
การขยายหลอดเลือดจะทำเมื่อขนาดของหลอดเลือดเล็กลงกว่า 50% ถ้าถึง 70% ต้องรีบแก้ไข เพราะว่าถ้าลดลงถึง 90% แค่นอนเฉยๆ ก็ปวดหน้าอกแล้ว อาการเตือนการโรคหัวใจ คือ หน้ามืด เป็นลม ใจสั่น หมดสติ..เจ็บหน้าอกบีบแน่นๆ กลางหน้าอกไปทางซ้าย เป็นต้น
ป้จจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหลอดเลือดตีบ
ความดันโลหิตสูง
เป็นโรคเบาหวาน
ไขมันในเลือดสูง
สูบบุหรี่
คนในครอบครัวเคยมีอาการ
ขดลวดขยายหลอดเลือดหัวใจ (stent) เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นโครงตาข่าย ทำจากโลหะชนิดพิเศษ พลาสติก หรือบางครั้งทำจากเส้นใยชนิดพิเศษสำหรับหลอดเลือดแดงที่มีขนาดใหญ่ ที่นำมาใช้ในการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน ช่วยดันไขมันที่อุดตันหลอดเลือดอยู่ให้ไปชิดผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดสามารถไหลผ่านจุดที่เคยตีบได้สะดวกขึ้น ซึ่งการใช้ขดลวดตาข่ายนี้เพื่อให้การขยายหลอดเลือดหัวใจได้ผลดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
.jpg)
ชนิดของขดลวดขยาย
1. ขดลวดขยายหลอดเลือดหัวใจชนิดไม่เคลือบยา (Bare metal stent) เป็นขดลวดทำจากโลหะพิเศษแบบเปลือย ซึ่งพบว่าหลังจากรักษาไป ผู้ป่วยส่วนหนึ่งเกิดการตีบซ้ำขึ้นมาใหม่ได้แต่ก็ยังน้อยกว่าการใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ส่วนใหญ่ในการรักษาแพทย์จะใช้ขดลวดชนิดนี้ ในกรณีผู้ป่วยต้องได้รับการขยายหลอดเลือดอย่างเร่งด่วน เช่น ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย เป็นต้น
2. ขดลวดขยายหลอดเลือดหัวใจชนิดเคลือบยา (Drug Eluting Stent) ซึ่งในปัจจุบันแพทย์จะใช้ขดลวดชนิดนี้ในการรักษาเป็นหลัก โดยเป็นขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจที่เคลือบยา และสารโพลีเมอร์ไว้ โดยตัวยาจะค่อยๆ ปล่อยไปยังบริเวณที่ต้องการรักษาในจุดที่ตีบ ทำให้ช่วยลดการเติบโตของเนื้อเยื่อบริเวณที่ใส่ขดลวด ช่วยลดความจำเป็นในการที่ต้องทำการรักษาซ้ำจากการที่หลอดเลือดหัวใจที่ได้รับการฝังขดลวดเกิดการตีบซ้ำเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษาจะเลือกใส่ในผู้ป่วยที่มีโอกาสเกิดการตีบซ้ำในขดลวด สูงกว่าบุคคลทั่วไป เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน เป็นต้น
ถาม-ตอบการใช้สเต็นท์ (Stent)
1 เวลาวิ่ง สเตนท์นี้ จะหลุดไหม?
ตอบ: ไม่หลุดครับ เพราะ ว่า สเต็นท์ เป็นโครงตาข่าย ที่ถูกกางออก โดยใช้แรงดันจากบอลลูนที่สูง อัดสเต็นท์นี้เข้ากับผนังหลอดเลือด จึงไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนตัวได้ นอกจากนี้แล้ว หลังจากฝัง สเต็นท์ นี้แล้ว ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อเข้ามายึดกับโครงของ สเต็นท์ นี้ จนโครงโลหะนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผนังหลอดเลือดไป
2 สเต็นท์นี้จะหมดอายุไหม? ต้องมาเปลี่ยนไหม่หรือไม่?
