ลัคนา (Ascendant) หรือลัคน์ หมายถึง ตำแหน่งของขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ซึ่งในทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของบุคคลหรือเหตุการณ์ใด ๆ ลัคนาในทางโหราศาสตร์ตะวันตกจะเขียนแทนด้วย As
(ลัคนา หรือ ลัคนาราศีเกิด เป็นคำที่ใช้เรียก “จุดเริ่มต้นดวงชะตา”)
ส่วนทางโหราศาสตร์ไทย เขียนแทนด้วย ล, ลั หรือ ส การที่จะดูว่าลัคนาสถิตราศีใด ๆ นั้น เราจะดูว่าราศีใดเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าและยังไม่พ้นหมดราศี ก็ให้ถือว่าลัคนาสถิตอยู่ ณ ราศีนั้น ๆ
ลัคนาจัดเป็นจุดที่มีความสำคัญต่อการพยากรณ์มาก นั่นคือ เป็นตำแหน่งของตัวบ่งความเป็นตัวตน หรือทางโหรเรียกว่าตนุ (ลัคน์) ของบุคคลหรือเหตุการณ์ และเมื่อใดก็ตามที่มีเทวดานพเคราะห์เข้ามาสถิตในราศีเดียวกับลัคน์ ก็จะเกิดผลต่อบุคคลหรือเหตุการณ์นั้น ๆ ในด้านความเป็นไป ส่วนราศีอื่น ๆ ที่เหลือจากลัคน์จะจัดให้อยู่เป็นภพต่าง ๆ เพื่ออธิบายเรื่องต่าง ๆ ทางการพยากรณ์
อีกมุมมองหนึ่งของลัคนาคือ แนวแสงดวงอาทิตย์ที่ทำมุมกับจุดเจ้าชะตาหรือสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในเวลาต่างๆ โดยแนวแสงดังกล่าวสัมพันธ์กับระยะเวลา และวัดได้จากดวงอาทิตย์ที่ทำมุมกับเจ้าชะตาในเวลากำเนิดโดยมุมมองของระบบนี้สัมพันธ์กับโลกโดยตรง

ลัคนาหาได้อย่างไร?
ลัคนาคือการที่เราได้เอา วัน เดือน ปีเกิด เวลาตกฟาก (เวลาเกิด) มาคำนวณตามหลักของโหราศาสตร์ไทย แล้วออกมาเป็นดวงของเรา ซึ่งจะมีจุดที่เป็นลัคนาราศีอยู่ นั่นแหละคือลัคนาของเราจริงๆ
ฉะนั้นบางคนอาจจะเกิดวันเดียวกันแต่ต่างเวลา ก็อาจจะไม่ได้อยู่ลัคนาเดียวกัน
ลัคนากับราศีแตกต่างกันอย่างไร?
ราศี หรือ ราศีเกิด เป็นการดูดวงตามวันเดือนปีเกิดของบุคคล ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการทำนายโดยกว้าง มิได้จำเพาะเจาะจงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แตกต่างจากการดูลัคนา ซึ่งต้องใช้ทั้งวันเดือนปีเกิด เวลาที่เกิด และสถานที่เกิดประกอบกัน และการที่บุคคลจะมีข้อมูลทั้ง 3 อย่างนี้ตรงกันก็เป็นไปได้ค่อนข้างยาก จึงอาจกล่าวได้ว่า การดูดวงด้วยราศีเป็นการดูดวงแบบภาพรวม ส่วนการดูดวงด้วยลัคนาจะเป็นการดูดวงแบบเฉพาะเจาะจงมากกว่า
คนแต่ละลัคนาเป็นอย่างไร?
ลัคนาเมษ - มักใจร้อน ชอบเด่นดัง หรือเป็นที่สนใจของผู้คน
ลัคนาราศีพฤษภ - ค่อนข้างดื้อ ชอบหลงกับอะไรง่าย ๆ ชอบโอ้อวด บางครั้งเงียบขรึม ใจคอหนักแน่น
ลัคนาราศีเมถุน - ชอบสังคม เซ็กส์จัด ใจอ่อน เปลี่ยนใจง่าย คล่องแคล่ว
ลัคนาราศีกรกฎ - ช้า ขี้สงสัย ไม่ค่อยกล้าทำอะไร มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ลัคนาราศีสิงห์ - ใจร้อน ไว้ตัว หยิ่ง ๆ ชอบความเป็นอิสระ มีความสง่าผ่าเผย ใจคอหนักแน่นมั่นคง
ลัคนาราศีกันย์ - ใจโลเรไม่แน่นอน ชอบทำตามอารมณ์ นิ่มนวล มีความขยั่นหมั่นเพียร ฉลาด
ลัคนาราศีตุล - คล่องแคล่ว ใจร้อน มีความยุติธรรม ฉลาดมีไหวพริบปฏิภาณ
ลัคนาราศีพิจิก - ใจคอหนักแน่น ใจเย็นขี้สงสัย เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื้อตรง รอบคอบ มักอาภัพความรัก
ลัคนาราศีธนู - ชอบความว่องไว เชื่อมั่นในตนเอง ใจร้อน กล้าหาญ ชอบการต่อสู้
ลัคนาราศีมังกร - เก็บความรู้สึกเก่ง ใจคอหนักแน่น ดื้อ ชอบท่องเที่ยว
ลัคนาราศีกุมภ์ - ใจเย็น ทำงานไว ชอบช่วยเหลือคน ฉลาด มีความมั่นใจสูง
ลัคนาราศีมีน - ใจเย็นแต่รวนเรไม่แน่นอน ขาดความรอบคอบ สนใจในเรื่องการกินเป็นพิเศษ
ธาตุแต่ละราศี

“ธาตุดิน : ราศีมังกร ราศีกันย์ ราศีพฤษภ
คนธาตุดิน เป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น มั่นคง ชีวิตมีระเบียบวินัย มีกฏเกณฑ์ จนบางทีดูเหมือนทำอะไรเชื่องช้า เพราะจะต้องละเอียดรอบคอบที่สุด ยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น รวมถึงเป็นคนที่มีความยุติธรรมและมีเหตุผล
“ธาตุน้ำ : ราศีมีน ราศีพิจิก ราศีกรกฏ
คนธาตุน้ำ มีความอ่อนโยนโอบอ้อมอารี ใจเย็น สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี มีจิตใจกว้างขวาง เข้าได้กับคนทุกชนชั้น แต่เป็นคนเชื่อคนง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย จึงถูกชักจูงได้ง่ายเช่นกัน
“ธาตุลม : ราศีตุลย์ ราศีกุมภ์ ราศีเมถุน
คนธาตุลม ทำอะไรมักไม่ค่อยมีแบบแผน เบื่อง่ายๆ ไม่ค่อยอดทน แต่เป็นคนซื่อตรงไม่คิดโกงใครและไม่ไว้ใจใครง่ายๆ
“ธาตุไฟ : ราศีเมษ ราศีธนู ราศีสิงห์
คนธาตุไฟ เป็นคนใจร้อน มีความทะเยอทะยานสูง มักเป็นคนหัวดื้อ ไม่ยอมใครง่ายๆ ใจนักเลง มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราย ต้องการยศศักดิ์ ชอบให้คนนับหน้าถือตา”

โหราศาสตร์เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการทำนายอนาคต ทำนายโชคชะตาของบุคคล ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของบ้านเมืองและของโลก วิชาโหราศาสตร์ไทยเป็นระบบนึงของโหราศาสตร์ การทำนายจะใช้เวลาและตำแหน่งของดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้า ผูกดวงตั้งต้นการทำนายโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ เริ่มมีบันทึกเกิดในยุคบาบิโลน อียิปต์โบราณ กรีก มีการพัฒนาเผยแพร่ผ่านยุค ผ่านการปกครอง ผ่านการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ไปในหลายภูมิภาคสืบทอดเรื่อยมา โหราศาสตร์แบ่งตามระบบจักรราศีได้ 2 ระบบ คือ

1. สุริยยาสตร์ "สายนะ" หรือระบบจักรราศีเคลื่อนที่ (Tropical Zodiac) เช่น โหราศาสตร์ดั้งเดิม โหราศาสตร์สากล โหราศาสตร์คลาสสิก (Classical Astrology)

..เป็นระบบเคลื่อนที่ หรืออ้างอิงฤดูกาล เริ่มต้นราศีเมษ (อาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ) ประมาณ 20 - 22 มีนาคม จะเปลี่ยนราศีประมาณวันที่ 20 - 22 ของแต่ละเดือน
- ราศีมังกร – (22 ธ.ค. – 20 ม.ค.)
- ราศีกุมภ์ – (21 ม.ค. – 19 ก.พ.)
- ราศีมีน – (20 ก.พ. – 20 มี.ค.)
- ราศีเมษ – (21 มี.ค. – 20 เม.ย.)
- ราศีพฤษภ – (21 เม.ย. – 20 พ.ค.)
- ราศีเมถุน – (21 พ.ค. – 21 มิ.ย.)
- ราศีกรกฎ – (22 มิ.ย. – 23 ก.ค.)
- ราศีสิงห์– (24 ก.ค. -23 ส.ค)
- ราศีกันย์– (24 ส.ค. – 23 ก.ย.)
- ราศีตุลย์– (24 ก.ย. – 23 ต.ค.)
- ราศีพิจิก – (24 ต.ค. – 22 พ.ย.)
- ราศีธนู – (23 พ.ย. -21 ธ.ค.)
โดยแบ่งจักรราศรีออกไม่เท่ากัน ซึ่งนิยมใช้กันมากเรียกว่า "เรือนชะตา Placius" โดยแต่ละศรีถูกแบ่งองศาออกดังนี้
ราศรีเมษ = 30 องศา ..........ราศรีมีน = 30 องศา
ราศรีพฤษก = 24 องศา ..........ราศรีกุมภ์ = 24 องศา
ราศรีมิถุน = 18 องศา ..........ราศรีมังกร = 18 องศา
ราศรีกรกฏ = 30 องศา ...........ราศรีธนู = 30 องศา
ราศรีสิงห์ = 36 องศา ...........ราศรีพิจิก = 36 องศา
ราศรีกันย์ = 42 องศา ...........ราศรีตุลย์ = 42 องศา

2. ลาหิรี "นิรายนะ" หรือระบบจักรราศีคงที่ (Fixed/Sidereal Zodiac) เช่น โหราศาสตร์ตะวันออก โหราศาสตร์ไทย โหราศาสตร์พระเวท (Vedic Astrology)
..เริ่มต้นราศีเมษ (อาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ/เถลิงศก) ประมาณวันที่ 13 - 17 เมษายน และเปลี่ยนราศีประมาณวันที่ 13 - 17 ของแต่ละเดือน ปัจจุบันระบบนิรายนะ มีความแตกต่างกับสายนะ ประมาณ 23° - 24° (อายนางศะ) แต่ซึ่งละวันจะไม่เท่ากัน และทุก ๆ 72 ปี อายนางศะจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1° หรือปีละประมาณ 50 ฟิลิปดา

- ผู้ที่เกิดราศีธนู : ตั้งแต่ 16 ธันวาคม – 14 มกราคม
- ผู้ที่เกิดราศีมังกร : ตั้งแต่ 15 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์
- ผู้ที่เกิดราศีกุมภ์ : ตั้งแต่ 13 กุมภาพันธ์ – 14 มีนาคม
- ผู้ที่เกิดราศีมีน : ตั้งแต่ 15 มีนาคม – 12 เมษายน
- ผู้ที่เกิดราศีเมษ : ตั้งแต่ 13 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม
- ผู้ที่เกิดราศีพฤษก : ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม – 14 มิถุนายน
- ผู้ที่เกิดราศีเมถุน : ตั้งแต่ 15 มิถุนายน – 14 กรกฎาคม
- ผู้ที่เกิดราศีกรกฎ : ตั้งแต่ 15 กรกฎาคม – 15 สิงหาคม
- ผู้ที่เกิดราศีสิงห์ : ตั้งแต่ 16 สิงหาคม – 16 กันยายน
- ผู้ที่เกิดราศีกันย์ : ตั้งแต่ 17 กันยายน – 16 ตุลาคม
- ผู้ที่เกิดราศีตุลย์ : ตั้งแต่ 17 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน
- ผู้ที่เกิดราศีพิจิก : ตั้งแต่ 16 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม
ระบบจักรราศีทั้ง 2 มีจุดกำเนิดเดียวกัน สันนิษฐานว่าระบบสายนะและองค์ความรู้โลกตะวันตก เริ่มมาเผยเพร่ทางตะวันออกหลังช่วงสงครามสมัยกรีก พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เข้าตีบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ แคว้นปัญจาบ ทางตะวันออกของอินเดีย (ประมาณปี พ.ศ.217)
หลังจากนั้น (ประมาณปี พ.ศ.828) ทั้ง 2 ระบบจุดเริ่มราศีเมษตำแหน่งเดียวกัน ใช้ดาวจิตตรา (Spica/รวงข้าว) หรือจุดศารทวิษุวัต (Autumnal Equinox) กำหนดเล็งจุดเมษหรือวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ต่อมาเวลาผ่านไปแกนโลกที่หมุนเอียงและเหวี่ยง (Precession) ทำให้ฤดูกาลเปลี่ยน จุดเมษ ดาวเหนือ มุมมองตำแหน่งดาวจริงที่เห็นเปลี่ยนไป
แนวคิดระบบนิรายนะใช้ตำแหน่งดาวเดิมอ้างอิงแบบเดิม สายนะใช้ตามท้องฟ้าหรือจุดเมษที่เปลี่ยนไป ประมาณ 1 องศาทุก ๆ 72 ปี (ปีละประมาณ 50 พิลิปดา) ปัจจุบันแม้ดาวดวงเดียวกันเห็นตำแหน่งเดียวกัน องศา ราศี ที่อ่านทั้ง 2 ระบบจะต่างกัน (อายนางศะ) ในส่วนการทำนายปรัชญา แนวคิด กฏเกณฑ์พื้นฐานทั้ง 2 ระบบจะคล้าย ๆ กันมีการพัฒนาเครื่องมือแยกย่อยไป ตามแต่ละระบบโหราศาสตร์ 2 ระบบนี้จุดที่แตกต่างสังเกตได้ง่าย คือ จุดเริ่มราศีจะไม่ตรงกัน โหราศาสตร์สากลใช้จักรราศีที่อ้างอิงฤดูกาล อาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ ประมาณวันที่ 20-22 มีนาคม (เส้นสุริยวิถี ตัดเส้นศูนย์สูตรฟ้า ทางดาราศาสตร์)
โหราศาสตร์ไทยหรือแบบนิรายนะ อาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ ประมาณวันที่ 16-17 เมษายน ตำแหน่งดาวบนฟ้าดวงเดียวกัน แต่จุดนับราศีจะต่างกัน ดังนั้นการอ่านตำแหน่งราศีจะต่างกันสำหรับตำแหน่งของดวงดาวหรือสมผุสดาวในโหราศาสตร์ไทย (แบบนิรายนะ) หรือปฏิทินที่ใช้ผูกดวงหลัก ๆ ที่นิยมใช้มี 2 แบบ คือ

