
ศาสดา คือผู้ก่อตั้งศาสนา หรือผู้คิดค้น ริเริ่มในการนำคำสอนไปเผยแผ่
ชื่อ |
ศาสนา |
ช่วงชีวิต |
ภาพ |
โมเสส |
ศาสนายูดาห์ |
ศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสต์ศักราช |
 |
ซาราธุสตรา |
ศาสนาโซโรอัสเตอร์ |
ศตวรรษที่ 11 ถึงศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช |
 |
เล่าจื๊อ |
ลัทธิเต๋า |
ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช |
 |
พระโคตมพุทธเจ้า |
ศาสนาพุทธ |
624-544 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
 |
พระมหาวีระ |
ศาสนาเชน |
599-527 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
 |
ขงจื๊อ |
ลัทธิขงจื๊อ |
551-479 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
 |
พีทาโกรัส |
ลัทธิพีทาโกรัส |
520 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
 |
ม่อจื๊อ |
ลัทธิม่อจื๊อ |
470-390 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
 |
พระเยซู |
ศาสนาคริสต์ |
4-5 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง ค.ศ. 33 |
 |
พระมณี |
ศาสนามาณีกี |
ค.ศ. 210-276 |
 |
มุฮัมมัด |
ศาสนาอิสลาม |
ราว ค.ศ. 570-632 |
 |
หลัว ชิง |
ลัทธิหลัว |
ค.ศ. 1442-1527 |
|
หวง เต๋อฮุย |
ลัทธิเซียนเทียนเต้า |
ค.ศ. 1624–1690 |
|
พระบะฮาอุลลอฮ์ |
ศาสนาบาไฮ |
ค.ศ. 1817-1892 |
 |
พระบาบ |
ศาสนาบาบ |
ค.ศ. 1819-1850 |
 |
หวัง เจฺว๋อี |
ลัทธิอนุตตรธรรม |
ค.ศ. 1821–1884 |
|
พระพรหม |
ศาสนาฮินดู |
คริสต์ศตวรรษที่ 4 |
 |
คุรุนานัก |
ศาสนาซิกข์ |
ค.ศ. 1469-1539 |
 |
อามาเตราซุ |
ชินโต |
ศาสนาชินโตไม่มีศาสดาแต่เชื่อว่ามาจากเทพเจ้าองค์นี้ |
 |

ศาสดาของศาสนาแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ศาสดาของศาสนาเทวนิยม
หมายถึง องค์อวตารหรือศาสนฑูตของพระเจ้าเพราะพระประสงค์ที่จะช่วยกอบกู้มนุษย์ให้พ้นจากบาปหรือความทรมานจึงได้แสดงพระองค์ให้ปรากฏแก่มนุษย์ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1.1 ในฐานะเทพอวตาร (Divine Incarnation)
ที่แปลงกายจากภาคพระเจ้าในสวรรค์ลงมาในร่างกายของมนุษย์ ทำหน้าที่ของตนเสร็จแล้วก็กลับสู่สวรรค์ดังเดิม ได้แก่ เทพอวตารในศาสนาฮินดูที่เรียกว่านารายณ์อวตาร พระเยซูในศาสนาคริสต์ นักบุญจอห์น กล่าวว่าเป็นพระเจ้ากลับกลายเป็นมนุษย์แต่นักศาสนาบางท่าน เช่น ฮีโอโดตุสไม่ยอมรับโดยกล่าวว่าพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลงสู่พระเยซูในขณะรับศีลจุ่ม พระเจ้าจึงไม่ใช่พระเยซู พระเยซูไม่ใช่บุตรของพระเจ้าแต่เป็นบุตรบุญธรรมเท่านั้น
1.2 ในฐานะนักพรตหรือฤาษี (Seers)
ซึ่งบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้าสามารถได้เห็นได้ยินเสียงทิพย์ขณะจิตใจสงบ จดจำคำของเทพเจ้าได้และนำมาจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรกลายเป็นคัมภีร์ทางศาสนาขึ้น เช่น คัมภีร์พระเวท หรือศรุติ คือคัมภีร์ว่าด้วยความรู้ที่ได้มาจากการฟังของฤาษีเหล่านี้คือ กัสยปะ, อรตี, ภารทวาชะและเคาตมะ เป็นต้น ต่อมาท่านนักพรตเหล่านี้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นเทพเจ้าในสวรรค์
1.3 ในฐานะผู้พยากรณ์ (Prophets)
คือผู้ประกาศข่าวดีหรือวรสารของพระเจ้า และทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดกับมนุษย์ในโอกาสต่าง ๆ เช่น ศาสนายิวเชื่อเรื่องพระผู้มาโปรด(Messiah) เช่นโมเสส ซึ่งต่อมาทำให้เกิดศาสนาคริสต์และอิสลามขึ้น ศาสดาพยากรณ์ไม่ได้ตั้ง
ศาสนาขึ้นใหม่แต่ได้นำเทวโองการมาประกาศให้คนทั่วไปปฏิบัติตามในศาสนาคริสต์ถือว่าศาสดาพยากรณ์ทุกองค์ในศาสนายิวคือผู้มาเตรียมทางไว้สำหรับพระเยซูคริสต์ ในศาสนาอิสลามยอมรับว่ามีศาสดาพยากรณ์มาแล้วเป็นอันมาก เช่น โมเสสในศาสนายิว และพระเยซูในศาสนาคริสต์ ศาสดาพยากรณ์หรือนะบีเหล่านั้นคือ ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าแต่ถือท่านนะบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาพยากรณ์องค์สุดท้าย
2. ศาสดาของศาสนาอเทวนิยม
คือมนุษย์ผู้ค้นพบหลักสัจธรรมด้วยตนเอง หรือรวบรวมหลักธรรมคำสอนเสร็จแล้วนำมาประกาศเผยแผ่แก่ผู้อื่น และตั้งศาสนาของตนขึ้นได้โดยสอนให้พึ่งตนเองไม่สอนให้กราบไหว้วิงวอนจากสิ่งภายนอกแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
2.1 พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือท่านตรัสรู้เองโดยชอบเป็นศาสดาในฐานะเป็นครูแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง
2.2 ศาสดามหาพรต (Extremist)
คือศาสดาในศาสนาเชนเรียกอีกอย่างว่า ตีรถังกรมีอยู่ 24 องค์ องค์สุดท้ายนามว่า มหาวีระ สอนเน้นการบำเพ็ญพรตแบบทรมานตนด้วยหลักอหิงสาอย่างยิ่งยวด ปฏิเสธเทวนิยมแบบพราหมณ์ยืนยันชะตากรรมลิขิต
2.3 ศาสดานักปราชญ์ (Scholastic Sages)
คือศาสดาที่ไม่ได้ออกบวชเป็นสมณะหรือนักพรตดำเนินชีวิตอยู่อย่างผู้ครองเรือนแต่สนใจในศาสนาและการปฏิบัติเข้าใจศาสนาแตกฉานรวบรวมระบบจริยธรรมตามที่เป็นแบบโบราณธรรม และหลักปฏิบัติตนในครอบครัวบ้าง เช่น ขงจื้อหรือเล่าจื้อ เป็นต้น
ศาสนาคริสต์
ศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู พระเยซูประสูติเมื่อ ปี ค.ศ. 1 เป็นบุตรชายของนางมารีย์ และโยเซฟ ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่นาซาเรธ แคว้นกาลิลี
ตามความเชื่อของคริสตชน พระเยซูเป็นหนึ่งใน “ตรีเอกานุภาพ” อันประกอบด้วย “พระบิดา” “พระบุตร” และ “พระจิต” โดยพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงมาปรากฎตัวขึ้นในโลกด้วยโองการของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อช่วยเหลือและนำพาให้ผู้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง จึงเรียกขานพระเยซูว่า พระผู้ช่วยให้รอด หรือ “พระเมสสิอาห์”
พระเยซู (Jesus) หรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ (Jesus of Nazareth; 4-2 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30-33) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกพระองค์ว่า พระเยซูคริสต์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ นอกจากนี้ในคัมภีร์ไบเบิลยังบันทึกว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ทรงรักษาคนตาบอดให้หายขาด รักษาคนพิการ โดยตรัสว่า บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายหลังสิ้นพระชนม์ได้เพียง 3 วัน และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
พระเยซู นับถือศาสนายูดาห์ (ศาสนายูดาห์มีพระเจ้าสูงสุด คือ พระยาห์เวห์ โดยชาวยิวมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์คู่แรกเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล และถือว่าโมเสสคือศาสดา ให้กำเนิดศาสนายูดาห์เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล) ตลอดพระชนม์ชีพ หลังจากการตรึงพระเยซูที่กางเขน สาวกของพระองค์ได้แยกออกไปเป็นศาสนาคริสต์ในปัจจุบัน
"เยซู" มาจากคำในภาษากรีกคือ "เยซุส" ซึ่พระเยซู นับถือศาสนายูดาห์ตลอดพระชนม์ชีพ หลังจากการตรึงพระเยซูที่กางเขน สาวกของพระองค์ได้แยกออกไปเป็นศาสนาคริสต์ในปัจจุบันงมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาแอราเมอิกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า "ยาซูอฺ" ตามภาษาซีรีแอก
ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า "อีซา" ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ "ผู้ช่วยให้รอด" เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมา
ภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้

ส่วนคำว่า "คริสต์" เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า "คริสตอส" [Christos] ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง "ผู้ได้รับการเจิม" ชาวอาหรับเรียกว่า "มะซีฮฺ" ซึ่งหมายถึงการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สูงส่ง เช่น พระมหากษัตริย์ ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ เป็นต้น
ราชอาณาจักรยูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิ้นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้นชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า "พระคริสต์" จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัวบุคคล ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่านมักเรียกพระองค์ว่า "พระเยซู" และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น "พระเยซูชาวนาซาเรธ" หรือ "พระเยซูบุตรของโยเซฟ" แต่นักบุญเปาโลหรือเปาโลอัครทูตมักเรียกพระองค์ว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเยซูคริสต์" ที่เรียกว่า "พระคริสต์เยซู" ก็มี
ศาสนาเดิมของยิว

ยิวเชื่อว่าโลกนี้มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น คือ พระยะโฮวาห์ ศาสนายูดาห์ หรือศาสนายิว คือวิถีชีวิต ปรัชญา และศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ตามความเชื่อของชาวยิว โดยชาวยิวมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์คู่แรกเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล และถือว่าโมเสสคือศาสดา ให้กำเนิดศาสนายูดาห์เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และยังมีบุคคลสำคัญ เช่น อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ ยูดาห์ ผู้เผยพระวจนะท่านอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ฯลฯ เป็นต้น ศาสนายูดาห์มีความเป็นมายาวนานกว่าสี่พันปี (นับจากสมัยอับราฮัม) จึงถือเป็นศาสนาเอกเทวนิยมที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน
โยเซฟ (Joseph) แปลตรงตัว 'เพิ่มขึ้น เป็นบุคคลสำคัญที่ปรากฏในคำภีร์ไบเบิลบทปฐมกาล

โยเซฟ เป็นบุตรชายคนที่ 11 ของยาโคบ กับนางราเชล ซึ่งต่อมาเขาถูกขายเป็นทาสโดยบรรดาพี่ชายที่อิจฉา และได้ก้าวขึ้นกลายเป็นวิเซียร์(อัครมหาเสนาบดี) ซึ่งเป็นตำแหน่งลำดับที่สองที่ทรงอำนาจมากในอียิปต์ต่อจากฟาโรห์ เมื่อการปรากฏตัวและรับรู้ถึงที่ทำงานของเขาทำให้บรรดาชาวอิสราเอลออกจากดินแดนคะนาอันและตั้งถิ่นฐานที่อียิปต์ ฟาโรห์ก็ได้ตั้งชิ่อให้เขาใหม่ นามว่า "Zaphnath-Paaneah" ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล และช่วงเวลาสามเดือนของศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักวิชาการคาดประมาณวันช่วงเวลาในคำภีร์ไบเบิลบทปฐมกาล
ในธรรมเนียมของศาสนา โยเซฟได้รับการนับถือว่าเป็นบรรพบุรุษของเมสสิยาห์อีกคนที่ถูกเรียกว่า "Mashiach ben Yosef", ตามที่ได้กล่าวไว้ว่า เขาจะทำสงครามกับกองทัพชั่วร้ายเคียงข้างกับ Mashiach ben David และตายในการรบกับศัตรูของพระเจ้าและอิสราเอล
คำสอนของพระเยซู
พระเยซุมิใช่ผู้ที่เกิดมาเพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น และก็มิใช่ผู้ที่มีข้อคิดคำสอนลึกซึ้งเป็นพิเศษ อีกทั้งมิใช่ผู้ที่นิยมการบำเพ็ญทุกกรกิริยา
แต่ตรงกันข้ามกับทรงนิยมสิ่งที่ดีงามในโลกนี้ ต้องการความสุขความบันเทิงโดยไม่จำเป็นต้องมีการแข่งขัน ไม่ชอบความทารุณโหดร้าย ความโอ้อวด
หรือความหยาบคาย คำสอนของพระองค์ที่แฝงความเข้มแข็งไว้อย่างลึกซึ้ง เช่น
“อย่าคิดว่าข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างสันติให้แก่โลกเท่านั้น ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างสันติสุข แต่ยังส่งดาบให้ท่านด้วย”