ตอบ: ไม่ต้องมาเปลี่ยนครับ เพราะว่า สเต็นท์นี้ เป็นโลหะ และจะถูกฝังเข้าไปในผนังของหลอดเลือด สเต็นท์ นี้ จึงอยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต ไม่สามารถถอดออกมาได้
3 นอนตะแคงซ้ายแล้วเจ็บแปล็บๆที่หน้าอก เป็นเพราะสเต็นท์นี้ไหม?
ตอบ: ไม่เกี่ยวกับสเต็นท์ครับ เพราะว่า สเต็นท์ ที่อยู่ในหลอดเลือดไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกจากการมีสเตนท์นี้อยู่ในร่างกาย การเจ็บหน้าอก หลังจากฝังสเตนท์ ก็ต้องดูว่า อาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ เกิดจากหลอดเลือดตีบตันใหม่หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกแปล็บๆ บริเวณหน้าอก ที่เกิดจากความกังวล จดจ่อกับ โรคหัวใจ หรือเป็นจากกล้ามเนื้อหน้าอกอักเสบ
4 ใส่สเตนท์แล้วมีลืมกินยาบ้างจะเป็นอะไรไหม และต้องกินยานานแค่หน?
ตอบ: ห้ามลืมกินยาเด็ดขาดครับ เพราะว่า หลังจากแพทย์ทำการฝังสเต็นท์ในหลอดเลือดหัวใจไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่แพทย์กังวลก็คือ การเกิดลิ่มเลือดขึ้นในโครงโลหะของสเต็นท์นั้น จนทำให้หลอดเลือดอุดตัน ดังนั้นยาที่จำเป็นอย่างมาก และไม่ควรลืมกินก็คือ ยาต้านเกล็ดเลือด ซึ่งแพทย์มักจะให้ยาต้านเกล็ดเลือดไป2ชนิด และต้องกินต่อเนื่องนาน1ปี และหลังจากนั้นก็จะลดยาต้านเกล็ดเลือดเหลือ1ชนิด ซึ่งต้องกินต่อเนื่องไปอีกตลอดชีวิต
5 เวลาถอนฟันต้องหยุดยาไหม?
ตอบ: ไม่ควรหยุดยาในช่วง1ปีแรก เพราะว่า ในช่วง1ปีแรกหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการฝังสเต็นท์ เป็นช่วงที่ ผู้ป่วยมีโอกาสสูงที่จะ เกิดลิ่มเลือดอุดตันในโครงตาข่าย ดังนั้นการหยุดยาต้านเกล้ดเลือดในช่วงเวลานี้ ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ จนเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันตามมาได้ ผุ้ป่วยจึงควรพยายามหลีกเลี่ยงการถอนฟัน ในช่วง 1ปีแรกที่ได้รับการฝัง สเต็นท์ไป แต่หลังจาก1ปีไผ่านปแล้ว แพทย์จะลดยาต้านเกล็ดเลือดเหลือเพียงแค่1ชนิด ซึ่งในช่วงนี้ ดอกาสที่จะเกิดลิ่มเลือดอุดตันเฉียบพลันก็จะลดลงมาก ดังนั้นในกรณีที่ผู้ป่วยจะถอนฟัน ก็สามารถหยุดยาต้านเกล็ดเลือดที่เหลือนี้ได้ ในช่วงเวลา5-7วัน ก่อนจะถึงวันที่ถอนฟัน
6 มีสเต็นท์ในร่างกายเวลาผ่านเครื่องตรวจโลหะที่สนามบินจะมีปัญหาไหม?
ตอบ:ไม่มีปัญหาครับ เพราะว่า สเตนท์ เป็นโครงตาข่ายขนาดเล็กมาก ทำมาจาก สเตนเลสสตีล ฝังอยู่ในผนังหลอดเลือด ซึ่งเครื่องตรวจจับโลหะ จึงไม่สามารถตรวจจับได้
7 มีสเต็นท์ในร่างกายห้ามตรวจMRIจริงไหม?