➊ ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย สุริยยาตร์ เป็นปฏิทินแบบดั้งเดิมของโหรในสมัยก่อน คำนวณจากคัมภีร์สุริยยาตร์ และคัมภีร์มานัตต์ ตามแนวทางหรือสาย อ.ทองเจือ อ่างแก้ว มีสมผุสดาว 10 ดวง อาทิตย์-มฤตยู
➋ ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย นิรายนะวิธี เป็นปฏิทินที่คำนวณระบบดาราศาสตร์สากล นิรายนะวิธี ตัดอายนางศะ แบบลาหิรี (Lahiri) ตามแนวทางหรือสาย อ.เทพย์ สาริกบุตร มีสมผุสดาว 12 ดวง คือ อาทิตย์-เกตุ(ไทย) มฤตยู และเพิ่ม เนปจูน พลูโต มีอายนางศะแบบอื่น ๆ เช่น กฤษณะมูรติ, จิตรปักษ์ , รามณะ, ฟาแกน/แบรดลีย์ ฯ ให้เลือก นอกจากนี้ยังมีปฏิทิน อ.พลูหลวง มีสมผุสดาว 13 ดวง ซึ่งใช้ดาว 10 ดวงแรกจากปฏิทินสุริยยาตร์และเพิ่มสมผุสดาวอีก 3 ดวงคือ เนปจูน พลูโต และแบบคัส (นิรายนะวิธี) ได้
เพิ่มเติมเกี่ยวกับสายนะ และ นิรายนะ..
โหราศาสตร์ทั้ง 2 ระบบมีจุดเริ่มต้นมาจากที่เดียวกันคืออาณาจักรบาบิโลน (ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. ใกล้เคียงกับยุคพระพุทธเจ้าในอินเดีย) เริ่มต้นแบ่งจักรราศีเป็น 12 ราศี ราศีละ 30 องศา ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวคาลเดียน (ตอนใต้ของบาบิโลน) ณ เวลาที่เริ่มต้นแบ่งจักรราศีเป็น 12 ส่วนเท่ากันนั้น จุดเมษทั้ง 2 ระบบอยู่ที่จุดเดียวกัน
แต่ปัญหาใหญ่ของระบบนิรายนะคือ การกำหนดจุดเริ่มต้นของราศีเมษจากการสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้าให้แน่นอน ระดับลิปดาหรือพิลิปดาไม่ใช่เรื่องง่ายและที่สำคัญแต่ละสำนักก็อาจจะมีผลการคำนวณไม่ตรงกัน สังเกตได้จากค่าอายนางศ ที่มีค่าแตกต่างหลายสำนักในปัจจุบัน
อายนางค์ (Precession)
หมายถึง ปรากฏการณ์การโคจรของจุดวิษุวัต(Equnir) หรือจุดเมษ ซึ่งโคจรไปในทิศทางย้อนจักรราศี ค่าของอายนางค์ คือ ง่ามมุม ที่จุดศูนย์กลางของโลก จาก จุดตั้งจักรราศีนิรายนะไปยัง จุดตั้งต้นจักราศีสายนะ โดยนับเวียนตามเข็มนาฬิกา เนื่องจากจุดวิษุวัต จะโคจรย้อนจักรราศีประมาณ ปีละ 55 ฟิลิบดา ดังนั้น ค่าอยายนางค์ จึงเพิ่มขึ้นทุกปี (ปีพ.ศ.2541 ค่าประมาณ 23.50 องศาครับ)
นักโหราศาสตร์ชาวกรีกจึงได้คำนวณจุดเมษจากจุดวสันตวิษุวัตแทน และอธิบายความหมายแต่ละราศีจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า Tropical Astrology แต่ยังคงใช้ชื่อราศีเช่นเดียวกับระบบนิรายนะ
จากจุดนี้เองทำให้โหราศาสตร์แยกออกเป็น 2 สายชัดเจน โดย
..โหราศาสตร์สายนะ จะส่งผ่านจากอาณาจักรกรีก-โรมัน มายังอาณาจักรอิสลาม อาณาจักรในยุโรป มาสู่โหราศาสตร์สายนะในปัจจุบัน
..โหราศาสตร์นิรายนะ เป็นที่นิยมในอินเดียและอาณาจักรที่รับอิทธิพลอินเดียเช่น ไทย พม่า ฯลฯ
จนกระทั่งปัจจุบันความหมายของแต่ละราศีของสายนะจะเน้นที่ปรัชญาของฤดูกาล มากกว่าชื่อกลุ่มดาวประจำราศี เช่น ราศีเมษเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิในซีกโลกเหนือ ดังนั้นจึงให้ความหมายของการเริ่มต้นใหม่ ฯลฯ
อีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับระบบนิรายนะ คือดาวแต่ละกลุ่มราศีบนท้องฟ้าจริงไม่ได้กว้าง 30 องศาเท่ากันหมดนะครับ แต่อยู่ระหว่าง 18 ถึง 46 องศา ดังนั้นจุดแบ่งระหว่างราศีก็เป็นประเด็นที่ถูกตั้งข้อสังเกตเช่นกันที่ยุ่งกว่านั้นอีก ก็คือ มีความพยายามจะเพิ่มราศีที่ 13 ขึ้นมา คือ กลุ่มดาว Ophiuchus อยู่ระหว่างราศีพิจิก กับธนู (ฤกษ์อภิจิต) ความกว้างของราศีประมาณ 18.5 องศา (ถ้าพูดในเชิงดาราศาสตร์แล้ว ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เว้นพลูโต จะโคจรผ่านกลุ่มดาวถึง 21 กลุ่มในจักรราศี)