ความรักในคัมภีร์ไบเบิล ทรงตรัสว่า
“จงรักศรัตรูของท่านและอธิฐาน เพื่อที่ผู้ข่มเหงเบียดเบียนของท่าน ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่เบียดเบียนท่านทนั้น ท่านจะหวังบำเหน็จรางวัล จากพระเจ้าได้อย่างไร เพราะตคนชั่วเลวทรามก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน”
การช่วยเหลือผู้อื่น
“เมื่อท่านทำทานจงอย่าร้องอวดอ้างผู้อื่น เมื่อท่านให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลคนหนึ่งคนใด จงอย่าแพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้ เสมือนหนึ่งไม่ยอมให้มือซ้ายรู้ถึงกิจการที่มือขวากระทำ"
การให้อภัยซึ่งกันและกัน
“ถ้าท่านยกโทษให้แก่ผู้กระทำผิดต่อท่านพระบิดาของท่านผู้ซึ่งอยู่ในสรวงสวรรค์ก็จะยกโทษให้แก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยอมยกโทษให้แก่เขา พระองค์ก็จะไม่ทรงโปรดยกโทษให้แก่ท่านเช่นเดียวกัน”

จริยธรรมในคำสอนเน้นความประพฤติที่ถูกต้อง ความซื่อสัตย์และความมีมนุษยธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมสูง 1) การไถ่มนุษย์ออกจากบาป
2) ความเสียสละของพระเจ้า
3) มนุษย์ได้รับการปลดปล่อยให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า
4) พระเจ้าทรงประทานพระบุตรมาชั่วคราวเพื่อสอนศีลธรรมให้มนุษย์
หลักธรรมที่สำคัญของศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์มีหลักธรรมที่หล่อหลอมให้คริสต์ศาสนิกชนมีจิตเมตตา มีความรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง
1. บัญญัติ 10 ประการ
1) อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกจากเรา
2) อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนหรือกราบไว้รูปเหล่านั้น
3) อย่าเอ่ยพระนามของพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
4) จงถือวันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์
5) จงนับถือบิดามารดา
6) อย่าฆ่าคน
7) อย่าผิดประเวณี
8) อย่าลักทรัพย์
9) อย่าคิดมิชอบ
10) อย่าโลภสิ่งใดของผู้อื่น
2. หลักอาณาจักรพระเจ้า อาณาจักรพระเจ้าเป็นอาณาจักรที่มีแต่ความสุข เป็นอาณาจักรแห่งความรักอย่างแท้จริง
3. หลักคำสอนที่สำคัญอื่น ๆ
3.1 หลักตรีเอกานุภาพ ได้แก่
1) พระเจ้าหรือพระบิดา
2) พระเยซูหรือพระบุตร
3) พระจิตหรือดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าทั้งสาม
3.2 หลักความรัก ศาสนาคริสต์ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งความรัก พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้รักเพื่อน มนุษย์เหมือนรักตัวเอง ให้รักแม้กระทั่งศัตรู

ศาสนาอิสลาม
ศาสดาของศาสนาอิสลามคือนบีมุฮัมมัด ศาสนาอิสลาม (Islam) เป็นศาสนาเอกเทวนิยมและศาสนาอับราฮัม บัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามซึ่งสาวกถือว่าเป็นพระวจนะคำต่อคำของพระเป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) และสำหรับสาวกส่วนใหญ่ เป็นคำสอนและตัวอย่างเชิงบรรทัดฐาน
มุฮัมมัด เคยนับถือศาสนาเก่าแก่ของอาหรับที่เรียกว่า "ฮานีฟียะฮ์" คล้าย ๆ กับศาสนาของอิบรอฮีมและอิชมาเอล เปลี่ยนศาสนาเมื่อเริ่มประกาศธรรมเมื่ออายุ 40 ปี
มุสลิมเชื่อว่าการสรรสร้างทุกสิ่งในเอกภาพถูกทำให้มีโดยพระโองการบริบูรณ์ของพระเป็นเจ้า "จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา" และความมุ่งหมายของการดำรงอยู่คือเพื่อบูชาพระเป็นเจ้า มองว่าพระองค์เป็นพระเป็นเจ้าเฉพาะบุคคลซึ่งทรงสนองเมื่อใดก็ตามที่บุคคลต้องการหรือเป็นทุกข์เรียกหาพระองค์ ไม่มีคนกลาง เช่น นักบวช เพื่อติดต่อพระเป็นเจ้าซึ่งว่า "เรานั้นใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นโลหิตชีวิตของเขาเสียอีก"

ศาสนาอิสลามในความหมายของอัล-กุรอานนั้น หมายถึง "แนวทางในการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์จะปราศจากมันไม่ได้"

อัลลอฮ์ ตรัสเกี่ยวกับศาสนาอิสลามว่า "แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺ คืออิสลาม และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มิได้ขัดแย้งกัน นอกจากภายหลังที่ความรู้มาปรากฏแก่พวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้ แน่นอน อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ" (อัลกุรอาน อาลิอิมรอน:19)
หลักคำสอนสำคัญที่ถือว่าเป็นโครงสร้างสำคัญ 2 ประการคือหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ ได้แก่
1. หลักศรัทธา 6 ประการ

1) ศรัทธาในอัลเลาะห์ มีความเชื่อมั่นในอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว

2) ศรัทธาในเทพบริวารหรือเทวทูต
3) ศรัทธาในพระคัมภีร์กุรอ่าน

4) ศรัทธาต่อศาสนทูต

5) ศรัทธาในวันสิ้นสุดโลก
6) ศรัทธาต่อกฎสภาวการณ์ของอัลเลาะห์
2. หลักปฏิบัติตามศรัทธา 5 ประการ ได้แก่

1) การปฏิญาณตน หมายถึง การปฏิญาณตนด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่ออัลเลาะห์และท่าน นบีมูฮัมหมัด คือศาสนทูตของอัลเลาะห์
2) การนมาซ หมายถึง การแสดงความเคารพต่อพระเจ้าทั้งกาย วาจา ใจ

3) การบริจาคซะกาต หมายถึง การจ่ายทานจากผู้มีทรัพย์สิน คนผู้มีสิทธิ์รับซะกาตมี คนอนาถา คนขัดสน และผู้เข้ารับอิสลาม

