
สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันให้ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยสารสังเคราะห์ไกลโคโปรตีน Immune Activator Program ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ คือ
คุณสมบัติ สารสังเคราะห์ไกลโคโปรตีน
1. กระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่ง Antigen ไปกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งขึ้น โดย Macrophage ปกติจะไม่มีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรงแต่เมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยสาร Immune Activator Program จะทำให้เปลี่ยนแปลงไปเป็น Activated Macrophage ซึ่งมีความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ดี
2. ส่งสัญญาณต่อให้ T Cells และ B Cells ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันเพื่อรับรู้และจดจำสารแปลกปลอม(เซลล์มะเร็ง) ให้ถูกทำลายอย่างตรงเป้าหมาย
3. โดยปกติเซลล์มะเร็งหรือเซลล์แปลกปลอมทั่วๆไป จะสามารถสร้างสารชื่อ Nagalase เพื่อบดบังการทำงานของ Macrophage ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกกดไว้ การให้ Immune Activator Program ส่งผลให้ร่างกายสามารถเอาชนะ Nagalase และทำให้ Macrophage และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกลับมาทำงานได้สมบูรณ์อีกครั้ง
4. Macrophage เป็นเซลล์ที่สำคัญในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง และมี Fc Receptor (Fragment crystallisable Receptor) เช่นเดียวกับ NK Cell จึงสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งที่มี Antibody เคลือบอยู่ได้
5. Macrophage สามารถหลั่ง TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ฆ่าเซลล์มะเร็งได้โดยไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ปกติ พบว่าเป็นพิษโดยตรงและทำลายโครงสร้างของเซลล์มะเร็ง ตลอดจนทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งอุดตันจึงส่งผลให้เซลล์มะเร็งตายไป

ผลงานวิจัย
-ปี 1990 Dr.Yamamoto ได้เริ่มใช้วิธีนี้ในการกระตุ้น Macrophage ซึ่งได้ผลดีในหลายโรค หลังจากนั้นมีการวิจัยเรื่องนี้โดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 100 ท่านใน 46 งานวิจัย ซึ่งพิสูจน์ว่าวิธีนี้สามารถสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายขึ้นมาใหม่เพื่อต่อสู้กับมะเร็ง , HIV และโรคอื่นๆโดยเฉพาะมันสามารถกำจัดมะเร็งในระยะต้นๆได้ภายในไม่กี่สัปดาห์
-มีการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 16 ราย ซึ่งได้ผลดีและไม่มีการกลับมาของโรคอีกใน 4 ปี
-ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ 7 ราย หลังจากให้วิธีนี้นี้ 32 – 50 สัปดาห์ สามารถควบคุมระดับ Macrophagในผู้ป่วยมะเร็งระยะกระจายได้โดยไม่พบการกลับมาเป็นซ้ำด้วยการตรวจ CT Scan
-Professor Ruggiero กับทีมแพทย์และนักวิจัยที่ University of Florence ได้ประกาศว่าสามารถใช้วิธีนี้ในผู้ป่วย HIV ได้อย่างน่าพอใจ
ผลที่ได้รับและข้อดีจากงานวิจัย
1. เข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้คอยตรวจจับและทำลายสิ่งแปลกปลอม(เซลล์มะเร็ง) โดยไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ปกติ จึงสามารถกำจัดและลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
2. เป็นสารสังเคราะห์ที่ออกฤทธิ์ได้ดี อาการข้างเคียงน้อย
3. ผลิตเพื่อฉีดใต้ผิวหนังอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมการกระจายยาให้ใช้ได้สัปดาห์ละครั้ง ทำให้คนไข้ไม่ต้องเจ็บตัวจากวิธีนี้
รู้จักโรคมะเร็งในเชิงป้องกัน และรักษา
หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดเซลล์มะเร็ง
ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์นฮอพกินส์ ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆ อีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์"
1. ทุกๆ คนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอจนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆ นั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหาร และปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโม คือ การให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันมันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อและอวัยวะ
8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้ หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆ นั้น จึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิด และทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา ยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหาร เพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อาหารที่ป้อนให้กับเซลล์มะเร็ง?
a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง
การตัดน้ำตาล คือ การตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่าง เช่น นิวตร้าสวีต อีควอล สปูนฟูล ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่า คือ น้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อยแต่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "แบรก อมิโน" หรือ เกลือทะเลแทน
b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก
โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร
c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด
อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่ (แทนเนื้อและหมู) ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
d. อาหารที่ประกอบด้วย ผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ดถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย
จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่ รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์ถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F (ประมาณ 40 องศา C)
e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ ชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง
- ชาเขียว..ถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง
- น้ำดื่ม..ให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา
- น้ำกลั่น..มักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก
เอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่า และมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้
การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
(สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์, วิตามิน, เกลือแร่, EFAs) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ
การป้องกันเชิงรุก และการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง
- ความโกรธ
- การไม่รู้จักให้อภัย และ
- ความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น
- ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย
- เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก
- การออกกำลังกายทุกวัน
- การหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นไปจนระดับเซล
- การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจน ถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง