสิทธิภาพการทำงานของไต
ธรรมชาติได้สร้างไตที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อช่วยสนับสนุนร่างกายให้อยู่อย่างปกติสุขตลอดช่วงชีวิต ซึ่งในทางการแพทย์
หมายเหตุ : จากตัวเลขจะแสดงให้เห็นว่า ไตเป็นอวัยวะที่สำรองศักยภาพในการทำหน้าที่ได้สูงมาก แม้ในระดับที่ไตได้สูญเสียประสิทธิภาพการทำงานไปแล้วถึง 30-40% ไตก็ยังสามารถทำหน้าที่ได้เหมือนคนปกติทั่วไป เจ้าของร่างกายจึงอาจจะยังไม่รู้ตัวหากไม่ได้สังเกตอย่างจริงจัง (ทั้ง ๆ ที่ ขณะเวลานั้นท่านอาจกำลังตกอยู่ในช่วงอันตรายร้ายแรงจนน่าเป็นห่วงจากโรคไตเรื้อรังก็ได้) ด้วยเหตุนี้ การตรวจเลือดเพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของไตสำหรับเตือนตนเอง จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ควรกระทำ
BUN
BUN หรือ Blood Urea Nitrogen (ไนโตรเจนจากสารยูเรียที่มีอยู่ในกระแสเลือด) คือ การตรวจเลือดเพื่อหาปริมาณยูเรีย (บ้างก็เรียกว่า “การตรวจหาค่าบียูเอ็น ”) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อตรวจดูการทำงานของไต ช่วยประเมินผล และช่วยติดตามผลการรักษาในโรคไต
ยูเรีย (Urea) คือ สารประกอบของของเสียอันเป็นผลผลิตสุดท้ายจากการเผาผลาญอาหารโปรตีนที่ตับ ทั้งนี้ ในชั้นต้นสารของเสียก็คือไนโตรเจน (Nitrogen) ซึ่งอยู่ในรูปของแอมโมเนีย (NH3 : ตัวการทำให้น้ำปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น) และต่อจากแอมโมเนียจึงสร้างเป็นสารยูเรีย (Urea) เพื่อให้ไตสามารถขับออกมาได้กับน้ำปัสสาวะ (Urine) ได้ แต่หากไตเริ่มบกพร่องหรือทำงานหนักมาช้านาน (เช่น เพราะกินเนื้อสัตว์มาอย่างไม่ยับยั้ง) ก็ย่อมเหลือสารยูเรียและไนโตรเจนจำนวนมากคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือด จนตรวจค่า BUN ได้สูงผิดปกติ (ผู้ที่มีค่า BUN สูง ๆ นี้ ในทางการแพทย์จะเรียกว่า “Azotemia ”)
อย่างไรก็ตาม ค่า BUN มิใช่ค่าปัจจัยชี้ขาดที่ใช้แสดงความสมบูรณ์ของไต แต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งซึ่งจำเป็นที่จะใช้บ่งชี้ร่วมกับผลการตรวจเลือดตัวอื่น ๆ เช่น ค่า Creatinine, ค่า Creatinine clearance
1. เพื่อตรวจว่าไตยังทำหน้าที่ได้เป็นปกติดีอยู่หรือไม่ 2. ตรวจเมื่อแพทย์สงสัยว่าท่านจะเป็นโรคไต 3. เพื่อติดตามการทำงานของไตหรือเพื่อดูว่าโรคไตที่เป็นอยู่ก่อนแล้วดีขึ้นหรือแย่ลง 4. เพื่อติดตามผลการรักษาว่าไตฟื้นตัวได้ดีเพียงใด 5. เพื่อตรวจสอบว่าอาการขาดน้ำ (Dehydration) ดีขึ้นหรือไม่
1. ตรวจสุขภาพทั่วไปหรือตรวจสุขภาพตามระยะเวลา 2. มีอาการเหนื่อยอ่อน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ 3. มีอาการบวมน้ำบริเวณขอบตา ใบหน้า ต้นขา ข้อเท้า หลังเท้า 4. ปัสสาวะมีลักษณะเป็นฟองมากผิดปกติ หรือมีเลือดปน หรือมีสีคล้ายกาแฟ 5. ถ่ายปัสสาวะในแต่ละครั้งออกมาได้น้อยกว่าปกติ 6. มีความผิดปกติเกี่ยวกับการถ่ายปัสสาวะในด้านอื่น ๆ เช่น รู้สึกแสบร้อย ถ่ายปัสสาวะบ่อย 7. มีอาการปวดหลังตรงบั้นเอวใกล้เคียงกับตำแหน่งของไต 8. อาจตรวจหาค่า BUN ในผู้ใดก็ตามที่รู้สึกกระสับกระส่าย ไม่มีความปกติสุข โดยยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด ทั้งนี้ก็เพื่อตรวจสอบดูว่าไตยังเป็นปกติดีหรือไม่
ค่าปกติของ BUN ให้ยึดตามค่าที่แสดงไว้ในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
ค่าปกติทั่วไปของ BUN ในผู้ใหญ่ คือ 10 – 20 mg/dL
ค่าปกติทั่วไปของ BUN ในเด็ก คือ 5-18 mg/dL
ค่า BUN ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจบริโภคอาหารประเภทโปรตีนน้อยเกินไป 2. อาจกำลังอยู่ในภาวะทุพโภชนาการ หรือกำลังขาดแคลนอาหาร เช่น อยู่ใต้ตึกถล่ม 3. กลไกการดูดซึมอาหารอาจเกิดความบกพร่อง 4. ตับอาจกำลังมีเหตุร้ายแรงหรือกำลังมีโรคสำคัญ 5. อาจมีปริมาณน้ำในร่างกายมากเกินไป (Overhydrated) 6. อาจเกิดจากยารักษาโรคบางชนิดในประเภทยาปฏิชีวนะ เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol), ยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin)
