ALA (กรดอัลฟาไลโปอิก) รู้จักกันหรือไม่?

ALA (กรดอัลฟาไลโปอิก) มีชื่อเต็มว่า Alpha-Lipoic Acid เป็นกรดไขมันที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นเองและมีการสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ นิยมใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาจสามารถช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย รักษาระดับวิตามินซี หรือวิตามินอีในร่างกาย ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและให้พลังงานกับอวัยวะต่าง ๆ และพบว่ามีการใช้ในกรณีศึกษาและงานวิจัยที่อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการจากโรคได้ เช่น อาการเส้นประสาทอักเสบจากเบาหวาน โดยสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น ผักโขม บร็อกโคลี่ มันฝรั่ง ยีสต์ เนื้อแดง เครื่องใน เช่น ตับหรือไต เป็นต้น

เกี่ยวกับ ALA
กลุ่มยา |
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม |
ประเภทยา |
หาซื้อเองได้ |
สรรพคุณ |
ต้านอนุมูลอิสระ |
กลุ่มผู้ป่วย |
ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา |
ยารับประทานชนิดเม็ดและแคปซูล |
คำเตือนในการใช้ ALA
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับไทรอยด์ ผู้ที่ขาดวิตามินบีหนึ่ง ผู้ที่มีการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวอื่นเป็นประจำอยู่แล้ว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ALA เพื่อทำการปรับขนาดและปริมาณยาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- ผู้ป่วยที่ใช้ยารักษาโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ ALA เพราะต้องปรับขนาดและปริมาณให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินกว่าระดับปกติ
- อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเมื่อใช้ ALA ร่วมกับยาที่ใช้ในการทำคีโม (Chemotherapy) หรือทำให้เกิดปฏิกิริยาร่วมกับยาตัวอื่น ๆ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้อักเสบ ยาคลายเครียด ยาสำหรับโรคข้อเข่าเสื่อม หรือยาขยายหลอดเลือด (สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจหรือโรคความดันโลหิตสูง)
- ยังไม่มีกรณีศึกษาและงานวิจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ ALA กับเด็ก หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร

ปริมาณการใช้ ALA
ปริมาณการใช้ ALA ขึ้นอยู่กับแต่ละจุดประสงค์ เช่น
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร - ชนิดแคปซูล 300 มิลลิกรัม 1-2 ครั้งต่อวัน
- อาการหรือโรคที่เกี่ยวข้อง - ผู้ป่วยอาการเส้นประสาทอักเสบจากเบาหวาน ควรใช้ในปริมาณ 300-600 มิลลิกรัมต่อวัน ควรรับประทานตอนท้องว่างหรือ 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร ห้ามเคี้ยว
การใช้ ALA
ในปัจจุบันองค์การอาหารและยา (FDA) ยังไม่มีการอนุมัติใช้ ALA ในการใช้ทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่มีการนำไปใช้ในกรณีศึกษาและงานวิจัยถึงความเป็นไปได้ที่ ALA อาจจะมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการหรือเงื่อนไขของโรคต่าง ๆ ได้ เช่น
- การใช้ยาที่มีส่วนผสมของ ALA ร่วมกับโคเอ็นไซม์คิวเท็น แมงกานีส โอเมก้าสาม และซีลีเนียม เป็นเวลา 2 เดือนก่อนและ 1 เดือนหลังการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือที่เรียกว่าการผ่าตัดบายพาส อาจจะช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้
- การใช้ยาที่มีส่วนผสมของ ALA ร่วมกับวิตามินซี วิตามินอี และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Polyunsaturated Fatty Acids) พร้อมกับการรักษาด้วยแสงบำบัด (Light Therapy) ทุกวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ อาจจะช่วยปรับสีผิวในผู้ป่วยที่เป็นโรคด่างขาวได้
- การรับประทาน ALA เป็นเวลา 3-5 สัปดาห์ของการรักษา อาจจะช่วยบรรเทาอาการปวดจากเส้นประสาทอักเสบจากเบาหวานได้ เช่น อาการแสบร้อน ปวด ชา ที่แขนและขาในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
- การรับประทาน ALA ขนาด 300 มิลลิกรัม เป็นเวลา 2-8 สัปดาห์ 1 ครั้งก่อนและหลังการบำบัดด้วยออกซิเจน (Oxygen Therapy) อาจจะช่วยลดขนาดของแผลได้
- การรับประทาน ALA ขนาด 1,800 มิลลิกรัม ทุกวันเป็นเวลา 20 สัปดาห์ อาจจะช่วยลดน้ำหนักในผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินได้ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้นิยามของผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกิน คือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลร่างกาย (BMI) ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป

นอกจากนี้ยังมีหลายกรณีศึกษาและงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ALA อาจจะไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการหรือเงื่อนไขของโรคต่าง ๆ ได้ เช่น
- การรับประทาน ALA ขนาด 300 มิลลิกรัม ทุกวันเป็นเวลา 6 เดือน ไม่สามารถรักษาโรคตับที่เป็นผลมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้
- การรับประทาน ALA ขนาด 300 มิลลิกรัม ทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน ไม่สามารถบรรเทาอาการปวดหรืออักเสบในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
- การรับประทาน ALA ขนาด 600 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินซีและวิตามินอี อาจจะไม่สามารถป้องกันอาการจากโรคจากการขึ้นที่สูงได้ เช่น การขาดออกซิเจน ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ที่มักเกิดในผู้ที่ไม่ชินกับการขึ้นไปในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 2,438 เมตรขึ้นไป
- การรับประทาน ALA ขนาด 600 มิลลิกรัม ทุกวันเป็นเวลา 2 ปี ไม่สามารถรักษาความเสียหายของจอประสาทตาจากเบาหวานได้
- การรับประทาน ALA ขนาด 600-900 มิลลิกรัม ทุกวันเป็นเวลา 2 ปี อาจจะไม่มีผลต่อการทำงานของสมองในผู้ป่วยที่เป็นโรคความจำเสื่อม
- การรับประทาน ALA ไม่สามารถรักษาอาการทางสมองจากการติดเชื้อเอชไอวี หรือปัญหาจากเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับหัวใจได้
สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ALA ที่วางขายทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้งาน เพราะในปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานการควบคุมการผลิตและพบว่ามีการปนเปื้อนของโลหะเป็นพิษและยาอื่น ๆ ทั้งนี้ควรอ่านฉลากการใช้งาน ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินกว่ากำหนด และควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องห่างจากความชื้นและความร้อน

ผลข้างเคียงจากการใช้ ALA
การใช้ ALA อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
- มีผื่นคันขึ้นที่บริเวณผิวหนัง
- คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ
- หายใจลำบาก
- มีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น ลำคอ
- ในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว สับสน กระวนกระวาย รู้สึกจะเป็นลม