4) การถือศีลอด หมายถึง การละเว้นจากการบริโภคอาหาร น้ำ ละกิเลสต่าง ๆ ทำใจให้สงบ
ปฏิบัติตั้งแต่แสงอาทิตย์ขึ้นจนแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หลังจากนั้นจึงบริโภคได้ปกติตลอดคืน การถือศีลอดโดยทั่วไป เรียกว่า “ถือบวช”

5) การทำพิธีฮัจญ์ คือ การเดินทางไปแสดงบุญที่นครเมกกะฮ์
หลักการศรัทธา
สติปัญญาและสามัญสำนึกจะพบว่า จักรวาลและมวลสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มิได้อุบัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นที่แน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกอุบัติขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงสุดเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่แบ่งภาค หรือแบ่งแยกเป็นสิ่งใด ไม่ถูกบังเกิด ไม่ถูกกำเนิด และไม่ให้กำเนิดบุตร ธิดาใด ๆ ผู้ทรงสร้าง และบริหารสรรพสิ่งด้วยอำนาจและความรอบรู้ที่ไร้ขอบเขต ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ที่โดยทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไว้ทั่วทั้งจักรวาลหรือที่เข้าใจว่าเป็น"กฎธรรมชาติ" ทรงขับเคลื่อนจักรวาลด้วยระบบที่ละเอียดอ่อน มีเป้าหมาย ซึ่งไม่มีสรรพสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้สาระ
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างประเสริฐจะเป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์จะปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ไปตามลำพัง โดยไม่ทรงเหลียวแล หรือปล่อยให้สังคมมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต กำเนิดขึ้น แล้วดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง สภาวะแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่จึงเป็นความพอดีอย่างทีสุดที่ผู้ใช้ปัญญา ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย"ความบังเอิญ" สอดคล้องตามทฤษฎีความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์
พระองค์ทรงขจัดความสงสัยเหล่านี้ ด้วยการประทานกฎการปฏิบัติต่าง ๆ ผ่านบรรดาศาสดา ให้มาสั่งสอนและแนะนำมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติ สำหรับการดำเนินชีวิต แน่นอนมนุษย์อาจมองไม่เห็นผล หรือได้รับประโยชน์จากการทำความดี หรือได้รับโทษจากการทำชั่ว ของตนในชีวิตบนโลกนี้ ที่เป็นเพียงโลกแห่งการทดสอบ โลกแห่งการตอบแทนที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
หลักจริยธรรม
ศาสนาสอนว่า ในการดำเนินชีวิตจงเลือกสรรเฉพาะสิ่งที่ดี อันเป็นที่ยอมรับของสังคม จงทำตนให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในศีลธรรม พัฒนาตนเองไปสู่การมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นคนที่รู้จักหน้าที่ ห่วงใย มีเมตตา มีความรัก ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น รู้จักปกป้องสิทธิของตน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เป็นผู้มีความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว และหมั่นใฝ่หาความรู้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของผู้มีจริยธรรม ซึ่งความสมบูรณ์ทั้งหมดอยู่ที่ความยุติธรรม
หลักการปฏิบัติ
ศาสนาสอนว่า กิจการงานต่าง ๆ ที่จะทำนั้น มีความเหมาะสมกับตนเองและสังคม ขณะเดียวกันต้องออกห่างจากการงานที่ไม่ดี ที่สร้างความเสื่อมเสียอย่างสิ้นเชิง
ส่วนการประกอบคุณงามความดีอื่น ๆ การถือศีลอด การนมาซ และสิ่งที่คล้ายคลึงกับสิ่งเหล่านี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเป็นบ่าวที่จงรักภักดี และปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ กฎเกณฑ์และคำสอนของศาสนา ทำหน้าที่คอยควบคุมความประพฤติของมนุษย์ ทั้งที่เป็นหลักศรัทธา หลักปฏิบัติและจริยธรรม
นิกายของศาสนาอิสลาม
นิกายของศาสนาอิสลามนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายสายแต่ที่มีความโดดเด่นที่สุดคือสาย ซุนนีย์และชีอะฮ
นิกายซุนี
คือ นิกายของศาสนาอิสลามที่ชาวมุสลิมส่วนมากนับถือกัน และยึดแบบอย่างตามคัมภีร์อัลกรุอ่านของอัลลอฮและนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล)
ก่อนที่ท่านนบีมูฮัมหมัดจะสิ้นอายุไขนั้นท่านไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดขึ้นและสานต่อหน้าที่ของท่าน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมในยุคนั้นต้องแต่งตั้งกันเอง
นิกายชีอะ
พวกเขาเชื่อว่าก่อนที่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล)จะสิ้นอายุไขนั้นท่านได้แต่งตั้งตัวแทนของท่านไว้แล้วคือ ท่านอาลี และพวกเขายังเชื่ออีกว่า ท่านอาลี เป็นศาสดาของศาสนาอิสลามคนหนึ่งที่อัลลอฮได้แต่งตั้งเอาไว้
ศาสนาฮินดู (พราหมณ์-ฮินดู)

ศาสนาฮินดูไม่มีศาสดาหรือผู้ริเริ่มตั้งศาสนา แต่ผู้เผยแผ่คำภีร์พระเวท ยุคแรกเริ่มคือ ฤๅษีวยาส ท่านเปรียบเสมือนเป็นศาสดาคนหนึ่ง "การสังเคราะห์ศาสนาฮินดู" (Hindu synthesis) นี้เริ่มมีขึ้นระหว่างราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศักราช 300 ภายหลังการสิ้นสุดลงของยุคพระเวท (1500 ถึง 500 ก่อนคริสตกาล), และเจริญรุ่งเรืองในอินเดียสมัยกลางไปพร้อมกับการเสื่อมของศาสนาพุทธในอนุทวีปอินเดีย
ศาสนาฮินดู หรือในเอกสารภาษาไทยนิยมใช้คำว่า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาหนึ่งในกลุ่มศาสนาอินเดีย และเป็นธรรมะหรือแนวทางการใช้ชีวิตของผู้คน
ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู เกิดในเอเชียใต้ คือ ประเทศอินเดียเมื่อประมาณ 1400 ปีก่อนคริสตศักราช เกิดจากพวกอารยันที่อพยพเข้ามาในประเทศอินเดีย เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก พระเวทเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นศาสนาอินดูจนถึงปัจจุบัน