ค่า BUN ที่สูงกว่าปกติ อาจบ่งบอกได้ว่าไตกำลังเสียหายหรือตกอยู่ในอันตรายจากเหตุสำคัญหรือโรคร้ายแรง จึงทำให้ไตทำหน้าที่ไม่ได้ โดยค่า BUN ที่สูงขึ้นอย่างผิดปกตินี้อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจบริโภคอาหารประเภทโปรตีนมากเกินไป 2. อาจเกิดจากการขาดน้ำ (Dehydration) หรือดื่มน้ำน้อยผิดปกติ 3. อาจเกิดจากการออกกำลังกายอย่างหักโหมจนเกินไป 4. การทำงานของไตอาจผิดปกติ โดยอาจเกี่ยวข้องกับภาวะไตเสื่อมเฉียบพลันหรือไตเสื่อมเรื้อรังที่เกิดจากการถูกทำลายด้วยโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงผิดปกติ จึงทำให้ขับทิ้ง Urea Nitrogen ออกทางปัสสาวะไม่ได้หรือไม่หมด จนมีผลต่อเนื่องทำให้คั่งค้างอยู่ในเลือด ค่า BUN จึงมีระดับสูงขึ้น 5. ตับอ่อนอาจหลั่งเอนไซม์ย่อยอาหารบกพร่อง ทำให้เหลือของเสียรวมทั้ง Urea Nitrogen มากกว่าปกติ 6. ท่อปัสสาวะอาจมีการอุดตันหรือถูกปิดกั้นจนไหลได้ไม่สะดวก ซึ่งอาจจะเกิดจากนิ่วในไตหรืออาจมีเนื้องอกมาขัดขวางท่อปัสสาวะ 7. อาจเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลว หรือภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 8. อาจเกิดจากภาวะช็อกจากความดันโลหิตต่ำจนเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ 9. ในช่องทางเดินอาหารอาจมีการตกเลือดโดยไม่รู้ตัว 10. ร่างกายอาจมีแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกขนาดใหญ่ 11. อาจเกิดจากการกินยาบางชนิด เช่น อัลโลพูรินอล (Allopurinol), ยากลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycoside), แอมโฟเทอริซินบี (Amphotericin B), แอสไพริน (Aspirin) ที่กินมากเกินขนาด, แบคซิทราซิน (Bacitracin), คาร์บามาเซปีน (Carbamazepine), เซฟาโลสปอริน (Cephalosporin), คลอรอลไฮเดรต (Chloral hydrate), ซิสพลาติน (Cisplatin), โคลิสติน (Colistin), ฟูโรซีไมด์ (Furosemide), กัวเนธิดีน (Guanethidine), อินโดเมธาซิน (Indomethacin), เมทิซิลลิน (Methicillin), เมโธเทรกเซท (Methotrexate), เมทิลโดปา (Methyldopa), นีโอมัยซิน (Neomycin), เพนิซิลลามีน (Penicillamine), โพลีมิกซินบี (Polymyxin B), โพรเบเนซิด (Probenecid), โพรพราโนลอล (Propranolol), ไรแฟมพิน (Rifampin), สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone), เตตราซัยคลีน (Tetracycline), ไทอะไซด์ ไดยูเรติก (Thiazide diuretics), ไตรแอมเทอรีน (Triamterene), แวนโคมัยซิน (Vancomycin) 12. ไตอาจเสื่อมลงจากการใช้ยาแผนปัจจุบันที่ซื้อมากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือจากยาที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาโรคอื่นแต่ใช้บ่อยหรือใช้เกินขนาด หรือจากยาสมุนไพรประเภทยาผีบอก (ยาทุกชนิดอาจมีผลกระทบต่อไตได้ทั้งสิ้น ส่วนจะน้อยหรือมากก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
วิธีปฏิบัติตัวเมื่อตรวจพบ BUN มีค่าสูงผิดปกติ
1. หาสาเหตุที่ทำให้ค่า BUN สูง และหาทางแก้ไข (ในกรณีที่แก้ได้) เช่น ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มน้ำให้มากขึ้น รับประทานเท่าที่จำเป็นและเหมาะสม ฯลฯ แต่หากแก้ไขเบื้องต้นแล้วค่า BUN ยังสูงอยู่ก็ควรปรึกษาแพทย์ 2. ดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคไต 3. หากมีโรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต ควรรักษาและติดตามหรือควบคุมโรคให้ดี 4. แจ้งแพทย์เสมอหากท่านกำลังใช้ยา สมุนไพร อาหารเสริมหรือวิตามินใด ๆ อยู่ เพื่อที่แพทย์จะได้ใช้เป็นข้อมูลในการประเมินสาเหตุและหาทางแก้ไขหรือรักษาให้เหมาะสมต่อไป
1. ต้องงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการตรวจ 2. ก่อนเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่า BUN ผู้เข้ารับการตรวจควรงดเว้นหรือลดการบริโภคเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดงให้น้อยลง มิฉะนั้น อาจทำให้ค่า BUN สูงมากขึ้นจากปกติได้ 3. การตรวจอื่นที่อาจช่วยยืนยันความร้ายแรงต่อสุขภาพไตได้ คือ ค่า Creatinine, ค่า Creatinine clearance (เป็นการตรวจพิเศษที่ไม่อยู่ในโปรแกรมตรวจสุขภาพทั่วไป) และค่าอัตราส่วนระหว่าง BUN ต่อ Creatinine ด้วยเหตุนี้ ในการเจาะเลือดเพื่อตรวจการทำงานของไต แพทย์จึงแนะนำให้ตรวจหาค่า Creatinine ไปพร้อมกับ BUN ในวาระเดียวกันด้วยเสมอทุกครั้งไป
Creatinine
Creatinine (ครีอะตินีน ) หรือเรียกอย่างย่อ ๆ ว่า “Cr ” คือ การตรวจสอบสมรรถภาพการทำงานของไตจากค่าครีอะตินีน โดยค่าครีอะตินีนที่ตรวจได้จะเป็นผลมาจากการออกแรงยืดหดหรือใช้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายในชีวิตประจำวันซึ่งค่อนข้างจะคงที่* ถ้าไตยังทำงานได้ดี มันก็จะขับทิ้งออกทางปัสสาวะและเหลือค้างในกระแสเลือดด้วยปริมาณคงที่ไว้ไม่มากนักจำนวนหนึ่ง Creatinine จึงตกค้างอยู่ในเลือดน้อยและวัดค่าได้น้อยตามไปด้วย แต่ถ้าการทำหน้าที่ของไตเริ่มบกพร่องหรือเสียการทำงาน (เช่น เป็นโรคไตเรื้อรัง) ไตก็จะขับ Creatinine ออกทิ้งไม่ทันกับที่กล้ามเนื้อสร้างออกมา การตรวจค่า Creatinine ในเลือดจึงพบค่าที่สูงขึ้นผิดปกติ
ดังนั้น การตรวจ Creatinine จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีในการคัดกรอง วินิจฉัย ประเมินยการรักษา และติดตามการรักษาโรคไตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดไตเสื่อมต่าง ๆ (เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังได้หากไม่รักษาอย่างเหมาะสม) หรือผู้ที่ได้รับยาบางชนิด ซึ่งจำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุของโรคและตรวจประเมินการทำงานของไต
หมายเหตุ : ในขณะที่กล้ามเนื้อมีการใช้พลังงานยืดหรือหดตัวอันเป็นการออกแรงทุกครั้ง (ไม่ว่าจะหนักหรือเบา) ชั้นของกล้ามเนื้อจะหลั่งสาร Creatine phosphate ออกมา (มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “Creatine ”) สารนี้จึงเป็นผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่กล้ามเนื้อต้องออกแรงในการทำกิจวัตรประจำวัน แล้วร่างกายจะใช้วิธีการแตกตัว Creatine เป็นสารตัวใหม่ คือ Creatinine (ครีอะตินีน) ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่สามารถลอยได้ในกระแสเลือด เมื่อเลือดไหลเวียนผ่านไปที่ไตเมื่อใด ก็จะทำให้ไตกรอง Creatinine เกือบทั้งหมดออกไปนอกร่างกายทางน้ำปัสสาวะ (ด้วยเหตุนี้ ค่า Creatinine จึงมักจะไม่แตกต่างกันมากนักในแต่ละวัน และในแต่ละบุคคล เพราะค่านี้ไม่เกี่ยวกับอาหารที่กินมากนัก รวมทั้งไม่เกี่ยวกับตับ) ในน้ำปัสสาวะจึงย่อมมี Creatinine มากเป็นธรรมดา
แต่หากพบว่าค่าจากทั้ง 2 แหล่งนี้อยู่ในระดับที่ผิดปกติ คือ Creatinine ในเลือดสูงมากผิดปกติ แต่ Creatinine ในปัสสาวะต่ำมากผิดปกติ ก็ย่อมอาจบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่าอาจกำลังเกิดโรคไตขึ้นค่อนข้างแน่นอนแล้ว จึงทำให้ไตกรองของเสียออกมาไม่ได้ในเกณฑ์ปกติและล้นคับคั่งอยู่ในเลือด ซึ่งการนำค่า Creatinine ในเลือด พร้อมกับค่า Creatinine ในน้ำปัสสาวะที่เก็บไว้จากการถ่ายออกมาทั้งวันหรือ 24 ชั่วโมง ประกอบกับการคำนวณในห้องปฏิบัติการ ก็จะทำให้ได้ค่าที่เรียกว่า “ค่าสำรองความสามารถของไตที่เหลือในการกำจัดครีอะตินีน ” (Creatinine clearance) ที่แสดงข้อมูลสุขภาพของไตได้อย่างถูกต้องชัดเจนกว่าค่า Creatinine ในเลือดเพียงเดี่ยว ๆ (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อด้านล่าง)