ทำอะไร / ประโยชน์
- ALA มีขนาดโมเลกุลและภาวะแขนคู่ ที่เคลื่อนตัวได้คล่อง และพร้อมให้อิเล็กตรอนได้ง่าย ทำให้ละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูง อีกทั้งช่วยส่งเสริม หรือซ่อมสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น เช่น วิตามินซี วิตามินอี กลูต้าไทโอน โคคิวเทน ให้กลับมาใช้งานซ้ำได้ หรือเป็นสารทดแทนกรณีสารต้านอนุมูลอิสระใดขาดแคลนไป มีบทบาทได้ทั้งภายในเซลล์ และที่เยื่อหุ้มเซลล์
- ALA ทำงานส่งเสริมอินซูลิน ในการช่วยกวาดเก็บ นำมาใช้ และเก็บกักน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาที่แสดงว่า oxidative stress มีผลในการเกิดอาการดื้อต่ออินซูลิน ที่เซลล์กล้ามเนื้อ แต่เมื่อเซลล์ได้รับ ALA จะได้รับการปกป้องจากอนุมูลอิสระได้ ALA ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานตอบสนองต่ออินซูลิน บทบาทที่เพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน ต่อน้ำตาลในเลือด ทำให้ใช้บำบัดผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
- Diabetic neuropathy ประสาทถูกทำลายเนื่องจากเบาหวาน จากน้ำตาลในเลือดสูง หรือ oxidation ต่อเส้นประสาทนั้น วิตามินบี12 ช่วยไม่ได้มาก แต่ ALA ใช้ได้ผลดีจากการที่ ALA มีส่วนร่วมในเมตาบอลิสมของพลังงาน ช่วยการไหลเวียนเลือดตามหลอดเล็กๆ (เช่น เส้นที่ไปเลี้ยงเส้นประสาท) ดีขึ้น แล้วยังช่วยให้การใช้น้ำตาลในเลือดดีขึ้นด้วย
ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ นอกจาก ALA แล้ว ก็ยังมีวิตามินอี และ Capsaicin ที่ได้จากพริก
ALA มักเป็นแคปซูล ขนาด 100 – 200 มก. แต่ขนาดที่ควรใช้คือ 600 – 800 มก.
มีการศึกษาระบุว่าควรทานวันละ 1800 มก.x3 สำหรับกรณีที่รุนแรงเช่นนี้
ประโยชน์หลักของ ALA คือ ใช้รักษาอาการปวดและชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า จากระบบประสาทถูกทำลาย ซึ่งอาจเกิดจากอนุมูลอิสระทำลายเซลล์ประสาท เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ เกิดการเติมออกซิเจน (oxygenation) รวมทั้งอาการประสาทเสื่อมจากเบาหวาน ต้านการอักเสบ
- จับตัวกับโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู ปรอท แล้วขับออกจากร่างกาย (Chelation) อีกทั้งคุณสมบัติที่ซึมผ่านแนวกั้นสมองได้ ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีบทบาทเข้าไปช่วยนำโลหะหนักออกมาขับทิ้ง ผ่านตับ หรือไตได้
- คุณสมบัติที่เพิ่มระดับกลูต้าไทโอนในตับ ช่วยให้ตับขับล้างสารพิษตกค้าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยบำรุงตับให้แข็งแรง
- ALA ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในร่างกาย เพื่อเร่งกระบวนการสร้างพลังงาน และจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระฤทธิ์แรง ช่วยให้อนุภาคที่ไม่เสถียร และเป็นผลร้ายต่อร่างกาย มีสภาพเป็นกลาง ช่วยควบคุมระดับของธาตุเหล็ก และทองแดงซึ่งเป็นแร่ธาตุจำเป็นของร่างกายให้อยู่ในระดับที่พอดี
- ALA ช่วยปกป้องตับมิให้ถูกอนุมูลอิสระทำลาย ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีการใช้สารนี้รักษาตับอักเสบ ตับแข็ง และโรคตับอื่นๆรวมทั้งสารพิษตะกั่ว หรือโลหะหนักอื่นๆ และสารเคมีจาก อุตสาหกรรม เช่น carbon tetrachloride
- ในสัตว์ทดลองยังพบประโยชน์ของ ALA ช่วยยับยั้งต้อกระจก เพิ่มความจำ และปกป้องเซลล์สมองจากการขาดเลือด
มีบางข้อมูลชี้ว่า ALA ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน และการทำงานของตับ ช่วยชะลอการเกิดหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งมักพบในผู้ป่วยเบาหวาน
- การศึกษาผลของ ALA ในอัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน บ่งชี้ว่า ALA น่าจะมีประโยชน์
- ตลอดจนใช้คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องอ่อนเพลียเรื้อรัง สะเก็ดเงิน ซึ่งรุนแรงจากอนุมูลอิสระ
- พบว่าALAช่วยป้องกันการกระตุ้นอองโคยีน (oncogene) ซึ่งเป็นยีนควบคุมการเกิดมะเร็ง จากอนุมูลอิสระ และสารก่อมะเร็ง
- อาการปวดแสบร้อนในปาก เหมือนกินพริก เข้าใจว่าอารมณ์แปรปรวนในวัยทอง การลดลงของฮอร์โมน หรือมีโรคของระบบประสาท หนึ่งในสามเกิดหลังทำฟัน การติดเชื้อยีสต์ (candida albicans) การขาดวิตามินบีต่างๆ และสังกะสี
พบว่าการให้ ALA ชนิดออกฤทธิ์ช้าๆ ช่วยลดอาการได้ เข้าใจว่า ALA ไปทำลายอนุมูลอิสระที่กดดันประสาท และเพิ่มความเร็วของสัญญาณประสาท ALA เคยใช้กับการเจ็บปวดร้าวของประสาทไซอาติก (sciatic pain) ได้ผล จึงนำมาใช้กับอาการแสบร้อนในปาก มีการทดลองให้ ALA เทียบกับยาหลอก พบว่า
97% มีอาการดีขึ้น
74% ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
13% หายขาด
10% ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย
ในขณะที่กลุ่มยาหลอกมีอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย 40%
การติดตามผล 1 ปีให้หลัง พบว่ากลุ่มที่ได้ ALA 3 ใน 4 มีอาการดีขึ้นในระดับที่ดี ส่วนกลุ่มยาหลอกกลับมีอาการแย่ลง
- อาวุธใหม่ในการลดน้ำหนัก…มีงานวิจัยว่า ALA มีผล อย่างไรกับเอนไซม์ APK (activated protein kinase enzyme) ซึ่งพบในสมองส่วนไฮโปทาลามัส น่าจะมีหน้าที่สำคัญต่อความอยากอาหาร APK เพิ่มขึ้นเมื่อ เซลล์ต้องการพลังงานมากขึ้น ซึ่งอาจไปเพิ่มความอยากอาหาร
คนอ้วนส่วนมากไม่ตอบสนองต่อ Leptin ซึ่งนำมาใช้เป็นฮอร์โมนต่อต้านความอ้วน แต่ ALA พอที่จะให้ความหวังได้ โดยสัตว์ทดลองมีอัตราเผาผลาญสูงขึ้นด้วย กลูโคสและไขมันถูกเผาผลาญมากขึ้น
ในกรณีเบาหวาน ที่ดื้ออินซูลิน ย่อมดีขึ้น โดยลดการสะสมของไขมันที่กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมัน ที่ไมโตคอนเดรีย เป็นตำแหน่งที่ ALA ทำงานในฐานะปัจจัยร่วม (Co factor) ในการย่อยกลูโคสและไขมัน
ALA เป็นตัวช่วยวิตามินทุกชนิด เช่น ไทอะมีน ไรโบฟลาวิน กรดแพนโธทีนิค และไนอาซิน ในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันจากอาหารให้กลายเป็นพลังงาน ALA เป็นปัจจัยสำคัญใน internal cellular burn หรือการเผาผลาญภายในไมโตคอนเดรีย จึงช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญของเซลล์ เพิ่มพลังงาน และความสามารถในการซ่อมแซมของเซลล์
- โรคประสาทที่ไม่ได้มาจากเบาหวาน ALA ก็น่าจะมีบทบาทจากการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวยง อีกทั้งไปเพิ่มระดับกลูต้าไทโอนภายในเซลล์ ทำให้ช่วยซ่อมเซลล์ประสาทที่ถูกทำลายเสียหายให้ฟื้นกลับมาใหม่
การไม่เป็นพิษของ ALA จึงน่าจะผสมผสานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมโภชนาการ ร่วมกับวิตามินบีรวม แมกนีเซียม และกรดไขมันจำเป็น
ยังแนะนำให้ใช้ ALA ในโรค multiple sclerosis อาการพิษจากโลหะหนัก, ต้อกระจก และต้อหิน โรคตับจากพิษสุรา