สาระสำคัญในศาสนาฮินดูคือ "ปุรุษารถะ" ทั้งสี่ อันเป็นจุดมุ่งหมายอันสมควรในชีวิตของมุนษย์ ได้แก่
ธรรมะ (หน้าที่/จริยธรรม)
" ไม่มีสิ่งใดเหนือยิ่งกว่าธรรมะ ผู้ที่อ่อนแอจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ก็ด้วยธรรมะ ธรรมะนั้นคือความจริง (สัตยะ) อย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้ใดพูดความจริง เป็นอันเรียกได้ว่าเขาผู้นั้น "ได้เปล่งวาจาของธรรมะ!" เพราะทั้งคู่ (ความจริง และ ธรรมะ) เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน "
อรรถะ (การเจริญเติบโต/หน้าที่การงาน),
คือ การแสวงหาความมั่งคั่งอย่างมีเป้าหมายและมีคุณธรรม เพื่อการดำรงชีวิต ภาระผูกพัน และความมั่งคั่งทางทรัพย์สิน
กามะ (ประสงค์/แรงจูงใจ)
กาม แปลว่า ความปรารถนา, ความรัก, ชอบ, หลงใหล ทั้งมีและปราศจากความคิดเชิงชู้สาวและอารมณ์ทางเพศ และหมายถึงความสุข ความยินดี อันเกิดจากสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกาย[38][39] ในศาสนาฮินดู กามะถือเป็นส่วนจำเป็นที่ช่วยให้ชีวิตคงอยู่ได้อย่างแข็งแรง
โมกษะ (การหลุดพ้น/การเป็นอิสระจากการเวียนว่ายตายเกิด)
โมกษะ หรือ มุขติ ถือเป็นเป้าหมายสูงที่สุดในศาสนาฮินดู โมกษะอาจหมายถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์ และจากสังสาระ (การเวียนว่ายตายเกิด)
หรือเรียกอีกอย่างว่า การเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า, การเข้าสู่ความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล, การละทิ้งความเห็นแก่ตัวจนสิ้น, การหลุดพ้นจากสังสาระ ซึ่งคือการไม่เกิดอีก การไม่ทุกข์อีก
นิกายศาสนาฮินดู
ศาสนาฮินดูมีหลายนิกายมาก มีนิกายหลักๆ คือ
นิกายไวษณพ
บูชาพระวิษณุ และปางอวตารของพระองค์ โดยเฉพาะ พระกฤษณะ และ พระราม ลักษณะของนิกายนี้โดยทั่วไป ไม่ใช่ลักษณะนักพรตติดอาราม แต่มุ่งเน้นไปที่กิจกรรมชุมชนและการปฏิบัติที่นับถือศรัทธา ความรักสนุกนี้มีที่มาจากการสื่อนัย ๆ ถึงลักษณะอัน "ขี้เล่น ร่าเริง และสนุกสนาน"

นิกายไศวะ
มุ่งเน้นที่พระศิวะ ศาสนิกชนไศวะมีแนวโน้มไปทางปัจเจกพรตนิยม แนวทางปฏิบัติของไศวะรวมถึงการศรัทธาแบบภักติ แต่ความเชื่อโน้มเอียงมาทางนิกายแบบโยคะ ไศวะมีทั้งกลุ่มที่นิยมบูชาในศาสนสถาน

นิกายธิศักติ
บูชาเทวีหรือศักติเป็นพระมารดาของจักรวาล เทวีที่บูชานั้นมีรูปลักษณ์ตั้งแต่พระแม่ปราวตี ซึ่งทรงอ่อนโยนไปจนถึงองค์ที่มีพระลักษณะดุดันเช่น พระแม่ทุรคา และ พระแม่กาลี ศาสนิกชนเชื่อว่าศักติเป็นพลังอำนาจที่คอยรองรับความเป็นบุรุษ

นิกายสมารตะ
บูชาเทพเจ้าฮินดูองค์หลัก ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ พระศิวะ, พระวิษณุ, องค์ศักติ, พระคเนศ, พระสุริยะ และ พระการติเกยะ

คัมภีร์พระเวท เดิมมี 3 คัมภีร์ เรียกว่า "ไตรเวท" ต่อมาเพิ่มเป็น 4..

1. ฤคเวท
เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดสดุดีพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย บรรดาเทพเจ้าที่ปรากฏในฤคเวทสัมหิตามีจำนวน 33 องค์ ทั้ง 33 องค์ ได้จัดแบ่งตามลักษณะของที่อยู่เป็น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าที่อยู่ในอากาศ และเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์ มีจำนวนกลุ่มละ 11 องค์

2. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยสูตรสำหรับใช้ในการประกอบยัญพิธียชุเวทสัมหิตา แบ่งออกเป็น 2 แขนง คือ
2.1 ศุกลชุรเวท หรือ ยชุรเวทขาว ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์ หรือคำสวดและสูตรที่ต้องสวด
2.2 กฤษณยชุรเวท หรือ ยชุรเวทดำ ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์และคำแนะนำเกี่ยวกับการประกอบยัญพิธีบวงสรวง ตลอดทั้งคำอธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย

3. สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์อันเป็นบทสวดขับร้อง บทสวดในสามเวทสัมหิตามีจำนวน 1,549 บท ในจำนวนนี้มีเพียง 75 บท ที่มิได้ปรากฏในฤคเวท
ต่อมาได้เพิ่ม

4. อรรถเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่าง ๆ
หลักธรรมที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู คือ
หลักธรรม 10 ประการ เรียกว่า ฮินดูธรรม ได้แก่
1) ธฤติ ได้แก่ ความมั่นคง ความกล้าหาญ คือเพียรพยายามจนสำเร็จ ประโยชน์ตามที่ประสงค์
2) กษมา ได้แก่ ความอดทน หรืออดกลั้น คือมีความพากเพียรพยายาม
3) ทมะ ได้แก่ การระงับใจ การข่มจิตใจ คือไม่ปล่อยใจให้หวั่นไหว
4) อัสเตยะ ได้แก่ การไม่ลักขโมย ไม่ทำโจรกรรม
5) เศาจะ ได้แก่ ความบริสุทธิ์ การทำตนให้บริสุทธิ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
6) อินทรียนิครหะ ได้แก่ การระงับอินทรีย์ 10 ประการ คือ หมั่นสำรวจตรวจสอบตนเองอยู่เสมอว่า อินทรีย์ทั้ง 10 เหล่านั้นได้รับการบริหารหรือใช้ไปในทางที่ถูกที่ควรหรือไม่ จุดประสงค์คือไม่ต้องการให้มนุษย์ ปล่อยอินทรย์มัวเมาจนเกินไปให้รู้จักพอ
7) ธี ได้แก่ ปัญหา สติ ความคิด คือ มีความรู้ความเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ธรรมะ สังคม และวัฒนธรรม
8) วิทยา ได้แก่ ความรู้ทางปรัชญา คือ มีความรู้ลึกซึ้ง
9) สัตยะ ได้แก่ ความจริง ความเห็นอันบริสุทธิ์ คือมีความจริงใจให้กัน
10) อโกธะ ได้แก่ ความไม่โกรธ คือมีขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม นั่นคือ เอาชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ ไม่อาฆาตมุ่งร้ายต่อใคร
ศาสนาพุทธ

ศาสดาของศาสนาพุทธ คือ พระโคตมพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ
พระโคตมพุทธเจ้า เคยนับถือศาสนาฮินดู-พราหมณ์ เมื่อตรัสรู้ขณะพระชนมายุ 35 พรรษาได้ทรงประกาศศาสนาพุทธจนปรินิพพาน
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาอเทวนิยม (เชื่อในกฎธรรมชาติ) ที่มีอายุกว่า 2,500 ปี

องค์ประกอบพระพุทธศาสนา
พระรัตนตรัย คือ สรณะที่พึ่งอันประเสริฐในศาสนาพุทธ
สรณะ หมายถึง สิ่งที่ให้ศาสนิกชนถือเอาเป็นแบบอย่าง หรือให้เอาเป็นตัวอย่าง แต่มิได้หมายความว่าเมื่อเคารพแล้วจะดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการได้
พระรัตนตรัยนั้นประกอบด้วยองค์สาม (ไตรสรณะ) ได้แก่

1. พระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่บำเพ็ญสั่งสมบารมีมาหลายภพชาติ[14] จนชาติสุดท้ายเกิดเป็นมนุษย์แล้วอาศัยความเพียรพยายามและสติปัญญาปฏิบัติจนได้บรรลุสิ่งที่ต้องการคือธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ แล้วจึงทรงชี้แนะหรือชี้ทางให้คนอื่นทำตาม

2. พระธรรม คือ คำสอนว่าด้วยธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วว่าทำให้พ้นจากทุกข์

3. พระสงฆ์ คือหมู่ชนหรือชุมชนของพระสาวก ไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดา ที่ทำตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าแล้ว ประสบผลสำเร็จพ้นทุกข์ตามพระพุทธเจ้า

หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา
การบันทึกพระธรรมและพระวินัยเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นภาษาบาลี รักษาไว้ในคัมภีร์เรียกว่า "พระไตรปิฎก" ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น 3 หมวดหลัก ได้แก่
1. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
2. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมทั่วไป และเรื่องราวต่าง ๆ
3. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ธรรม หรือธรรมะที่แสดงถึงสภาวะล้วน ๆ ไม่มีการสมมุ
พระพุทธศาสนา มีหลักธรรมที่สำคัญที่หล่อหลอมให้พุทธศาสนิกชนเป็นคนรักสันติ รักอิสระเสรี มีนิสัยโอบอ้อมอารี มีเมตตากรุณาต่อกัน ได้แก่

1) สังคหวัตถุ 4
หมายถึง หลักธรรมสำหรับสงเคราะห์หรือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของคนในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ได้แก่
(1) ทาน คือ การให้ แบ่งปัน เสียสละ เผื่อแผ่
(2) ปิยวาจา คือ การกล่าววาจาสุภาพ อ่อนหวาน
(3) อัตถจริยา คือ การกระทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
(4) สมานัตตตา คือ การวางตัวเหมาะสม เสมอต้น เสมอปลาย

2) พรหมวิหาร 4
หมายถึง ธรรมประจำใจที่ทำให้เป็นพรหมหรือให้เสมอด้วยพรหมในทางปฏิบัติ หมายถึง
คุณธรรมของผู้ใหญ่ ซึ่งต้องมีประจำในอยู่ตลอดเวลา มี 4 ประการ ดังนี้
(1) เมตตา คือ ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
(2) กรุณา คือ ความสงสาร มีความปรารถนาช่วยผู้อื่นหรือสัตว์ที่ประสบความทุกข์ให้พ้นทุกข์
(3) มุทิตา คือ ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
(4) อุเบกขา คือ ความวางเฉย หรือความรู้สึกเป็นกลาง ๆ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจเมื่อเห็นผู้อื่นประสบความสุข
หรือความทุกข์
3) สัปปรุริสธรรม 7
หมายถึง หลักธรรมของคนดี หรือหลักธรรมของสัตบุรุษ 7 ประการ ได้แก่