จุดประสงค์ของการตรวจ Creatinine
1. เพื่อตรวจสอบว่าไตยังทำหน้าที่ได้ตามปกติหรือไม่ และหากมีเหตุสำคัญหรือโรคร้ายแรงภายในไต หรือมีโรคหรือเหตุบกพร่องอื่น ๆ ที่มากระทบต่อเนื่องถึงไตแล้ว ไตของท่านจะยังแข็งแรงพร้อมที่จะรับมือกับเหตุร้ายแรงนั้น ๆ ได้มากน้อยเพียงใด 2. เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่ช่วยบ่งชี้เบื้องต้นในเหตุแห่งความร้ายแรงที่เกิดขึ้นที่ไต 3. เพื่อตรวจสอบในกรณีที่เคยมีโรคไตอยู่ก่อนว่า ในขณะนั้นไตมีสุขภาพดีขึ้นหรือแย่ลงเพียงใด 4. เพื่อตรวจสอบกลั่นกรองในกรณีที่ผู้ป่วยต้องกินยารักษาโรคอื่นบางโรคอยู่เป็นประจำนั้น (เช่น ผู้ที่แพทย์สั่งให้กินยาบางขนานไปตลอดชีวิต) ไตได้แสดงความเสียหายไปอย่างใดบ้างหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด
ค่าปกติของ Creatinine ให้ยึดตามค่าที่แสดงไว้ในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
ค่าปกติทั่วไปของ Creatinine ในผู้ชาย คือ 0.6 – 1.2 mg/dL ค่าปกติทั่วไปของ Creatinine ในผู้หญิง คือ 0.5 – 1.1 mg/dL (ผู้หญิงมักจะมีค่าน้อยกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย) ค่าปกติทั่วไปของ Creatinine ในวัยรุ่น คือ 0.5 – 1.0 mg/dL ค่าปกติทั่วไปของ Creatinine ในเด็ก คือ 0.3 – 0.7 mg/dL ค่าปกติทั่วไปของ Creatinine ในทารก (อายุ 1 เดือนขึ้นไป) คือ 0.2 – 0.4 mg/dL ค่าปกติทั่วไปของ Creatinine ในทารกแรกเกิด คือ 0.3 – 1.2 mg/dLค่าวิกฤติของ Creatinine คือ > 4.0 mg/dL
ค่า Creatinine ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจบริโภคอาหารประเภทโปรตีนต่ำเกินไป 2. ร่างกายอาจมีมวลกล้ามเนื้อทั่วร่างกายน้อยกว่าปกติอยู่ก่อน เช่น จากโรคกล้ามเนื้อลีบ (Muscular dystrophy), โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้ายแรง (Myasthenia gravis) หรืออาจเกิดจากความชราภาพ ฯลฯ 3. อาจเกิดจากอาการอ่อนแรงและไม่ใคร่จะเคลื่อนไหวร่างกาย (Debilitation) 4. อาจเกิดจากการตั้งครรภ์ 5. อาจเกิดจากโรคตับชนิดร้าบแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ค่า Creatinine ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจมีเหตุสำคัญหรือโรคร้ายแรงภายในไต หรือเกิดขึ้นที่ไตโดยตรง 2. อาจมีเหตุสำคัญหรือโรคร้ายแรงจากที่อื่น แต่มีผลกระทบต่อเนื่องมาที่ไตและทำให้ไตเสียหาย เช่น การติดเชื้อจากจุลชีพก่อโรคบางชนิด, การเกิดอาการช็อกจากสาเหตุต่าง ๆ, การเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะอื่น ๆ, การเกิดสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เลือดไหลผ่านไตมาด้วยปริมาณที่น้อยกว่าปกติมาก 3. ท่อปัสสาวะอาจถูกปิดกั้น เช่น จากนิ่วในไต 4. อาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ (Dehydration) จึงทำให้เลือดเข้มข้นมากขึ้น เพราะครีอะตินีนในเลือดนั้นนับขนาดกันด้วย มิลลิกรัมต่อปริมาตรเลือด 1 เดซิลิตร 5. อาจเกิดจากโรคหัวใจวาย (Heart failure) ซึ่งหมายถึง หัวใจเต้นชาลง อ่อนแรงลง โดยมีปริมาตรเลือดจากการปั๊มของหัวใจน้อยลง จึงมีผลทำให้ไตได้รับเลือดที่ผ่านมาให้ไตกรองน้อยลง และมีผลต่อเนื่องทำให้ Creatine คั่งค้างอยู่ในเลือดมากขึ้น 6. อาจเกิดจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เช่น สภาวะของโรคกล้ามเนื้อสลาย (Rhabdomyolysis) ซึ่งทำให้ Creatine phosphate ที่แตกตัวอยู่ในรูปของ Creatinine ต้องลอยคับคั่งอยู่ในเลือด 7. อาจเกิดจากสภาพร่างกายใหญ่โตไม่สมส่วน (Acromegaly) เช่น โตเกินวัย หรือโตเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใด หรือสูงผิดปกติ 8. อาจเกิดจากสภาพร่างยักษ์ (Gigantism) 9. อาจเกิดจากครรภ์เป็นพิษ 10. ไตอาจอยู่สภาวะวิกฤติถึงขนาดเป็นอันตรายในระดับที่ทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้เหมือนที่เคยกระทำ หากตรวจเลือดพบค่า Creatinine สูงเกินกว่า 4.0 mg/dL 11. อาจกำลังเกิดโรคไตเรื้อรัง (CKD) ถ้าพบค่าทั้ง 3 อย่างนี้สูงกว่าปกติ คือ Creatinine, Urine albumin (อัลบูมินในปัสสาวะ) และความดันโลหิตสูงกว่าระดับปกติ (และถ้าตรวจพบค่า FBS สูงขึ้นผิดปกติมาก ๆ ในคนที่เป็นเบาหวานร่วมด้วย ก็อาจช่วยยืนยันและเร่งรัดให้ภาวะโรคไตเรื้อรังทรุดหนักเลวร้ายลง) 12. นักกีฬาในวันแข่งขันที่ต้องใช้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวออกแรงมากเป็นพิเศษ เช่น นักกีฬายกน้ำหนัก นักกีฬาว่ายน้ำ นักเทนนิส ฯลฯ (หรือแม้แต่กรรมกรแบกหาม) ฉะนั้น ในวันแข่งขันจึงย่อมตรวจพบค่า Creatinine ในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ข้อควรรู้และคำแนะนำก่อนตรวจ Creatinine
1. ควรงดอาหารประเภทเนื้อ 2-3 วันก่อนการตรวจ Creatinine เพราะการกินอาหารประเภทเนื้อแดงอาจทำให้ค่า Creatinine สูงขึ้นได้เล็กน้อย เพราะเนื้อส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อย่อมจะมี Creatinine phosphate แฝงอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง โดยหากยิ่งทำให้สุกด้วยการใช้ความร้อนนาน ๆ อย่างการตุ๋น ก็จะยิ่งทำให้ Creatinine phosphate จากเนื้อสัตว์ออกมาปนอยู่ในอาหารและเพิ่มค่าให้สูงยิ่งขึ้นมากกว่าปกติ 2. ยาบางชนิดอาจมีผลต่อ Creatinine ได้ ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้หยุดยาดังกล่าวก่อนชั่วคราว (ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาทุกครั้ง) ซึ่งยาดังกล่าวได้แก่ ยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs), ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycoside), ยารักษาโรคกระเพาะอาหารโอเมพราโซล (Omeprazole), ยาไตรเมโทพริม (Trimethoprim), ยาที่มีผลต่อการทำงานของไต (เช่น เซฟาโลสปอริน (Cephalosporins), ยาเคมีบำบัด 3. ในกรณีที่เหตุร้ายแรงเกิดขึ้นที่ตับ เช่น ตับได้รับสารพิษ ก็ย่อมทำให้ค่า BUN เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ แต่ในขณะเดียวกันค่า Creatinine อาจจะเพื่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจนอาจสังเกตไม่พบเลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ในการเจาะเลือดเพื่อตรวจการทำงานของไต แพทย์จึงแนะนำให้ตรวจหาค่า BUN ไปพร้อมกับ Creatinine ในวาระเดียวกันด้วยเสมอทุกครั้งไป (แม้ Creatinine จะเป็นค่าที่แน่นอนกว่า แต่ค่า BUN ก็จำเป็นเช่นกัน) 4. หากผลการตรวจเลือดพบค่า Creatinine มีแนวโน้มค่อย ๆ สูงขึ้น เช่น จากการตรวจเลือดทุก 6 เดือน กรณีอย่างนี้ก็ต้องรีบไปพบและปรึกษาแพทย์
ต้องตรวจ Creatinine บ่อยแค่ไหน การตรวจมักขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้พิจารณาว่าจะต้องติดตามการทำงานไตบ่อยแค่ไหน
1. สำหรับการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปก็คือการตรวจปีละครั้ง 2. หากเป็นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต แพทย์จะพิจารณาให้ตรวจถี่ขึ้น 3. สำหรับผู้ที่ได้รับยาที่ส่งผลต่อการทำงานไตหรือผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำแพทย์จะเจาะเลือดตรวจถี่ขึ้น
BUN / Creatinine Ratio
BUN / Creatinine คือ การคำนวณอัตราส่วนระหว่างค่า BUN (Blood Urea Nitrogen) ต่อ ค่า Creatinine (คำนวณจากค่า BUN หารด้วยค่า Creatinine) ซึ่งได้จากผลการตรวจเลือดในวาระเดียวกัน โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณอัตราส่วนนี้สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคหรือบ่งชี้โรคเกี่ยวกับไตได้ดีพอสมควร ทั้ง ๆ ที่ยังมิได้ใช้เครื่องมือทางการแพทย์อื่นใดในการตรวจหรือยังมิได้แตะต้องกระทบกระเทือนใด ๆ ต่อไตเลยก็ตาม
หลักการคำนวณ ในหลักการคำนวณจะอาศัยคุณลักษณะเฉพาะระหว่างค่า BUN และค่า Creatinine ซึ่งเป็นข้อมูลที่แตกต่างกัน กล่าวคือ
ค่า BUN เป็นค่าที่เปลี่ยนแปลงวูบวาบไปตามประเภทอาหารหรือสิ่งที่กินที่สร้างผลกระทบต่อไต (เช่น ยา) รวมทั้งยังแสดงสุขภาพของไตที่เริ่มทำหน้าที่บกพร่อง แต่ BUN เพียงค่าเดียวก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่า ค่าเท่าใดที่จะบ่งชี้ได้ว่าไตกำลังมีปัญหาหรือกำลังเกิดโรคอะไร
ค่า Creatinine เป็นค่าที่โดยทั่วไปจะไม่เปลี่ยนแปลงวูบวาบมากนัก ทั้ง ๆ ที่ค่านี้ก็สารชีวเคมีซึ่งไตต้องมีหน้าที่กรองออกจากเลือดเช่นเดียวกับ BUN ด้วยเหตุนี้ ค่า Creatinine จึงถูกใช้เป็นค่ามาตรฐานเทียบเคียงในฐานะเป็นตัวหารของอัตราส่วน จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ช่วยประเมินสุขภาพของไตได้ค่อนข้างแม่นยำอีกค่าหนึ่ง
ค่าปกติของ BUN : Creatinine ให้ยึดตามค่าที่แสดงไว้ในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
อัตราส่วนปกติทั่วไปของค่า BUN ต่อ Creatinine คือ 10-20 : 1
อัตราส่วนปกติทั่วไปของค่า BUN ต่อ Creatinine ในทารกอายุต่ำกว่า 12 เดือน คือ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 : 1
ค่า BUN : Creatinine ที่ต่ำกว่าปกติ (น้อยกว่า 10 : 1 ) อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจบริโภคอาหารประเภทโปรตีนน้อยเกินไป 2. อาจมีเหตุมาบั่นทอนทำให้มวลกล้ามเนื้อลีบลงจนอาจถึงระดับเป็นโรคกล้ามเนื้อสลาย (Rhabdomyolysis) 3. กล้ามเนื้ออาจเกิดการบาดเจ็บรุนแรง 4. อาจเกิดจากการตั้งครรภ์ 5. อาจกำลังเกิดโรคตับที่กำลังเข้าสู่ระยะของโรคตับแข็ง (Cirrhosis) จึงทำให้ตับสร้างสาร Urea Nitrogen ออกมาสู่กระแแสเลือดไม่ได้ เป็นผลทำให้ค่า BUN ในเลือดต่ำลง จึงทำให้อัตราส่วนของทั้งสองค่านี้มีค่าต่ำลงไปด้วย 6. อาจเกิดจากฮอร์โมน Antidiuretic hormone ที่หลังออกมามาเกินไป จึงไปขัดขวางการปล่อยทิ้งน้ำผ่านทางไต ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายเกิดอาการอุ้มน้ำเกินสมควร เป็นผลทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า “Syndrome of inappropraite antidiuretic hormone” (กลุ่มอาการของการหลั่งฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะไม่เหมาะสม) ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ค่า BUN เจือจางลง สำแดงค่าต่ำผิดปกติ และทำให้ค่าอัตราส่วนของสองค่านี้ต่ำลง 7. อาจเกิดจากยารักษาโรคบางชนิดในประเภทยาปฏิชีวนะ ซึ่งอาจเป็นเหตุทำให้ค่า BUN ในเลือดลดลงผิดปกติ จึงทำให้อัตราส่วนของทั้งสองค่านี้มีค่าต่ำลงไปด้วย เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol), ยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) ฯลฯ
ค่า BUN : Creatinine ที่สูงกว่าปกติ (มากกว่า 20 : 1 ) อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจกำลังเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวายเฉียบพลัน (Acute renal failure) 2. อาจกำลังเกิดอาการช็อกหรืออาการขาดน้ำ (Dehydration) 3. อาจมีนิ่วใจไต (Kidney stone) ซึ่งมาปิดกั้นท่อปัสสาวะอยู่ 4. อาจกำลังเกิดการตกเลือดในช่องทางเดินอาหารหรือช่อทางเดินหายใจ หากอัตราส่วนของสองค่านี้สูงจากเกณฑ์ปกติขึ้นไปมาก ๆ 5. อาจเกิดจากการกินยารักษาโรคบางชนิดที่ทำให้ค่า BUN สูงขึ้น อีกทั้งยาเหล่านั้นก็ยังเป็นยาที่สร้างพิษแก่ไตโดยตรงด้วย (ไม่มากก็น้อย หรือบางตัวก็เป็นพิษกับไตโดยตรง) เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ที่ใช้แก้อาการปวด, ยาแบคซิทราซิน (Bacitracin) หรือนีโอมัยซิน (Neomycin) ที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, ยาเพนิซิลลามีน (Penicillamine) ที่ใช้แก้โรคปวดข้อ ฯลฯ