ขนาด + วิธีใช้
การใช้ปริมาณเล็กน้อย วันละ 20–150 มก. มักไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
ขนาดที่ใช้แก้ปัญหาคือ 100–200 มก.x3 ครั้ง/วัน ควรค่อยๆ เพิ่มจากน้อยไปหามาก การใช้ปริมาณมากในทันที อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน หรือเกิดผื่นแดงตามผิวหนังได้บ้าง หากมีอาการก็ให้ลดขนาดหรือหยุดใช้ได้ แต่ก็น่าจะแสดงว่าร่างกายสนองต่อผลการรักษา
แพทย์ผู้รักษาที่เชี่ยวชาญอาจใช้ขนาดสูงได้ถึงวันละ 1800 มก.
ข้อพึงระวัง
ยังไม่เคยมีการทดสอบในหญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร การใช้ปริมาณสูงจึงควรระวัง อาจเสริมฤทธิ์ของกรด แกมมา–ไลโนเลนิค (GLA) และ/หรือ acetyl–L–carnitine ให้ผลดีมากยิ่งขึ้น ลดน้ำตาลในเลือดมากขึ้น ทำให้อาจต้องลดขนาดยาที่ใช้
อาจออกฤทธิ์ร่วมกับ T4 ไปชะลอการเปลี่ยนเป็น T3 จึงควรทานห่างกันหลายชั่วโมง
Cr. Pobpad.com, หมอมวลชน
มีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยล้า เลือดเดินไม่สะดวก หลอดเลือดแข็ง เจ็บป่วยง่าย ขอแนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB ..นอกจากมี ALA แล้วยังมีโสมสกัด ถั่งเช่าสกัด ใบแปะก๊วยสกัด และอื่นๆ รวม 14 ชนิด ที่เป็นประโยชน์ร่างกาย....
รายละเอียดเพิ่มเติม..โปร-เอ็กบี Pro-xB..คลิ๊กเลย!
หน้าแรก