ยาลดไขมันมีประโยชน์ แต่โทษก็มหันต์ ถ้ารู้จักการใช้ไม่ดีพอ
ไขมันในเลือดสูง เป็นอันตรายต่อระบบเลือดในร่างกาย ทำให้เลือดไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่สะดวก เช่น เลือดไปสมองไม่เพียงพอ เลือดไปที่หัวใจน้อย เป็นต้น
ดังนั้น จึงต้องมีการลดไขมันในเลือดให้น้อยลงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติของร่างกายโดยการทานยาลดไขมันตัวเลว ที่ชื่อว่า LDL (low density lipoprotein) ที่ฝรั่งรายงานแล้วรายงานอีกว่าใช้ขนาดปริมาณสูงก็ไม่เกิดผลข้างเคียง โดยหวังผลทางป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต
ในคนไทยใช้แล้วหลายๆราย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนแรง ตับอักเสบ แต่ก็ยังคะยั้นคะยอให้ทานต่อ คนไข้ก็กลัวไขมันสูง ยอมตายจากกินยา จนอาจได้ตายจริงๆ เพราะกล้ามเนื้ออักเสบตามด้วยไตวาย
ยากลุ่มนี้ชื่อ statin มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 คือ Simvastatin (Zocor ชื่อการค้า) จนมีลูกหลานตามมา อาทิ Atorvastatin (Lipitor), Rosuvastatin (Crestor) และอื่นๆอีกมากมาย
คุณมงคล (นามสมมติ) อายุ 65 ปี มีโรคประจำตัว คือโรคอ้วนลงพุงและความดันเลือดสูง หลายปีก่อนเกิดอัมพฤกษ์ของก้านสมองทำให้มีเดินโซเซเห็นภาพซ้อน และกลืนสำลัก หลังรักษาอาการดีขึ้นรวมทั้งความดันโลหิต และแม้อาการกลืนสำลักยังคงมีอยู่ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง การบริโภคอาหารนานาชนิดได้
คุณมงคลมีอาการเหนื่อยมากและแน่นหน้าอก 2 เดือนที่แล้ว ได้รับการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ หลังจากนั้นได้รับยา Simvastatin เพิ่มเป็น 40 มิลลิกรัมต่อวัน จากเดิมที่ใช้ขนาด 10 มิลลิกรัม คุณมงคลมีอาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ ทำการเลี้ยงฉลองที่รอดชีวิตหลายครั้ง จน 6 อาทิตย์ถัดมาเกิดข้อหัวแม่เท้าอักเสบ ซึ่งเกิดจากโรคเกาต์ (Gout) และได้รับยาแก้ปวดเกาต์ชื่อ Colchicine และได้กินอยู่ตลอดในขนาดวันละ 2 เม็ด เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
1 อาทิตย์ก่อนหน้าที่เข้าโรงพยาบาล (อีกครั้ง) คุณมงคลปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามต้นแขน บ่า ไหล่ ต้นขา น่อง อาการเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอาการขาอ่อนแรงทั้งสองข้าง ซึ่งลามมาที่แขนและเป็นมากจนขึ้นบันไดต้องใช้คนพยุง จนต้องเข้าโรงพยาบาล...
พบว่ามีการสลายของเซลล์กล้ามเนื้อ และมีผลทำให้ตกตะกอนในไต ทำให้ไตเริ่มทำงานบกพร่องไปจากเดิมซึ่งเป็นไม่มาก จากการเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากยาลดไขมัน ทั้งๆที่คุณมงคลกินอยู่แล้วเป็นเวลาหลายปี แต่ในระยะหลังได้ปริมาณเพิ่มขึ้นจากเดิม รวมทั้งยังได้ยาไขมันร่วมกับยาโรคเกาต์ Colchicine ซึ่งในบางรายทำให้เกิดโรคของกล้ามเนื้อและเส้น ประสาท (neuromyopathy) อยู่แล้ว ประกอบกับการทำงานของไตไม่ปกติ
เหล่านี้ทั้งหมดเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดปวดกล้ามเนื้อจนถึงแหลกสลาย (rhabdomyolysis) ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงจะไปตกตะกอนในไตและไตวายต่อไปได้ หลังจากคุณมงคลหยุดยา Simvastatin และ Colchicine อาการก็เริ่มทุเลา และเริ่มลุกขึ้นยืนเดินโดยช่วยพยุงภายใน 2 อาทิตย์ และกลับเป็นปกติใน 6 อาทิตย์
ภาวะส่งเสริมให้เกิดกล้ามเนื้อผิดปกติ ยังเกี่ยวกับอายุ คือ มากกว่า 65 ปี มีโรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย การได้รับยาลดไขมัน triglyceride ร่วม เช่นยา Gemfibrozil (Lopid) และกลุ่ม Fibrate อื่นๆทั้งหมด
ในกรณีนี้ไม่ควรใช้ Simvastatin ในขนาดเกิน 10 มิลลิกรัมต่อวัน ยาอื่นๆที่ทำให้ระดับ Simvastatin สูงขึ้นมาก ไม่ควรใช้ร่วมกับ Simvastatin เลย เช่น
ยาป้องกันการเต้นผิดปกติของหัวใจ Amiodarone (เช่น Cordarone) Verapamil (เช่น Isoptin)
ยาฆ่าเชื้อรา Itraconazole Ketoconazole
ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Erythromycin Clarithromycin (เช่น Klacid)
ยาโรคเอดส์ HIV protease inhibitors
ยาต้านซึมเศร้า Nefazodone
และห้ามดื่มน้ำผลไม้ชื่อ Grapefruit เกินวันละ 1 ลิตร
นอกจากนั้น Simvastatin ยังมีปฏิกิริยาเสริมหรือต้านฤทธิ์กับยาอื่นๆอีกหลายชนิด อย่างนี้เรียกว่ายาตีกัน ห้ามให้เด็ดขาดในสตรีมีครรภ์และควรแน่ใจว่าไม่มีแผนที่จะมีบุตรในขณะที่ใช้ยา เนื่องจากเด็กอาจพิการและไม่ควรให้ในสตรีที่ให้นมลูก