eGFR
การตรวจหาอัตราการกรองของไต หรืออัตราการกรองของเสียของไต (Estimated glomerular filtration rate : eGFR หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “GFR ”) คือ การตรวจหาค่าอัตราการไหลของเลือดผ่านตัวกรองไตในหนึ่งนาที โดยเป็นค่าที่ได้จากการคำนวณ Creatinine เพศ อายุ และเชื้อชาติของผู้รับการตรวจแต่ละคน (ค่า Creatinine ยิ่งสูง จะยิ่งทำให้ GFR มีค่าต่ำ) ในห้องแล็บที่ยังไม่ทันสมัยจะไม่รายงานผลของค่านี้ ถ้าอยากทราบก็สามารถเอาค่าของ Creatinine ที่ได้ไปค้นหา GFR calculator ตามเว็บไซต์ทั่วไปได้ครับ
ปัจจุบันนี้วงการโรคไตทั่วโรครวมทั้งสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ได้เปลี่ยนมาใช้ค่า GFR ในการบอกสถานะของโรคไตแทนค่า Creatinine แล้ว (ในคนปกตินั้นจะมีค่า GFR อยู่ที่ประมาณ 125 มล./นาที แต่ถ้าตรวจพบว่ามีค่าต่ำกว่า 90 ก็ถือว่าไตเริ่มเสื่อมแล้ว) เพราะค่านี้มีประโยชน์อย่างมากในแง่ที่ช่วยแบ่งระดับความรุนแรงของผู้ที่มีระดับ Creatinine ผิดปกติว่ามีความรุนแรงของโรคไตเรื้อรังอยู่ในระยะใด ใน 5 ระยะ กล่าวคือ
ระยะที่ 1 ค่า GFR ≥ 90 มล./นาที (หรือ ml/min/1.73 m2 ) เป็นระยะที่ตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตแล้ว (เช่น มีนิ่ว กรวยไตอักเสบ ไตบวม) แต่ไตยังทำงานปกติ
ระยะที่ 2 ค่า GFR = 60 – 89 มล./นาที เป็นระยะที่ไตเริ่มทำงานผิดปกติเล็กน้อย
ระยะที่ 3 ค่า GFR = 30 – 59 มล./นาที เป็นระยะที่ไตทำงานผิดปกติปานกลาง
ระยะที่ 4 ค่า GFR = 15 – 29 มล./นาที เป็นระยะที่ไตทำงานผิดปกติอย่างมาก
ระยะที่ 5 ค่า GFR < 15 มล./นาที เป็นระยะสุดท้ายที่ถือว่าไตพังไปแล้วเรียบร้อย (ต้องใช้ไตเทียมล้างไตจึงจะมีชีวิตอยู่ได้)
การดูแลตนเองหาก GFR มีค่าต่ำ
1. ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุทำให้ไตเสื่อมให้ดี โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง 2. รับประทานอาหารสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามควรแก่สุขภาพ 3. ใช้ยาอย่างถูกต้อง เหมาะสม และภายใต้คำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร 4. ปรึกษาแพทย์และตรวจติดตามค่า GFR เป็นระยะตามที่แพทย์สั่ง
Creatinine clearance
การตรวจค่าสำรองความสามารถของไตที่เหลือในการกำจัดครีอะตินีน หรือครีอะตินีนเคลียรานซ์ (Creatinine clearance :CrCl ) คือ การตรวจเพื่อประเมินอัตราการกรองของไตเหมือนการตรวจ eGFR แต่จะเป็นการนำค่า Creatinine ที่ได้จากการเจาะเลือด และค่า Creatinine ที่ได้จากการเก็บปัสสาวะที่เก็บรวบรวมทั้งวันหรือ 24 ชั่วโมง มาประกอบกับการคำนวณในห้องปฏิบัติการ หากพบว่าค่าจากทั้ง 2 แหล่งนี้อยู่ในระดับที่ผิดปกติ (Creatinine ในเลือดสูง แต่ Creatinine ในปัสสาวะต่ำ) ก็ย่อมอาจบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่ากำลังเกิดโรคไตขึ้นอย่างแน่นอนแล้ว จึงทำให้ไตกรองของเสียออกมาไม่ได้ในเกณฑ์ปกติและล้นคับคั่งอยู่ในเลือด
อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้เป็นการตรวจพิเศษ ในแบบฟอร์มการตรวจเลือดจึงมิได้ระบุค่านี้เอาไว้ เนื่องจากมิใช่เป็นหัวข้อการเจาะเลือดตรวจตามปกติหรือตามระยะเวลา เพราะมีกระบวนการเก็บข้อมูลที่ยุ่งยากกว่าดังกล่าว และมักเป็นการตรวจตามคำสั่งแพทย์