ตอบ: ไม่จริงครับ ปัจจุบันสามารถตรวจMRI ได้ตามปกติ แต่เดิมมีความเชื่อว่า สเต็นท์ โดยเฉพาะ สเต็นท์รุ่นเก่า ซึ่งมีส่วนประกอบของสารโลหะบางชนิด ที่สามารถเหนี่ยวนำกับสนามแม่เหล็ก จากเครื่องMRI การเหนี่ยวนำนี้ คล้ายกับ เครื่องMRI สร้างแรงดูดกับ โครงโลหะของสเตนท์ ที่เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Ferromagnetic ทำให้ เกิดการเคลื่อนตัวของ สเต็นท์ ในหลอดเลือด ซึ่งปัจจุบันนี้ การเกิดการเคลื่อนตัวแบบนี้ แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะว่า ปัจจุบัน สเต็นท์รุ่นใหม่แทบจะไม่มี ส่วนผสมของสารโลหะที่ทำให้เกิด ปรากฎการณ์ Ferromagnetic นี้ และ หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการฝัง สเต็นท์ ไป 6สัปดาห์ ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาปกคลุมผิวของ สเต็นท์ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดการเคลื่อนหลุดของสเต็นท์
8 หลอดเลือดที่ฝังสเต็นท์ แล้ว หลอดเลือดมีโอกาสตีบขึ้นมาอีกไหม?
ตอบ: มีครับ หลอดเลือดหัวใจที่เกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือด แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการขยายหลอดเลือดด้วยสเต็นท์ ไปแล้วก็ตาม ความเสื่อมนั้นยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ โอกาสที่หลอดเลือดทั้งในบริเวณที่มีสเต็นท์ ฝังไว้ กับบริเวณอื่น ก็มีโอกาสตีบได้หมด แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดตีบตันในผู้ป่วยที่ได้รับการฝัง สเต็นท์ ก็คือการเกิดลิ่มเลือดไปเกาะที่โครงตาข่ายของ สเต็นท์ ในช่วง1ปีแรกหลังการรักษา ดังนั้นการกินยาต้านเกล็ดเลือด ตามที่แพทย์วางแผนจึงมีความสำคัญ
9 ผู้ป่วยจะสังเกตุตัวเองได้ไหมว่า สเต็นท์ ที่ฝังไว้เกิดการตีบตัน?
ตอบ: ได้ครับ ในกรณีที่ สเต็นท์ ที่ฝังใว้เกิดการตีบตันที่มากพอ จนเลือดไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้เพียงพอขณะที่เราออกกำลังกาย ผู้ป่วยสามารถสังเกตุอาการ แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย น้ำท่วมปอด หรือ อาการที่เราเคยเป็นในช่วงก่อนที่จะได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นมาใหม่หลังจากได้รับการรักษา แต่ หลายครั้งที่ ข้อมูลจากอาการ ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะให้แพทย์ทำการวินิจฉัย ภาวะ สเต็นท์ตีบตันได้ ต้องอาศัยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การวิ่งสายพานEST หรือ การตรวจสวนหัวใจ CAG

10. กินไข่ทุกวัน อันตรายต่อหัวใจไหม?