“ดวง” หรือ ยีน (gene) ก็มีบทบาทในการเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์โดยอยู่ในโครโมโซม 12 ในตำแหน่งของ SLCOIBI (คณะทำงาน SEARCH วารสารนิวอิงแลนด์ เดือนสิงหาคม 2008, วารสาร Clin Pharmacol Ther 2013) และยังอาจเป็นข้ออธิบายได้ว่าทำไมคนไทยมักมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีหลายรายที่รุนแรงจนกล้ามเนื้อแหลกสลายมากกว่า แม้ว่าจะไม่มีตัวเสริม เช่นสภาพไตบกพร่อง และไม่มีการใช้ยาอื่นร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม การเกิดผลร้ายรุนแรงอาจเพราะเมื่อมีสัญญาณเตือนด้วยอาการเมื่อยกล้ามเนื้อ ตับอักเสบก็ยังคงใช้ยาต่อไปอีก ยาลดไขมันในเลือดอื่นๆนอกจากกลุ่ม Statin จะไม่เก่งเท่า และผลข้างเคียงมากกว่า ได้แก่ Nicotinic acid ยากลุ่ม Fibrates ยาจับน้ำดี bile acid sequestrant เช่น Cholestyramine และ ยา Ezetimibe
ในประเทศเราหาซื้อยาเองได้แทบทุกชนิด ซื้อยาอื่นๆที่ไม่ควรใช้ร่วมกันมากินเอง กินจากคำบอกเล่าของเพื่อน หรือจากโฆษณาว่าดีอย่างเดียว โดยไม่ได้ระมัดระวังในข้อควรระวังอื่นๆอีก ต้องไม่ลืมว่าการควบคุมไขมันในเลือดไม่ได้เริ่มจากยา การรักษาสุขภาพต้องมาก่อน ได้แก่ การออกกำลังกายเพิ่มขึ้น การเลือกกินอาหารที่เหมาะสม การดื่มพอดีๆ พอเหมาะรักษาเส้นเลือด
บังเอิญที่ว่าพูดง่ายทำยาก คนเลยเลือกกินยา และเป็นที่มาของผลร้ายที่ยอมรับไม่ได้
ยาลดไขมัน หรือยาลดไขมันในเลือด (Lipid lowering drug หรือ Lipid lowering agent) หรือยาลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol medication หรือ Cholesterol lowering medication หรือ Cholesterol drug) เป็นยาที่ใช้ลดระดับไขมันในเลือด เช่น คอเลสเตอรอล ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
เพื่อลดความเสี่ยงและลดอัตราการตายจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดแดงแข็ง และโรคของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย(ส่วนแขน-ขา)
1. ยากลุ่มสแตติน (Statins หรือ 3-hydroxy-3-methyl-glutaryl-coenzyme A reductase inhibitors ย่อว่า HMG CoA reductase inhibitors) เช่นยา
อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin),
ฟลูวาสแตติน(Fluvastatin),
โลวาสแตติน (Lovastatin),
พราวาสแตติน (Pravastatin),
โรซูวาสแตติน (Rosuvastatin),
ซิมวาสแตติน (Simvastatin)
2. ยายับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอล (Selective cholesterol absorption inhibitors) เช่น
ยาอีเซทิไมบ์ (Ezetimibe)
3. ยาช่วยขจัดกรดน้ำดี (Resins หรือ Bile acid sequestrants หรือ Bile acid-binding drugs) เช่น
คอเลสไทรามีน (Cholestyramine),
คอเลสทิพอล (Colestipol),
คอเลสเซเวแลม (Colesevelam)
4. ยากลุ่มไฟเบรต (Fibrates หรือ Fibric acid derivatives) เช่นยา
เจมไฟโบรซิล (Gemfibrozil),
ฟีโนไฟเบรต (Fenofibrate),
โคลไฟเบรต (Clofibrate)
5. ยาอื่นๆ เช่น วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือไนอะซิน (Niacin) หรือกรดนิโคตินิก (Nicotinic acid)
1. รักษาภาวะ/โรคไขมันในเลือดสูง (Hypercholesterolemia)
2. ลดการเกิดกระบวนการอักเสบของผนังหลอดเลือด
3. ลดการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด
4. ลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
5. ยากลุ่ม Bile acid sequestrants ช่วยบรรเทาอาการคันตามตัวเมื่อมีภาวะคั่งของน้ำดี ในเลือด(Cholestasis)/ตัวเหลืองตาเหลือง และภาวะที่เกิดการสะสมของน้ำดีมากเกินไป (Bile salt accumulation) นอกจากนี้ยังใช้ดูดซับยากลุ่ม Digitalis ออกจากระบบทางเดินอาหารเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการพิษจากยาDigitalis
1. ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานั้นๆ
2. ห้ามใช้ยาที่มีคุณสมบัติเป็นตัวยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ (Enzyme inhibitors) เช่น
ยาItraconazole,
Ketoconazole,
Erythromycin,
Clarithromycin,
ยาต้าน HIV กลุ่ม Protease inhibitors, Gemfibrozil, Cyclosporine ร่วมกับยาลดไขมันกลุ่ม Statins เช่นยา Atorvastatin,
Lovastatin,
Simvastatin,
เนื่องจากยากลุ่ม Statins เหล่านี้ต้องใช้เอนไซม์ต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงและขจัดยาStatinsออกจากร่างกาย การใช้ยาทั้ง2กลุ่มดังกล่าวร่วมกัน จึงอาจทำให้มีระดับยากลุ่ม Statins ในร่างกายมากเกินไป จนทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์(ผลข้างเคียง)จากการใช้ยากลุ่มStatinsได้
3. ห้ามใช้ยา Gemfibrozil ร่วมกับยากลุ่มสแตติน เพราะอาจเพิ่มโอกาสเกิดพิษต่อกล้ามเนื้อ(กล้ามเนื้ออักเสบ)ได้
1. ระวังการใช้ยาลดไขมันกลุ่ม Statins ในผู้ป่วย
2. ยาลดไขมัน Cholestyramine และColestipol มีฤทธิ์ลดการดูดซึมยาอื่นๆ ดังต่อไปนี้ เช่น
ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Thiazide,
ยากลุ่ม Digitalis,
ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม Beta-blocker,
ยาWarfarin,
ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด/ยาเบาหวาน และวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน
ดังนั้น หากต้องการรับประทานยาเหล่านี้ร่วมกับยาลดไขมันมันทั้ง 2 ตัวดังกล่าว ควรรับประทานยาเหล่านี้ก่อนรับประทานยาลดไขมัน Cholestyramine และ Colestipol อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือหลังจากรับประทานยาลดไขมันCholestyramine และ Colestipol อย่างน้อย 4 ชั่วโมง
3. ระวังการใช้ยาลดไขมันกลุ่ม Fibrates ในผู้ป่วยโรคตับ และโรคไต
4. ยากลุ่ม Fibrates เป็นยาที่สามารถจับกับสารโปรตีนในพลาสมาได้มาก จึงต้องระวังหากใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่นที่สามารถจับกับโปรตีนในพลาสมาได้เช่นเดียวกัน เช่นยา
Warfarin,
Repaglinide,
และยากลุ่ม Statins
เพราะอาจทำให้ยาอื่นดังกล่าว หลุดจากการจับกับโปรตีนในพลาสมาได้ ส่งผลให้มีระดับยาเหล่านั้นในเลือดมากเกินไป ตัวอย่างเช่น เมื่อระดับ Warfarin มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา คือเกิดภาวะเลือดออก เป็นต้น
5. ระวังการใช้ยา Niacin ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้
6. หากลืมรับประทานยาลดไขมันที่ต้องรับประทานก่อนนอน แล้วนึกขึ้นได้ในตอนเช้าของอีกวัน ให้รับประทานยาของวันนั้นตามปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ถ้าลืมรับประทานยาลดไขมันที่ต้องรับประทานตอนเช้า แล้วนึกขึ้นได้ในวันเดียวกัน ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้านึกขึ้นได้ในวันถัดไป ให้รับประทานยาของวันนั้นตามปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า
1. ยากลุ่ม Statin:
ทำให้เกิดพิษต่อตับ (Hepatotoxicity)หรือ ตับอักเสบ,
เกิดพิษต่อกล้ามเนื้อ (Myotoxicity) ได้แก่ ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis) หรือกล้ามเนื้อเกิดความผิดปกติ (Myopathy),
อาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ และรู้สึกไม่สบายท้อง
2. ยา Ezetimibe: พบอาการไม่พึงประสงค์น้อย เพราะยาถูกดูดซึมได้น้อย เช่น
ปวดท้อง
ท้องเสีย
ท้องอืด
เหนื่อยล้า
3. ยากลุ่ม Bile acid sequestrants: ทำให้เกิดอาการ
ท้องผูก
ท้องอืด
แน่นท้อง
คลื่นไส้
4. ยากลุ่ม Fibrates: ทำให้เกิดอาการ
แน่นท้อง
ท้องอืด
รู้สึกไม่สบายท้อง
นิ่วในถุงน้ำดี
เกิดพิษต่อกล้ามเนื้อ ได้แก่ ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis) หรือกล้ามเนื้อเกิดความผิดปกติ (Myopathy)
5. ยา Niacin: ทำให้เกิดอาการ
ใบหน้าแดง ร้อนวูบวาบที่ใบหน้าและที่ผิวหนัง
อาการคัน
คลื่นไส้อาเจียน
ท้องอืด
ท้องเสีย
ปวดท้อง
แน่นท้อง
เกิดแผลในทางเดินอาหาร
เป็นพิษต่อตับ
ระดับกรดยูริคในเลือดสูง
ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ยาลดไขมันที่ควรเลือกใช้ในหญิงตั้งครรภ์คือ ยากลุ่ม Bile acid sequestrants เพราะเป็นยาที่ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงปลอดภัยต่อผู้ป่วยหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ยาลดไขมันชนิดอื่นๆ เช่น Ezetimibe, Clofibrate และยากลุ่ม Statins เป็นยาที่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรไม่เพียงพอ
ดังนั้นยาเหล่านี้ ควรใช้ก็ต่อเมื่อ มีการประเมินจากแพทย์ ระหว่างประโยชน์ที่จะได้จากการใช้ยาเหล่านี้ และความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารก ว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับทารก
ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ/โรคไขมันในเลือดสูงมากกว่าวัยอื่นๆ ซึ่งนอกจากการรับประทานยาลดไขมันอย่างสม่ำเสมอ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรมการใช้ชีวิติแล้ว ผู้สูงอายุยังต้องรักษาภาวะอื่นๆ ทีเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะ/โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวานร่วมด้วย
ยาลดไขมันที่ใช้มากในผู้สูงอายุ ได้แก่ ยากลุ่ม Statins และ ยากลุ่ม Bile acid sequestrants ทั้งนี้ในผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีโรคประจำตัว และมียาที่ต้องใช้เป็นประจำหลายชนิด จึงต้องเฝ้าระวังการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่ใช้อยู่แล้วกับยาลดไขมันที่ได้เพิ่มอีกด้วย
นอกจากนี้ควรเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์จากยาต่างๆรวมยาลดไขมัน ที่จะพบได้มากในวัยสูงอายุมากกว่าวัยอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ยากลุ่ม Statins ควรระวังการเกิดพิษต่อตับ (ตับอักเสบ) และพิษต่อกล้ามเนื้อ(กล้ามเนื้ออักเสบ), หรือ ยากลุ่ม Bile acid sequestrants อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก เป็นต้น
ปัจจุบัน มีอุบัติการณ์การเกิดโรคอ้วน และภาวะ/โรคไขมันในเลือดสูงในวัยเด็กมากขึ้น โดยในผู้ป่วยเด็กการรักษาจะเริ่มจากการคุมอาหารและการออกกำลังกายก่อน หากผลการรักษาที่ได้ยังไม่น่าพอใจ จึงจะเริ่มรักษาโดยการใช้ยาลดไขมัน