(1) ธัมมัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักเหตุ
(2) อัตถัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักผล
(3) อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักตน
(4) มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
(5) กาลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา
(6) ปริสัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติ การปรับตนและแก้ไขตนให้เหมาะสม
(7) ปุคคลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบุคคลซึ่งมีความแตกต่างกัน
4) อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ
1) ทุกข์ คือ ความจริงที่ว่าด้วยความทุกข์
2) สมุทัย คือ ความจริงที่ว่าด้วยเหตุให้เกิดทุกข์
3) นิโรธ คือ ความจริงที่ว่าด้วยความดับทุกข์
4) มรรค คือความจริงที่ว่าด้วยทางแห่งความดับทุกข์
ทุกข์ (เรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์)
ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เกิดจาก ขันธ์ 5
- รูป คือ ส่วนประกอบของชีวิตเป็นร่างกาย
- เวทนา คือ ความรู้สึกของกายและใจที่เกิดขึ้นต่อสิ่งที่รับรู้นั้นๆ (คือรู้ทางตาที่เกิดจากการได้เห็น, รู้ทางหูที่เกิดจากการได้ยินได้ฟัง, รู้ทางจมูกที่เกิดจากได้กลิ่น, รู้ทางลิ้นที่เกิดจากการได้ลิ้มรส, รู้ทางกายที่เกิดจากการได้สัมผัส, รู้ทางใจที่เกิดจากการได้คิด)
- สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้สัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และนึกคิด
- สังขาร คือ การที่จิตของคนเราคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดี ทางที่ชั่ว หรือทางที่ไม่ดีและไม่ชั่ว (การคิดกลางๆ)
- วิญญาณ คือ การรับรู้อารมณ์ (ความรู้สึก)ของใจผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
การรับรู้อารมณ์ทางตา หรือ การเห็น
การรับรู้อารมณ์ทางหู หรือ การได้ยิน
การรับรู้อารมณ์ทางจมูก หรือ การได้กลิ่น
การรับรู้อารมณ์ทางลิ้น หรือ การลิ้มรส
การรับรู้อารมณ์ทางกาย หรือ การสัมผัสทางกาย
การรับรู้อารมณ์ทางใจ หรือ การคิด
สมุทัย (สาเหตุเกิดจากอะไร)
สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์ หรือทุกข์เกิดจากอะไร โดยใช้
1) วิบัติ 4 คือ ความบกพร่อง 4 ประการ ดังนี้
- คติวิบัติ คือ เกิดอยู่ในภพ ถิ่น หรือประเทศที่ไม่เจริญ
- อุปธวิบัติ คือ เกิดมามีร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สง่างาม
- กาลวิบัติ คือ เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีทุกข์เข็ญ ยกย่องคนชั่ว บีบคั่นคนดี ไม่มีศีลธรรม
- ปโยควิบัติ คือ การทำงานไม่ครบถ้วนไม่ต่อเนื่อง ทำครึ่งๆกลางๆ ไม่ตรงกับความถนัดหรือความสามารถของตน
2) อกุศลกรรมบถ 10 หมายถึง ทางแห่งความชั่ว หรือ กรรมชั่วอันเป็นทางไปสู่ความเสื่อมและความทุกข์ การทำความชั่ว แบ่งได้ 3 ทาง
(1) การทำความชั่วทางกาย มี 3 ประการ ดังนี้
- ปาณาติบาต คือ การฆ่าสัตว์ หรือการทำให้ชีวิตสัตว์โลกถึงแก่ความตาย
- อทินนาทาน คือ การลักขโมยของผู้อื่น หรือ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ รวมถึง การฉ้อโกง การยักยอก การหลอกลวง
- กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในสามี ภรรยา บุตร ธิดาของผู้อื่น
(2) การทำความชั่วทางวาจา มี 4 ประการ คือ
- มุสาวาท คือ การพูดเท็จ พูดสิ่งที่ไม่จริงโดยที่ตนรู้ว่าไม่จริง รวมถึงการพูดกำกวมเพื่อหลอกลวงผู้อื่น
- ปิสุณาวาจา คือ การพูดส่อเสียด พูดกระทบกระเทียบเหน็บแนม เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บใจ การพูดส่อเสียดมักเกิดจากความอิจฉา
- ผรุสาวาจา คือ การพูดคำหยาบ การพูดหยาบก่อให้เกิดความแตกร้าว ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
- สัมผัปปลาปะ คือ การพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์แก่ใครไม่ว่าตนเองหรือผู้อื่น
(3) การทำความชั่วทางใจ มี 3 ประการ คือ
- อภิชฌา คือ การคิดเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น โดยไม่นึกว่าของใครใครก็หวง แม้ยังมิได้ลงมือขโมยแต่ก็ทำให้จิตใจเสื่อม
- พยาบาท คือ การคิดร้ายต่อผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นเจ็บปวด เสยหาย ประสงค์ร้าย ความคิดร้ายนั้นจะบั่นทอนความสามารถและความดีของตนเอง
- มิจฉาทิฐิ คือ ความเห็นผิดจากคลองธรรม เช่น ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
3) อบายมุข 6 หมายถึง ทางแห่งความเสื่อม มี 6 ประการ
(1) ติดสุราและของมึนเมา มีโทษดังนี้
- ทำให้เสียทรัพย์
- ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันและบางครั้งถึงกับฆ่ากัน
- เป็นบ่อเกิดแห่งโรค เพราะทำให้เสียสุขภาพ บั่นทอนกำลังกาย - ทำให้เสียเกียรติยศและชื่อเสียง
- ทำให้เป็นหน้าด้านไม่รู้จักอาย
- บั่นทอนกำลังสติปัญญา
(2) ชอบเที่ยวกลางคืน มีโทษดังนี้
- เป็นการไม่รักตัว เพราะทำให้ร่างกายและจิตใจไม่ปกติไม่อาจประกอบอาชีพการงานได้ตามปกติ และต้องเสียเงินรักษาตัวโดยไม่จำเป็น
- เป็นการไม่รักลูกเมียหรือครอบครัว เพราะทำให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น - เป็นการไม่รักษาทรัพย์สมบัติ เพราะเป็นการจ่ายเงินโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่หมดไป
- เป็นที่ระแวงสงสัยของผู้อื่น ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในการทำงาน เช่น หัวหน้าจะไม่ไว้ใจว่าจะทำงานได้ดี หรือลูกน้องไม่เลื่อมใส
- เป็นเป้าหมายให้เขาใส่ความได้ เพราะทำอะไรผิดเล็กน้อย คนก็จะหาว่าเพราะเที่ยวมาก จึงเป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่อาจมิใช่ก็ได้
- เป็นที่มาของความเดือดร้อนนานาชนิด เพราะเมื่อเที่ยวจนหมดเงิน อาจคิดการทุจริต หรืออารมณ์เสียบ่อยๆ ทำให้ครอบครัวแตกแยก
(3) ชอบเที่ยวดูการละเล่น มีโทษ คือ ทำให้ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะเล่น ไม่เป็นอันทำมาหากิจ เสียทั้งเวลา เสียงทั้งเงิน ทำให้คนเชื่อถือน้อยลง ถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาการเอางาน
(4) ติดการพนัน มีโทษดังนี้
- เมื่อชนะย่อมก่อเวร คือ เมื่อเล่นได้ก็ย่อมมีคนอยากแก้มือเรียกร้องให้เล่นอีก
- เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ เพราะเมื่อเล่นเสีย จิตใจก็บังเกิดความเสียดายทรัพย์
- ทรัพย์สินย่อมเสียหาย เพราะเงินที่ได้มานั้นมักเก็บไว้ได้ไม่นาน เรียกเงินร้อน ต้องใช้จ่ายจนหมด
- ไม่ใครเชื่อถือ เพราะผู้อื่นย่อมขาดความเชื่อถือในถ้อยคำ มักถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง
- เพื่อนฝูงดูหมิ่น ไม่อยากคบค้าสมาคม เพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงตามไปด้วย
- ไม่มีใครอยากได้เป็นคู่ครอง เพราะกลัวครอบครัวไม่ราบรื่น และอาจละทิ้งครอบครัวได้
(5) คบคนชั่วเป็นมิตร มีโทษ คือทำให้เป็นคนชั่วตามไปด้วย ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนตามไปด้วย
(6) เกียจคร้านการงาน มีโทษ คือ ทำให้ชีวิตตกต่ำไม่เจริญก้าวหน้า มีแต่ความอยากลำบาก ขัดสนในชีวิต
นิโรธ (การดับทุกข์)
นิโรธ คือ ความดับทุกข์หรือดับปัญหาต่างๆ
(1) ความสุขทางกายที่เกิดจากวัตถุภายนอก เรียกว่า กามสุข คือความสุขที่เกิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ทำให้เกิดความพอใจ เป็นความสุขของคนทั่วไป ที่เกิดจากการกระทำความดีในด้านต่างๆ ที่สำคัญได้แก่
- ความสุขที่เกิดจากการมีทรัพย์ เรียกว่า อัตถิสุข
- ความสุขที่เกิดการใช้จ่ายทรัพย์ เรียกว่า โภคสุข
- ความสุขที่เกิดจากการไม่มีหนี้สิน เรียกว่า อนณสุข
- ความสุขที่เกิดจากการประพฤติในสิ่งที่สุจริต เรียกว่า อนวัชชสุข
ความสุขเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะความทุกข์อาจเกิดขึ้นได้เสมอถ้าประมาท
(2)ความสุขทางใจ ความสุขประเภทนี้มีตั้งแต่ขั้นต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด คือ นิพพาน
มรรค (หนทางดับทุกข์)
มรรค คือ ข้อปฏิบัติที่ทำให้พ้นจากความทุกข์หรือปัญหาต่างๆ 8 ประการ เรียกว่า มรรค 8
1) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง
2) สัมมาสังกัปปะ ความคิดที่ถูกต้อง หมายถึง ความคิดในการออกจากกาม ความไม่พยาบาท และการไม่เบียดเบียน
3) สัมมาวาจา วาจาที่ถูกต้อง หมายถึง การเว้นจากการพูดเท็จ หยาบคาย ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ
4) สัมมากัมมันตะ การปฏิบัติที่ถูกต้อง หมายถึง เจตนาละเว้นจากการฆ่า การเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ และการประพฤติผิดในกาม
5) สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง หมายถึง การเว้นจากมิจฉาชีพ
6) สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง หมายถึง สัมมัปปธาน 4 คือ ความพยายามป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิด ละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ทำกุศลที่ยังไม่เกิด และดำรงรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
7) สัมมาสติ การมีสติที่ถูกต้อง หมายถึง สติปัฏฐาน 4
(1) กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือ การพิจารณาร่างกายว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม และมีการเสื่อมไปสลายไปอยู่ตลอดเวลา
(2) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือ การพิจารณา ถึงสิ่งที่พอใจสิ่งที่ไม่พอใจทั้งสิ่งที่สุขและทุกข์ให้รู้ทันปัจจุบัน
(3) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
นั่งนานๆ จิตเกิดฟุ้งซ่าน พิจารณาจิตสัมผัสหัวใจ
(4) ธรรมนุปัสสนาสติปัฏฐาน
นั่งนานๆ เกิดธรรมารมณ์ พิจารณาจิตไปสัมผัสตามอาการ
8) สัมมาสมาธิ การมีสมาธิที่ถูกต้อง หมายถึง ฌาน 4
(1) ฌานที่ 1 ปฐมฌาน (วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา) โดยใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 หรือกำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตทรงตัว
(2) ฌานที่ 2 ทุติยฌาน (ปิติ สุข เอกัคคตา) โดยคำภาวนาจะหายหรือหยุดไปเอง ไม่มีวิตกวิจาร แต่จะมีจิตใจชุ่มชื่น ลมหายใจเบาสบาย มีแต่ปีติ และเอกัคตารมณ์ คือ มีอารมณ์เป็นหนึ่งและทรงตัวมากขึ้น
(3) ฌานที่ 3 ตติยฌาน (สุข เอกัคคตา) ลมหายใจจะเบามากและความอิ่มเอิบหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น โดยจิตทรงตัวมาก อารมณ์ไม่เคลื่อนไหว ได้ยินเสียงภายนอกเบาลง และการทรงตัวแน่นสนิท
(4) ฌานที่ 4 จตุตถฌาน (อุเบกขา เอกัคคตา) คือการตัดสุขได้ ไม่รับการสัมผัสทางจิตใจไม่มีความรู้สึก ทั้งจากเสียง ลม ยุ่งกัด เหลือแต่เอกัคตาพร้อมด้วยอุเบกขา ซึ่งฌานขั้นนี้เป็นอาการทางจิตที่ทรงตัวสมาธิดี มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความสว่างไสวในจิต หากสามารถฝึกให้จิตทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ก็จะนำไปสู่การเกิด “ทิพจักขุญาณ” ตามมาได้โดยง่าย
นิกายในศาสนาพุทธ มี 2 นิกายใหญ่ คือ เถรวาทและมหายาน นอกจากนี้แล้วยังมีการแบ่งที่แตกต่างออกไปแบ่งเป็น 3 นิกาย เนื่องจากวัชรยานถือว่าตนเป็นยานพิเศษโดยเฉพาะ ต่างจากมหายาน