ตอบ: การกินไข่แดงเป็นประจำมีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดน้อยโดยไข่แดงมีปริมาณคอเลสเตอรอลประมาณ 180 มิลลิกรัมต่อฟอง ส่วนคอเลสเตอรอลที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 300 มิลลิกรัมการกินไข่ทุกวันไม่เกินวันละ 1 ฟอง จึงไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของคนกลุ่มนี้แต่อย่างใด
ผลการศึกษากลุ่มผู้ที่เคยเป็นหรือกำลังเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจนั้น พบว่าการกินไข่วันละ 1 ฟอง เพิ่มความเสี่ยงทำให้โรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรงขึ้นได้ และคนกลุ่มหลังนี้ควรกินไข่ประมาณ 3 ฟองต่อสัปดาห์
ที่สำคัญต้องระวัง "ไข่แอบแฝง" ที่มาในรูปอื่นๆ ด้วย เช่น คุกกี้ เค้ก ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ฯลฯ ซึ่งใช้ไข่แดงในปริมาณมากดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจกินเฉพาะไข่ขาวเป็นหลัก จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้
ส่วนผู้ที่ไม่เป็นโรคก็ควรกินไข่ต้ม ไข่ดาว หรือไข่เจียวที่ใช้น้ำมันเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน
ขั้นตอนการใช้สเต็นท์หรือบอลลูน

1. ฉีดสีหรือฉีดสารทึบรังสี เข้าเส้นเลือดใหญ่อาจจะเป็นที่แขนหรือหว่างขาแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ จะพบตำแหน่งจุดที่เส้นเลือดตีบ

2. สอดใส่สายสวนชนิดขดลวดแทรกเข้าไปยังหลอดเลือดที่ตีบและขยายบอลลูนให้พองตัวขึ้น ใส่ขดลวดขยายกดทับผนังหลอดเลือดในขณะที่บอลลูนพองตัวขึ้น
ข้อดีของการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวด
มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัดบายพาส เพราะไม่ต้องผ่าตัดและดมยาสลบนอนพักในโรงพยาบาลแค่ 1 – 2 วัน
ภาวะแทรกซ้อนของการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด
แทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ (พบได้ประมาณ 0.001%) กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาจต้องผ่าตัดเพื่อตัดต่อเส้นเลือดหัวใจ
- แพ้สารทึบรังสีรุนแรง
- มีเลือดออกบริเวณที่ใส่สาย
- หัวใจล้มเหลว
- ไตวาย
- อัมพาต
การปฏิบัติตัวหลังทำบอลลูนหัวใจเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
1. รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด เป็นต้น โดยไม่ควรหยุดยาเอง พร้อมสังเกตอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอกให้มาพบแพทย์ทันที
2. ดูแลแผลตำแหน่งที่ทำหัตถการอย่าโดนน้ำประมาณ 3 วัน หรือหากโดนให้ใช้เบตาดีนเช็ดบริเวณแผล
3. งดออกกำลังกายหนัก งดการขับรถเอง หรือใช้แรงมากในช่วง 2 สัปดาห์แรก
หลังจาก 2 สัปดาห์ สามารถออกกำลังกายให้ถึงระดับเหนื่อยพอควรได้ วันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง/สัปดาห์ และไม่น้อยกว่า 5 วัน
4. ห้ามยกของหนักเกิน 5 กิโลกรัม ประมาณ 1 เดือน หลังทำหัตถการตรวจสวนหัวใจ
5. หากไอหรือเบ่ง ให้กดบริเวณแผลไว้ หลังทำหัตถการตรวจสวนหัวใจ ประมาณ 7 สัปดาห์ (ในกรณีทำบริเวณขาหนีบ)
6. ในระยะแรก กิจวัตรประจำวันอาจทำไห้เหนื่อยง่ายได้ ดังนั้นควรพักผ่อนครั้งละ 20-30 นาที วันละ 2 ครั้ง ในเวลากลางวัน ไม่จำเป็นต้องนอนพักแค่นั่งพักก็เพียงพอ และพยายามนอนหลับให้ได้ 8-10 ชั่วโมง
7. หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดเพื่อไม่ให้เกิดการตีบซ้ำของหลอดเลือดหัวใจในอนาคต ได้แก่
อาหารคอเลสเตอรอลสูง
อาหารบางอย่างอาจดูไม่มีไขมันมาก แต่แฝงไปด้วยคอเลสเตอรอลสูงจนเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ เช่น ปลาหมึก มันกุ้ง เครื่องในสัตว์ หอยนางรม ไข่แดง (ทานไม่เกินสัปดาห์ 3 ฟอง)ไข่นกกระทา เนื้อสัตว์ติดมัน เป็นต้น เพราะการปล่อยให้ร่างกายมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงก็อันตรายต่อหัวใจ เสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวายได้เหมือนกัน
อาหารไขมันสูง
โดยเฉพาะอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันเลวสูงอย่างไขมันจากสัตว์ น้ำมันหมู มันหมู ขาหมู มันไก่ หรือน้ำมันจากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ บรรดาของทอด หรือผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย มาการีน ชีส รวมไปถึงอาหารแปรรูปอย่างไส้กรอก เบคอน แฮม กุนเชียง หมูยอ เป็นต้น อาหารเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณ ไม่ควรกินเยอะ เพราะหากไขมันในเลือดมีปริมาณมาก (เกิน 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันตามผนังเส้นเลือด เพิ่มความเสี่ยงภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ภาวะหัวใจวาย หรือโรคอัมพาตจากเส้นเลือดสมองตีบได้
ไขมันทรานส์
ไม่ถึงกับห้ามแต่อยากให้เลี่ยงการรับประทานเบเกอรี่ต่าง ๆ เช่น คุกกี้ พัฟ พาย เค้ก เพราะในอาหารประเภทนี้มักจะมีไขมันทรานส์แฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมาร์การีน เนยขาว ครีมเทียม หรือน้ำมันที่ผ่านกระบวนการแปรรูป ซึ่งไขมันทรานส์จะเพิ่มปริมาณไขมันเลวในร่างกาย เพิ่มไตรกลีเซอไรด์ กระตุ้นภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด เสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือภาวะหัวใจขาดเลือดได้
อาหารปรุงรส
อาหารรสเค็มจัด เช่น ผงปรุงรส ซอสปรุงรส น้ำจิ้มสำเร็จรูป หรืออาหารดองเค็มอย่างผักดอง กะปิ น้ำปลา ปลาเค็ม หรือเนื้อเค็ม เพราะอาหารรสเค็มมักจะมีโซเดียมสูง
อาหารฟาสต์ฟู้ด
พิซซ่า ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ หรือแฮมเบอร์เกอร์ เป็นอาหารที่หลายคนโปรดปราน แต่เมนูเหล่านี้มีไขมันและคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง และบางอย่างก็แฝงไขมันทรานส์สุดอันตรายไว้ด้วย ดังนั้นหากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยง
8. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง เช่น ข้าวเหนียวทุเรียน ทองหยิบ ทองหยอด ทุเรียน ลำไย น้ำอัดลม เป็นต้น
9. ควรลด ชา กาแฟ
คาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหดตัว เวลาดื่มกาแฟจึงอาจมีอาการใจสั่น กระสับกระส่าย ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ในกาแฟยังมีสารกลุ่มไดเทอร์พีนที่ส่งผลให้คอเลสเตอรอลโดยรวม ไขมันเลว (LDL) คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มขึ้นได้ เพิ่มความเสี่ยงเรื่องไขมันอุดตันเส้นเลือดได้อีกด้วย นอกจากกาแฟแล้วก็ยังมีอาหารอื่น ๆ ที่ควรเลี่ยงเพราะมีคาเฟอีน
10. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์มีผลต่อการทำงานของหัวใจ การดื่มแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดผลเสียต่อกล้ามเนื้อหัวใจได้จากหลายกลไก ได้แก่
- พิษโดยตรงของแอลกอฮอล์ต่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ.
- พิษของสารที่เปลี่ยนรูป (metabolite) จากแอลกอฮอล์ เช่น acetaldehyde, ethylester ต่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ.
- การขาดสารอาหาร เช่น วิตามินบี 1 (thiamine), ซีลิเนียม (selenium) โดยเฉพาะในผู้ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานาน.
- การดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติของระดับเกลือแร่ในเลือด เช่น ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ, ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ, ภาวะฟอสฟอรัสในเลือดต่ำ เป็นต้น.
- พิษจากส่วนผสมของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น โคบอลต์, ตะกั่ว เป็นต้น.