ยาลดไขมันที่เลือกใช้เป็นตัวเลือกแรกในผู้ป่วยเด็ก ได้แก่
ยากลุ่มStatins โดยยาที่ใช้เป็นยารักษาเสริม ได้แก่ ยากลุ่ม Bile acid sequestrants และยา Ezetimibe
ส่วนยากลุ่มอื่นๆ ได้แก่ ยากลุ่ม Fibrates, Niacin ไม่ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยเด็ก เพราะยังมีข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่มากเพียงพอ
นอกจากนี้ ยา Niacin ยังเป็นยาที่พบว่ามีอาการไม่พึงประสงคจากการใช้ยาได้มาก จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเลือกใช้ในผู้ป่วยเด็ก
อย่างไรก็ดีเรามีตัวอย่างบางคำถามเกี่ยวกับการใช้ยาลดไขมันบางตัว เช่น pravastatin ในกลุ่ม สแตดิน (statin)
คำถาม : ยา Pravastatin ปลอดภัยหรือไม่?
คำตอบ : ตราบใดที่คุณยังไม่มีอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาเช่นกล้ามเนื้อหดเกร็ง, เป็นตะคริว หรือเบื่ออาหาร คุณควรรับประทานยานี้อย่างต่อเนื่องและไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
คำถาม : ทำไมยานี้จึงต้องรับประทานก่อนนอน?
คำตอบ : Pravastatin ควรรับประทานก่อนนอนและไม่รับประทานพร้อมกับยาอื่น คุณสามารถรับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารมันเวลารับประทานยา เหตุผลที่ต้องรับประทานยาในตอนก่อนนอนนั้น เนื่องมาจากตับจะใช้ cholesterol สูงขึ้นระหว่างที่กำลังนอน และเชื่อว่าการรับประทานยาก่อนนอนนั้นจะทำให้ผลการรักษาออกมาดีขึ้น
คำถาม : อาการปวดเกร็งบริเวณหลังส่วนล่างนั้นเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา pravastatin หรือไม่?
คำตอบ : Pravachol (pravastatin) เป็นยาลดระดับ cholesterol ที่ใช้รักษาโรค cholesterol สูงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงของการใช้ยานี้ประกอบด้วยปวดหัว เวียนหัว แสบร้อนกลางหน้าอก, มีลมในทางเดินอาหาร มวนท้อง รู้สึกอ่อนเพลีย ท้องผูกและท้องเสีย แต่หากคุณมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามร่างกาย อ่อนเพลีย ควรไปพบแพทย์ทันทีเนื่องจากเป็นผลข้างเคียงของยา Pravachol (pravastatin) ที่รุนแรง หากคุณมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ อย่าหยุดรับประทานยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
คำถาม : ฉันกำลังรับประทานยา pravastatin อยู่และรับประทานมาแล้วประมาณ 2 ปี ฉันรู้สึกว่ามีอาการปวดข้อมาก ๆ ทุกวัน และไม่มียาใดที่ทำให้ดีขึ้น มียาในกลุ่ม statin ตัวอื่นหรือไม่ที่จะทำให้เกิดอาการปวดข้อน้อยกว่านี้
คำตอบ : ยาลด cholesterol ในกลุ่ม statin (ซึ่งประกอบไปด้วย pravastatin (Pravachol), atorvastatin (Lipitor), fluvastatin (Lescol), lovastatin (Mevacor), rosuvastatin (Crestor) และ simvastatin (Zocor)) เป็นยาที่ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้หลายระดับ
ข้อมูลบนฉลากยาได้กล่าวว่า สามารถพบอาการปวดกล้ามเนื้อชนิดไม่รุนแรงได้ในผู้ที่ใช้ยาประมาณ 1-5% และการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยาซึ่งคือ การที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง และทำให้ระดับ creatine phosphokinase (CPK) ที่แสดงว่ากล้ามเนื้อมีการสลายตัวสูงขึ้นนั้น พบได้น้อยในผู้ที่รับประทานยาในกลุ่มนี้ หากคุณมีอาการปวดกล้ามเนื้อหรืออ่อนแรงร่วมกับอาการอ่อนเพลีย มีไข้ คลื่นไส้ และอาเจียน ปัสสาวะสีดำหรือตัวเหลืองตาเหลือง ควรมาพบแพทย์ทันที
ไม่มีข้อมูลใดที่บอกว่ายาตัวใดในกลุ่ม statin ที่จะทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อได้มากกว่ายาตัวอื่น แต่การใช้ยาในกลุ่ม statin ในขนาดที่สูงขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อและอ่อนแรง รวมถึงผลข้างเคียงที่รุนแรงอื่น ๆ ได้ นอกจากนั้น การใช้ยาอื่น ๆ ร่วมกับยา statin ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้เช่นกัน เช่น ยา gemfibrozil, niacin, verapamil, erythromycin และ clarithromycin
ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อหรืออ่อนแรง เช่น ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ, การผ่าตัดหรืออุบัติเหตุ, การออกกำลังกายหนักเกินไป, การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและโรคไตหรือโรคตับ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามแพทย์
คำถาม : ฉันรับประทานยา pravastatin 1 ครั้งก่อนนอนและหลังจากที่รับประทานยาฉันรู้สึกว่ามีอาการคัน
คำตอบ : การเกิดผื่นคันถือเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของการใช้ยา Pravastatin (Pravachol)
คำถาม : ผลข้างเคียงของยา Pravastatin คืออะไร? และการหยุดยา pravastatin จะทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ หรือไม่?