ด้วยเหตุนี้ การตรวจ eGFR จึงเป็นที่นิยมมากกว่าการตรวจ Creatinine clearance เพราะนอกจากจะสะดวกกว่าแล้ว ค่าที่ได้ก็ยังค่อนข้างใกล้เคียงกันอีกด้วย ยกเว้นในบางกรณีที่ค่า eGFR ซึ่งเป็นค่าที่ได้จากการคำนวณนั้นไม่น่าเชื่อถือ เช่น ผู้รับการตรวจมีการเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหาร (เช่น กินมังสวิรัติ หรือมีการเพิ่ม Creatine supplementation) หรือมีการเปลี่ยนของกล้ามเนื้อ (เช่น ขาดอาหาร กล้ามเนื้อลีบ ถูกตัดแขนหรือขา)
ค่าปกติของ Creatinine clearance ให้ยึดตามค่าที่แสดงไว้ในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
ค่าปกติของ Creatinine clearance ในผู้ชาย คือ 97 – 137 ml/min หรือ 0.93 – 1.32 ml/sec (หน่วย IU) ค่าปกติของ Creatinine clearance ในผู้หญิง คือ 88 – 128 ml/min หรือ 0.85 – 1.23 ml/sec (หน่วย IU)
ค่า Creatinine clearance ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. ไตอาจกำลังมีปัญหา โดยอาจเกิดจากเซลล์ไตเสียหายจากโรคไตเฉียบพลัน โรคไตเรื้อรัง ไตวาย ไตขาดเลือดมาเลี้ยง 2. อาจเกิดจากอายุที่มากขึ้น 3. อาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ 4. ท่อปัสสาวะอาจมีการอุดตันหรือถูกปิดกั้นจนไหลได้ไม่สะดวก 5. อาจเกิดจากเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง 6. อาจเกิดจากภาวะหัวใจวาย 7. อาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics), ไซเมทิดีน (Cimetidine), โปรเคนเอไมด์ (Procainamide) ฯลฯ 8. อาจเกิดจากการเก็บปัสสาวะที่ไม่ถูกต้อง
ค่า Creatinine clearance ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
1. อาจเกิดจากการตั้งครรภ์ 2. การออกกำลัง
7.หมู่เลือด (Blood Group)
หมู่เลือด (Blood Group) คือ การบ่งบอกว่าเลือดอยู่ในหมู่เลือดใด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
7.1 ระบบ ABO System เป็นระบบที่นิยมนำมารายงานผลโดยทั่วไป โดยจะระบุว่าเลือดของผู้ตรวจอยู่ในกลุ่มใด ซึ่งกลุ่มเลือดจะแบ่งออกเป็น 4 หมู่คือ หมู่ A หมู่ B หมู่ O และหมู่ AB
7.2 ระบบ Rh system เป็นการระบุหมู่เลือดตาม Antigen บนเม็ดเลือด ซึ่งระบบ Rh จะมีอยู่ 2 หมู่ คือ
– Rh+ve หรือ +ve คือ เม็ดเลือดแดงที่มี Rh (Rhesus) Antigen ซึ่งคนไทยส่วนมากจะมีกลุ่มเลือดอยู่ในกลุ่มเลือดนี้
– Rh-ve หรือ –ve คือ เม็ดเลือดแดงที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen ซึ่งคนที่มีเลือดในกลุ่มนี้จะพบได้ไม่มากนักในคนไทย
8.ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI)
คือการประมาณปริมาณไขมันในร่างกายเบื้องต้นโดยใช้ส่วนสูงและน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นค่าที่ได้แบบคร่าว ๆ เท่านั้น หากมีค่าดัชนีมวลกายสูงก็อาจคาดการณ์ได้ว่าผู้ที่ตรวจวัดมีระดับไขมันในร่างกายสูงและอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน แต่ถ้าหากมีค่าดัชนีมวลกายต่ำเกินไป ก็อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูก หรือการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลง รวมทั้งโรคโลหิตจาง ได้เช่นกัน
ค่าดัชนีมวลกายสูง และเป็นโรคอ้วน เสี่ยงกับโรคอะไรบ้าง ?
ในกรณีที่มีค่าดัชนีมวลกายสูง และถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมากมาย ได้แก่
เสี่ยงต่อความเสี่ยงการเสียชีวิตทุกชนิด
โรคความดันโลหิตสูง
คอเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
โรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี
โรคข้อเข่าเสื่อม
ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ หรือปัญหาในการหายใจ
การอักเสบเรื้อรัง
โรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ
เกิดอาการเจ็บปวดตามร่างกายเนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติ
Cr.Pobpad, AM Pro Health, Medthai