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากพบว่ามีความสัมพันธ์กับอุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่สูงขึ้น เช่น ภาวะความดันเลือดสูง, ภาวะไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง, ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
ในทางกลับกันก็มีหลักฐานจำนวนมากที่แสดงถึงประโยชน์จากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจนถึงปานกลาง (ประมาณ 1 drinks ต่อวัน) โดยทำให้อุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน, ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดลดลง เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย
ประโยชน์ดังกล่าวพบได้ทั้งในวัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุทั้งในเพศชายและหญิงหรือแม้แต่ผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานและได้จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นไวน์, เบียร์ หรือสุรา ถึงแม้ในบางการศึกษาจะแสดงผลดีที่ชัดเจนกว่าบ้างจากการดื่มไวน์
กลไกที่อธิบายผลดีของการดื่มแอลกอฮอล์ต่อการลดลงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน พบว่ามีหลายประการ เช่น ผลที่ทำให้ระดับ HDL-cholesterol เพิ่มขึ้น, มีระดับของapolipoprotein A1 เพิ่มขึ้น, ทำให้มีการลดลงของปัจจัยการแข็งตัวของเลือดต่างๆ (coagulatory factors) ทั้งระดับ fibrinogen ในเลือด, factor VII, von-Willebrand factor รวมทั้งทำให้ plasma viscosity ลดลงด้วย. นอกจากนี้ก็ยังทำให้ thrombolytic profile ดีขึ้นด้วย เช่น มีการเพิ่มของระดับ tissue-type plasminogen activator antigen เป็นต้น
11. ควรรับประทานผักทุกชนิด ผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัด เช่น มะละกอ พุทรา แอปเปิล ฝรั่ง เป็นต้น
12. เลิกสูบบุหรี่อย่างถาวร
การสูบบุหรี่เป็นตัวการสำคัญในการเกิดผนังหลอดเลือดแดงแข็ง
บุหรี่ส่งผลต่อหัวใจโดยตรง ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดที่หัวใจตีบ ความดันเลือดสูงขึ้น โดยเฉพาะสารพิษในควันบุหรี่จะเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและหัวใจ ได้แก่
สารนิโคติน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ทำให้หลอดเลือดแดงที่หัวใจหดเกร็ง ลดความยืดหยุ่นของเส้นเลือด เพิ่มไฟบริโนเจต ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น กระตุ้นเกล็ดเลือดและการเกิดลิ่มเลือด รวมไปถึงลดคอเลสเตอรอลชนิดดี เพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี มีผลในการเกิดผนังหลอดเลือดแดงเสื่อมและมีผนังหลอดเลือดแดงแข็งตามมา
ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ในควันบุหรี่จะเกิดการจับตัวกับเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถปลดปล่อยออกซิเจนออกมาได้ ทำให้เกิดภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ กล้ามเนื้อหัวใจจะได้รับออกซิเจนน้อยลง แรงบีบตัวลดลงส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วและทำงานหนักมากขึ้น อาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจทำให้มีความหนืดของเลือดมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ภาวะเลือดเกิดการแข็งตัวได้ง่าย
13. ปรับการดำเนินชีวิตประจำวันให้เหมาะสม มีเวลาพักผ่อนพอเพียง และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
14. ควรกลับไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อเฝ้าดูอาการ และติดตามผลการรักษาของหลอดเลือดหัวใจ
อาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์
1. มีอาการวิงเวียนศีรษะ หายใจติดขัด หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ ปวดหลัง
2. มีอาการแน่นหน้าอกทันทีเมื่อพัก และอมยาแก้อาการแล้วไม่หาย
3. บริเวณที่ใส่สายมีเลือดออก หรือบวม
4. มีอาการแสดงว่าติดเชื้อ เช่น แผลแดง มีน้ำเหลือง มีไข้ เป็นต้น

โรคหัวใจขาดเลือด โรคนี้ เกิดจากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบหรือตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงลดลงหรือไม่มีเลย เป็นผลทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หากรุนแรงหรือเกิดอย่างฉับพลันอาจถึงขั้นทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายและเสียชีวิตได้

3 – 4 ชั่วโมง หลังหัวใจขาดเลือด เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Best Window ในเวลาดังกล่าวแพทย์ต้องพยายามเปิดหลอดเลือดให้ได้ภายใน 90 นาที เพื่อทำให้กล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ถือว่ามีโอกาสได้คืนอย่างน้อยร้อยละ 60 – 70 แต่ถ้าเลยหลังจากเวลานั้นไปแล้วโอกาสน้อยมาก

cr. chewa.co.th, pitsanuvejphichit.comม nakornthon.com, thaiheartfound.org, kku.ac.th, doctor.or.th