คำตอบ : ผลข้างเคียงของการใช้ยา pravastatin ประกอบด้วย คลื่นไส้ อาเจียน แสบร้อนกลางหน้าอก ท้องเสีย มีลมในทางเดินอาหาร ปวดหัว เวียนหัว ง่วงนอนและอาการคล้ายไข้หวัด นอกจากนั้น ยังอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยได้อีกด้วย เช่น เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ อาการเหมือนไข้หวัด ปัสสาวะสีดำ คลื่นไส้ ปวดท้อง มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร อุจจาระสีอ่อน ตัวเหลืองตาเหลือง ควรหยุดยาทันทีและไปพบแพทย์ โดยทั่วไปเมื่อหยุดยานี้มักจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ จากการถอนยา
คำถาม : ฉันเริ่มมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มกินยา pravastatin ฉันไม่อยากอาหารเพิ่มขึ้น ฉันจึงสงสัยว่านี่อาจเกิดจากการรับประทานยาหรือไม่?
คำตอบ : Pravastatin เป็นยาที่ใช้ลดระดับ cholesterol ในเลือดและเป็นยาในกลุ่ม statin ซึ่งจะไปยับยั้งการสร้าง cholesterol ในร่างกาย ยานี้จะลดการสร้าง LDL cholesterol และ cholesterol รวมทั้งหมดในเลือดซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดแดงแข็งตัวที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรคเส้นเลือดสมอง และโรคทางหลอดเลือดอื่น ๆ ได้
ยานี้ใช้รักษาการมีระดับ cholesterol สูงและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมอง, โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เกี่ยวกับหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจอยู่เดิม ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการใช้ยานี้ประกอบด้วย ปวดท้อง, ท้องผูก, ท้องเสีย, แสบร้อนกลางหน้าอก, มีลมในทางเดินอาหาร, ท้องอืด, มวนท้อง, อ่อนเพลีย, ปวดหัวและเวียนหัว เป็นต้น จากการหาข้อมูลไม่พบว่า ยานี้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่หากคุณสงสัยว่าคุณกำลังมีอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาอาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
คำถาม : Pravastatin sodium สามารถทำให้ผมร่วงได้หรือไม่?
คำตอบ : Pravachol (pravastatin) เป็นยาที่ใช้รักษาภาวะ cholesterol ในเลือดสูง ยานี้เป็นยาในกลุ่ม statin ซึ่งออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ในร่างกายที่ทำหน้าที่สร้าง cholesterol
ข้อมูลจากฉลากยาระบุผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการใช้ยาว่าประกอบด้วย ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้/อาเจียน, ปวดหัว, ท้องเสีย, อาหารไม่ย่อย และเวียนหัว ผมร่วงเป็นผลข้างเคียงหนึ่งที่พบได้จากการใช้ยานี้ แต่เกิดขึ้นน้อยมาก ซึ่งจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยน้อยกว่า 1% ที่รับประทานยา
นอกจากนั้น ผมร่วงที่เกิดขึ้นยังเกิดขึ้นไม่สม่ำเสมอและอธิบายได้ยากว่าเกิดจากการใช้ยาจริงหรือไม่ และหากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเพาะต่อตัวคุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
คำถาม : ยา pravastatin 80 มิลลิกรัมมีลักษณะอย่างไร?