1. เถรวาท หรือ สาวกยาน (หีนยานหรือหินยาน)
หมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำสั่งสอนและหลักปฏิบัติจะเป็นไปตามพระไตรปิฎก มีนักปราชญ์คนสำคัญคือพระพุทธโฆสะ


2. มหายาน (แปลว่า ยานใหญ่) หรือ อาจาริยวาท
เน้นการปฏิบัติเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ ซึ่งผู้ที่ริเริ่มคือท่านนาคารชุนะ

3. วัชรยาน หรือ มหายานพิเศษ
เน้น การ ปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุทำอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์
การนับถือศาสดาองค์ใดและศาสนาใดนั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อและความนับถือแต่ละคน แต่ละสังคม แต่สุดท้ายทุกศาสนาก็จะสอนให้เป็นคนดี เพื่อให้อยู่ในสังคมด้วยกันอย่างมีความสุข ขอเพียงได้ศึกษาแก่นแท้หลักธรรมของศาสนาที่ตัวเองนับถือให้เข้าใจลึกซื้งแล้วนำไปใช้ไปปฏิบัติ ก็จะบังเกิดผลตามที่ต้องการ..
อย่างไรก็ตามความขัดแย้งแห่งศาสนา อาจจะมิได้เกิดจากคำสั่งสอนของศาสดาที่ทำให้เกิด อาจเกิดจากการตีความหรือเข้าใจในคำสั่งสอนที่คลาดเคลื่อนของแต่ละบุคคลก็ได้ ขอเพียงมีใจที่จะศึกษาในคำสั่งสอนของพระศาสดาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็จะเข้าใจอย่างแท้จริง..
Cr.
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, trueplookpanya.com, กศน.ออนไลน์, slideplayer.in.th, satit.up.ac.th, islamhouse.muslimthaipost.com, kroobannok.com, nectec.or.th