โดยโหราศาสตร์-ดาราจักร ในยุคแรกๆนั้น คำนวณจากจุดเริ่มต้นวสันตฤดู ที่ราศีเมษ คือ จุดที่แนวสุริยวิถีตัดกับเส้นศูนย์สูตร ในเดือนเมษายน ที่ต้นราศีเมษ ต่อมามีการค้นพบว่าการแกว่งตัวของแกนโลกขณะที่เคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ส่งผลให้แนวสุริยวิถีไม่คงที่ จึงเกิดความแตกแยกทางแนวความคิดเป็น 2 ทาง คือ
แนวคิดจักรราศีคงที่นิรายนะ และแนวคิดจักรราศีไม่คงที่สายนะโดยแนวคิดของนิรายนะนั้นจะนำ ค่าเบี่ยงเบนที่เรียกว่า อายนางศ มาหักลบกับตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ที่คำนวณได้ เพื่อให้ได้ตำแหน่งที่อยู่ในแนวจักรราศีเดิม
ในขณะที่แนวคิดของสายนะนั้น กำหนดให้จุดเริ่มต้นของวสันตฤดู เป็นจุดเริ่มต้นของราศีเมษ ซึ่งไม่สนใจว่ากลุ่มดาวประจำราศีเมษจะอยู่ในตำแหน่งใด จึงเป็นที่มาของชื่อ Tropical Horoscope หรือโหราศาสตร์เชิงฤดูกาล
รู้จัก..โจโรฤกษ์ ทลิทโทฤกษ์..ฤกษ์บน ฤกษ์ล่าง..หรือไม่?