คำตอบ : Pravastatin เป็นยาที่มีหลายบริษัทเป็นผู้ผลิต ดังนั้น ยาของแต่ละบริษัทจึงมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป วิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณรู้ว่ากำลังรับประทานยาถูกต้องหรือไม่ คือ ควรติดต่อร้านขายยาหรือโรงพยายาลที่คุณรับยา เพื่อให้เขาช่วยระบุว่ายาใดเป็นยา pravastatin หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
คำถาม : ยา pravastatin มีขนาดใดบ้าง
คำตอบ : Pravachol (pravastatin) เป็นยาที่ใช้รักษาการมี cholesterol ในเลือดสูง ยานี้เป็นยาในกลุ่ม statin ที่ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ในตับที่ทำหน้าที่สร้าง cholesterol ซึ่งจะทำให้ตับต้องนำ cholesterol ในเลือดมาใช้และช่วยลดระดับของ cholesterol ได้ ยานี้มีขนาด 10, 20 และ 40 มิลลิกรัม ผลข้างเคียงจากยาที่พบบ่อยประกอบด้วย: ปวดกล้ามเนื้อหรืออ่อนแรง, คลื่นไส้, ปวดศีรษะ, ท้องเสีย, อ่อนเพลีย, อาหารไม่ย่อย เป็นต้น และหากต้องการข้อมูลที่จำเพาะกับตัวคุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
คำถาม : Pravastatin ทำให้เกิดอาการไอได้หรือไม่
คำตอบ : Pravastatin (pravachol) เป็นยาในกลุ่ม statin ที่ใช้รักษา cholesterol ในเลือดสูง ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของยานี้ คือ คลื่นไส้อาเจียน, ปวดหัว อ่อนเพลีย ท้องเสียและมีผื่นขึ้น นอกจากนั้น ยังอาจเกิดอาการไอได้อีกด้วย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเพาะกับตัวคุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และก่อนที่จะเริ่มใช้ยาชนิดใหม่ควรนำยาที่รับประทานอยู่ทั้งหมด ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อมารับประทานเอง ยาสมุนไพรและอาหารเสริมไปแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน ควรมีรายการยาที่รับประทานอยู่ทั้งหมดติดตัว และหากเป็นไปได้ควรใช้บริการร้านขายยาเพียงร้านเดียวเพื่อให้เภสัชกรมีข้อมูลยาทั้งหมดที่คุณรับประทานอยู่และสามารถให้คำแนะนำได้
คำถาม : ฉันรับประทานยา pravastatin 40 มิลลิกรัมมา 2 ปี แต่ว่ามีอาการปวดข้อทุกวัน มียาในกลุ่ม statin ตัวอื่นหรือไม่ที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อน้อยกว่านี้
คำตอบ : ยาลด cholesterol ในกลุ่ม statin (ซึ่งประกอบไปด้วย pravastatin (Pravachol), atorvastatin (Lipitor), fluvastatin (Lescol), lovastatin (Mevacor), rosuvastatin (Crestor) และ simvastatin (Zocor)) เป็นยาที่ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้หลายระดับ
ข้อมูลบนฉลากยากล่าวว่า สามารถพบอาการปวดกล้ามเนื้อชนิดไม่รุนแรงได้ในผู้ที่ใช้ยาประมาณ 1-5% และการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยาซึ่งคือ การที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง และทำให้ระดับ creatine phosphokinase (CPK) ที่แสดงว่ากล้ามเนื้อมีการสลายตัวสูงขึ้นนั้น พบได้น้อยในผู้ที่รับประทานยาในกลุ่มนี้ หากคุณมีอาการปวดกล้ามเนื้อหรืออ่อนแรงร่วมกับอาการอ่อนเพลีย มีไข้ คลื่นไส้ และอาเจียน ปัสสาวะสีดำหรือตัวเหลืองตาเหลือง ควรมาพบแพทย์ทันที ไม่มีข้อมูลใดที่บอกว่ายาตัวใดในกลุ่ม statin ที่จะทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อได้มากกว่ายาตัวอื่น แต่การใช้ยาในกลุ่ม statin ในขนาดที่สูงขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อและอ่อนแรง รวมถึงผลข้างเคียงที่รุนแรงอื่น ๆ ได้
นอกจากนั้นการใช้ยาอื่น ๆ ร่วมกับยา statin ก็อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้เช่นกัน เช่น ยา gemfibrozil, niacin, verapamil, erythromycin และ clarithromycin ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อหรืออ่อนแรง เช่น ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ, การผ่าตัดหรืออุบัติเหตุ, การออกกำลังกายหนักเกินไป, การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและโรคไตหรือโรคตับ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามแพทย์
คำถาม : สามีของฉันมีอาการป่วยหนักมากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เขามีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย อ่อนแรง และอ่อนเพลีย เขารับประทานยา pravastatin มาประมาณ 1 ปีตอนกลางคืน และตื่นขึ้นมามีอาการมวนท้อง กินอาหารไม่ได้ เบื่ออาหาร และมีอาการคล้ายกับหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แต่ไปตรวจหัวใจแล้วพบว่าปกติ ยา pravastatin จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้หรือไม่?
คำตอบ : Pravastatin (Pravachol) เป็นยาในกลุ่ม HMG-Co-A reductase inhibitor ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้าง cholesterol ในร่างกาย ลดระดับ LDL และ cholesterol รวมในเลือด ผลข้างเคียงจากยาที่พบได้ประกอบด้วย คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งพบได้ 7% ของผู้ป่วยที่รับประทานยา, ท้องเสีย พบได้ 6% แสบร้อนกลางหน้าอก พบได้ 3% อ่อนเพลีย พบได้ 4% เวียนหัว พบได้ 1-3% เจ็บหน้าอก พบได้ 4% กล้ามเนื้ออ่อนแรง พบได้น้อยกว่า 1% เป็นต้น
นอกจากนั้นอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังจัดว่าเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรงของการใช้ยานี้ และอาจเกี่ยวข้องกับภาวะที่กล้ามเนื้อมีการสลายตัวซึ่งเป็นภาวะที่สามารถเกิดได้จากการใช้ยาในกลุ่มนี้ หากคุณมีอาการปวดกล้ามเนื้อ, อ่อนเพลีย, หรือปัสสาวะเป็นสีน้ำตาลโดยไม่ทราบสาเหตุควรแจ้งแพทย์ทันที ดังนั้น เราจึงแนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์ที่รักษาสามีของคุณเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งแพทย์จะเป็นคนตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาและวินิจฉัยอาการที่เกิดขึ้น แพทย์อาจจะพิจารณาเปลี่ยนยา แต่คุณไม่ควรหยุดรับประทานหรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยที่ไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน หากต้องการข้อมูลที่จำเพาะกับสามีคุณมากกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่รักษาสามีของคุณ
คำถาม : Pravastatin ทำให้เกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้หรือไม่? มีอารมณ์ทางเพศลดลง, น้ำหนักตัวเพิ่ม, องคชาติไม่แข็งตัว?
คำตอบ : Pravastatin อาจเกี่ยวข้องกับการมีอารมณ์ทางเพศที่ลดลงได้ แต่จากการศึกษาในปี 2008 พบว่า ผู้ที่มีอาการดังกล่าวมักจะกลับมาเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์หลังจากหยุดยา pravastatin สำหรับเรื่องการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นนั้น ไม่พบว่า pravastatin ทำให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้ ดังนั้น อาการดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ยาตัวอื่นที่คุณรับประทาน หรือออกกำลังกายลดลง หากผลข้างเคียงจากการใช้ยา pravastatin ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูว่าสามารถเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นได้หรือไม่?
คำถาม : แพทย์ต้องการให้ฉันเริ่มยา pravastatin ขนาด 40 มิลลิกรัม ข้อมูลบนฉลากยาระบุว่า ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้หลายอย่าง ฉันกำลังคิดว่าจะเริ่มยาตามที่แพทย์แนะนำแต่ไม่อยากเลิกดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งปกติฉันรับประทานอยู่ที่ 3-5 แก้วต่อสัปดาห์ นอกจากนั้นยานี้ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้หลายอย่างซึ่งฉันรู้สึกกังวลว่าตัวเองจะมีอาการระหว่างที่เดินทางเพราะฉันเป็นคนที่ต้องเดินทางบ่อยครั้ง คุณมีคำแนะนำเกี่ยวกับการเริ่มรับประทานยานี้หรือยาในกลุ่ม statin ตัวอื่นในกรณีนี้หรือไม่?
คำตอบ : การที่คุณตรวจสอบข้อมูลของยาก่อนเริ่มใช้ยานั้นเป็นเรื่องที่ดี ระหว่างการใช้ยา pravastatin (และยาในกลุ่ม statin ตัวอื่น ๆ) นั้น ไม่แนะนำให้รับประทานแอลกอฮอล์เนื่องจากแอลกอฮอล์จะเพิ่มระดับ triglyceride และทำให้ตับถูกทำลายได้ นอกจากนั้นยา pravastatin ยังต้องผ่านตับ ซึ่งหากตับถูกทำลาย ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายมากขึ้น ส่วนใหญ่ แพทย์จะตรวจดูค่าการทำงานของตับเพื่อให้แน่ใจว่า ตับยังทำงานได้ตามปกติ หากคุณรับประทานแอลกอฮอล์ 3-5 แก้วพร้อมกันในครั้งเดียว คุณอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาตัวนี้ แต่หากคุณรับประทานวันละแก้ว 3-5 วันต่อสัปดาห์ ฉันคิดว่าคุณน่าจะใช้ยานี้ได้โดยไม่เกิดปัญหา
อย่างไรก็ตาม คุณควรนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับแพทย์ ยานี้ทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แต่ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่มีอาการดังกล่าว คุณอาจจะลองเริ่มยา pravastatin ในช่วงเวลาที่คุณไม่ได้เดินทางเพื่อติดตามว่ามีผลข้างเคียงเกิดขั้นหรือไม่ ยานี้เป็นยาที่มีประโยชน์มากเพราะการมีระดับ cholesterol ที่สูงนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงตามมา เช่น โรคเส้นเลือดสมอง, โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น ดังนั้น คุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ยานี้
คำถาม : pravastatin สามารถทำให้เกิดอาการมึนศีรษะได้หรือไม่?
คำตอบ : Pravachol (pravastatin) ทำให้เกิดอาการมึนศีรษะได้ประมาณ 1-10% ของผู้ที่ใช้ยา หากคุณกำลังมีอาการดังกล่าวเรื้อรังและรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา เพราะอาจมียาในกลุ่ม statin ตัวอื่นที่เหมาะสมกับคุณมากกว่า
คำถาม : ผลข้างเคียงของยา Pravachol คืออะไร?
คำตอบ : Pravachol (pravastatin) เป็นยาในกลุ่ม statin หรือ HMG-CoA reductase inhibitors ยานี้ใช้รักษาการมีระดับ cholesterol ในเลือดสูง ยานี้สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, การทำหัตถการ เช่น บายพาสและการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ, โรคเส้นเลือดสมอง และชะลอการเกิดภาวะเส้นเลือดแดงแข็งตัวได้อีกด้วย Pravachol ออกฤทธิ์โดยการลดการสร้าง cholesterol ของตับ
ตัวอย่างผลข้างเคียงของการใช้ยานี้ประกอบด้วย ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก มีผื่นขึ้น ปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและแสบร้อนกลางหน้าอก ยานี้ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา, ผู้ที่เป็นโรคตับหรือมีค่าการทำงานของตับสูงผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุและหญิงตั้งครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ ยานี้สามารถใช้ได้เมื่อผู้หญิงมีโอกาสในการตั้งครรภ์น้อยมากและเข้าใจว่าการตั้งครรภ์ระหว่างการใช้ยานี้จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทารก Pravachol และยาในกลุ่ม statin ตัวอื่น ๆ ทำให้ค่าการทำงานของตับผิดปกติได้ ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มยา คุณต้องตรวจค่าการทำงานของตับเสียก่อน และตรวจติดตามซ้ำเป็นระยะระหว่างการรักษา
นอกจากนั้นยังพบว่า การใช้ยานี้และยาตัวอื่นในกลุ่ม statin ยังอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายตัวได้ในผู้ป่วยบางรายซึ่งจะทำให้เกิดภาวะไตวายและอาจเสียชีวิตได้ ข้อมูลบนฉลากยาระบุไว้ว่า ผู้ที่รับประทานยา statin นั้นอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ หรืออ่อนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่หากมีอาการไข้ร่วมด้วยหรือไม่สบายควรรีบไปพบแพทย์ทันที
คำถาม : ผลข้างเคียงของยา pravastatin คืออะไร?
คำตอบ : Pravachol (pravastatin) เป็นยาในกลุ่ม statin หรือ HMG-CoA reductase inhibitors ยานี้ใช้รักษาการมีระดับ cholesterol ในเลือดสูง ยานี้สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, การทำหัตถการ เช่น บายพาสและการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ, โรคเส้นเลือดสมอง และชะลอการเกิดภาวะเส้นเลือดแดงแข็งตัวได้อีกด้วย Pravachol ออกฤทธิ์โดยการลดการสร้าง cholesterol ของตับ
ตัวอย่างผลข้างเคียงของการใช้ยานี้ประกอบด้วยปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก มีผื่นขึ้น ปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและแสบร้อนกลางหน้าอก ยานี้ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา, ผู้ที่เป็นโรคตับหรือมีค่าการทำงานของตับสูงผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุและหญิงตั้งครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ ยานี้สามารถใช้ได้เมื่อผู้หญิงมีโอกาสในการตั้งครรภ์น้อยมากและเข้าใจว่าการตั้งครรภ์ระหว่างการใช้ยานี้จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทารก Pravachol และยาในกลุ่ม statin ตัวอื่น ๆ ทำให้ค่าการทำงานของตับผิดปกติได้ ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มยา คุณต้องตรวจค่าการทำงานของตับก่อน และตรวจติดตามซ้ำเป็นระยะระหว่างการรักษา
นอกจากนั้นยังพบว่าการใช้ยานี้และยาตัวอื่นในกลุ่ม statin ยังอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายตัวได้ในผู้ป่วยบางรายซึ่งจะทำให้เกิดภาวะไตวายและอาจเสียชีวิตได้ ข้อมูลบนฉลากยาระบุไว้ว่า ผู้ที่รับประทานยา statin นั้นอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ หรืออ่อนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่หากมีอาการไข้ร่วมด้วยหรือไม่สบายควรรีบไปพบแพทย์ทันที
คำถาม : Pravastatin สามารถกระตุ้นหรือทำให้เกิดอาการปวดที่ลำไส้ใหญ่อย่างรุนแรงได้หรือไม่?
คำตอบ : Pravastatin (Pravachol) เป็นยาในกลุ่ม HMG-CoA reductase inhibitors หรือ statin ที่ใช้รักษาการมีระดับ cholesterol ในเลือดสูง ยานี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้าง cholesterol ในตับ ซึ่งจะทำให้ตับต้องนำ cholesterol ที่อยู่ในเลือดไปใช้ ทำให้ระดับ cholesterol ในเลือดลดลง
ข้อมูลจากฉลากยาไม่ได้มีการระบุว่ายานี้ทำให้เกิดอาการปวดที่ลำไส้ใหญ่แต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการใช้ยานี้ประกอบด้วย ปวดหัว คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องผูก อ่อนเพลีย มึนหัว มีลมในทางเดินอาหาร แสบร้อนกลางหน้าอกและมีอาการเหมือนไข้หวัด หากคุณมีอาการปวดที่ลำไส้ใหญ่ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจและวินิจฉัยโรคที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวและวางแผนการรักษา หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเพาะกับตัวคุณควรปรึกษาแพทยหรือเภสัชกร
คำถาม : Pravastatin สามารถทำให้เกิดอาการอ่อนแรงและหัวใจเต้นเร็วได้หรือไม่?
คำตอบ : Pravastatin (Pravachol) เป็นยาในกลุ่ม statin (HMG-CoA reductase inhibitor) ซึ่งใช้รักษาการมีระดับ cholesterol ในเลือดสูง และป้องกันโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ยานี้สามารถลดระดับของ LDL (cholesterol ชนิดไม่ดี), triglycerides และเพิ่มระดับของ HDL (cholesterol ชนิดดี) ได้ ส่วนมากแล้วผู้ป่วยที่รับประทานยานี้สามารถรับประทานยาได้โดยไม่มีปัญหา
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการใช้ยา คือ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนแรง มึนหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีลมในทางเดินอาหาร ท้องเสีย ท้องผูกและมีผื่น ยานี้จะออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้าง cholesterol ที่ตับ ทำให้ตับต้องนำ cholesterol ที่อยู่ในเลือดมาใช้ซึ่งทำให้ระดับ cholesterol ลดลง ยานี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสารคาเฟอีนและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น กระสับกระส่ายหรือวิตกกังวลได้แต่น้อย
คำถาม : pravastatin สามารถทำให้เกิดอาการปวดที่ต้นขาได้หรือไม่?
คำตอบ : Pravastatin (Pravachol) เป็นยาในกลุ่ม HMG-CoA reductase inhibitors หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า statin ใช้ลดระดับ cholesterol ยากลุ่มนี้จะทำงานโดยการยับยั้งการสร้าง cholesterol ในร่างกาย ยา Pravastatin นั้นจะลดการสร้างไขมันชนิด LDL และ triglyceride ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีและเพิ่มระดับของไขมันชนิด HDL ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี การลดระดับ cholesterol จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, โรคเส้นเลือดสมองและโรคหลอดเลือดอื่น ๆ ได้
คำถามเหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของยาลดไขมันชนิด Statin ซึ่งมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเสมอ ถ้าหากรับประทานเป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ย้อนกลับมาดูแลและรักษาสุขภาพด้วยการทานยาแล้วพยายามลดปริมาณลงด้วยการเสริมกิจกรรมรักษ์สุขภาพมากขึ้น
Cr. thairath, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, haamor.com, honestdocs.co