คุณรู้หรือไม่ ลิ้นบอกโรคได้!
เราทุกคนต่างรู้ถึงความสำคัญของลิ้นกันเป็นอย่างดี นอกจากจะเป็นอวัยวะที่ว่ากันว่าแข็งแรงที่สุดในร่างกายเพราะลิ้นประกอบด้วยกล้ามเนื้อมัดใหญ่กว่า 60 มัดรวมกันแล้ว ก็ยังทำหน้าที่รับรู้รสชาติอาหารที่เรากินเข้าไป และช่วยในการออกเสียงพูด
ภาพจาก doctoroz.com
1. ลิ้นเลี่ยน (ลิ้นเรียบผิดปกติ) Atrophic glossitis หรือ Smooth tongue
ปกติแล้วลิ้นของคนเราจะมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำเพราะมีตุ่มรับรสกระจายอยู่ทั่ว แต่ถ้าหากลิ้นของคุณเริ่มมีลักษณะเรียบผิดปกติ หรือที่เรียกว่าลิ้นเลี่ยน
นั่นแปลว่าคุณกำลังเกิดภาวะร่างกายขาดสารอาหาร(เช่น ขาดธาตุเหล็ก, ขาด Folic acid/วิตามินบี9,วิตามิน บี12, วิตามินบี 2, วิตามิน บี 3) ที่ทำให้เกิดอาการอักเสบจนตุ่มรับรสตายและหลุดลอกไปจนผิวลิ้นเรียบ
ทั้งนี้อาการดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดจากการขาดสารอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในช่องปากได้ด้วยเช่นกัน
โรค Celiac disease(โรคทางพันธุกรรมที่พบได้น้อย จัดอยู่ในกลุ่มโรคออโตอิมมูนต่อระบบทางเดินอาหารจากตัวกระตุ้นคือโปรตีนที่เรียกว่า Gluten)
ภาวะที่มีปากแห้งมาก เช่นในโรค Sjogren's syndrome นอกจากอาการลิ้นเลี่ยนแล้ว ก็ยังอาจมีอาการแสบร้อนที่ลิ้นขณะที่รับประทานอาหารที่เป็นกรดหรือมีรสชาติเค็มร่วมด้วย ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด
ทั้งนี้ ลิ้นอักเสบชนิดนี้ อาจไม่มีอาการ หรือเมื่อมีอาการ คือ การรู้สึก เจ็บ แสบลิ้น
ภาพจาก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. ลิ้นเป็นสีแดงสดลักษณะคล้ายผลสตรอว์เบอร์รี Strawberry tongue หรือ Raspberry tongue
หากลิ้นของคุณที่เคยปกติเปลี่ยนเป็นสีแดงสดโดยไม่มีสาเหตุ แปลว่าคุณกำลังขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี 12 และธาตุเหล็ก เพราะแร่ธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้มีความสำคัญกับตุ่มรับรสบนลิ้นเป็นอย่างมาก
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุทั้ง 2 ชนิดอยู่เป็นประจำ ทว่าก็ยังมีอาการดังกล่าว คุณควรไปพบแพทย์เพราะนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับ..โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง..ซึ่งเข้าไปทำให้ร่างกายของคุณไม่สามารถดูดซึมวิตามินทั้ง 2 ชนิดได้
เป็นการอักเสบของลิ้นชนิดที่ทำให้ตุ่มเล็กๆบนลิ้นบวมขึ้นและมีสีแดง ส่งผลให้มองดูเหมือนผลStrawberry หรือ Raspberry แต่ถ้ามีฝ้าขาวๆเกิดขึ้นปกคลุมบนลิ้นร่วมด้วย จะทำให้มีลักษณะเหมือน Strawberry สีขาว ซึ่งเรียกการอักเสบนี้ว่า “White strawberry tongue” การอักเสบที่เรียกว่า Strawberry tongue พบได้ในโรค Scarlet fever
ซึ่งเกิดจากร่างกายและลิ้นติดเชื้อแบคทีเรีย กลุ่ม Hemolytic Streptococcus และลิ้นอักเสบชนิดนี้ยังพบได้ในโรค Kawasaki disease และในการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงที่ทำให้เกิดอาการช็อกจากสารชีวพิษ(Toxin)ของแบคทีเรียที่เรียกว่า กลุ่มอาการ “Toxic shock syndrome”
ภาพจาก doctoroz.com
3. ลิ้นเป็นสีดำ หรือมีขนขึ้นที่ลิ้น Hairy tongue
แม้ลิ้นจะเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ใช่ว่าไม่สามารถมีขนขึ้นได้ และถ้าลิ้นของคุณมีขนอ่อน ๆ เกิดขึ้น บอกได้เลยว่านั่นคือสัญญาณของ..ปัญหาของสุขภาพช่องปากที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพหัวใจ.. คุณอาจจะกำลังมีความเสี่ยงสูงที่่จะเป็น..โรคหัวใจ
นอกจากนี้การที่ลิ้นของคุณเปลี่ยนสีเป็นสีดำ ก็อาจจะเป็นสัญญาณของการ..ติดเชื้อรา..ที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันอันเนื่องมาจากโรคบางชนิด อย่างเช่น โรคเบาหวาน ได้เช่นกัน
การอักเสบชนิดนี้ จะเกิดบนลิ้นบนตุ่มเล็กๆของลิ้น ทำให้มีการสร้างสารโปรตีนที่เรียกว่า Keratin ที่มีลักษณะเหมือนขน ที่อาจมีสีดำ น้ำตาล หรือขาว สาเหตุมักเกิดจากเนื้อเยื่อลิ้นอักเสบ จากการสูบบุหรี่ จากผลข้างเคียงจากใช้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องยาวนาน และ/หรือการขาดสุขลักษณะของช่องปากที่รวมถึงลิ้นด้วย การอักเสบชนิดนี้มักไม่ก่ออาการ แต่ในบางคนพบมีอาการเจ็บ แสบ ระคายเคืองลิ้น หรืออาจรู้สึกว่ามีอะไรติดอยู่ที่ลิ้น หรือรู้สึกติดคอเวลากลืน
ภาพจาก medicalpoint.org
4. ลิ้นบวม
ถ้าวันดีคืนดีคุณเริ่มคิดว่าลิ้นของคุณดูใหญ่ขึ้นหรือรู้สึกว่าลิ้นของคุณกำลังบวมโดยไม่มีสาเหตุ ก็ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคุณอาจจะกำลังเป็น..โรคไทรอยด์ชนิดขาดฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism)..
ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้เพียงพอ ทำให้ระบบเผาผลาญของคุณทำงานลดลงจนทำให้ไม่มีแรง ดังนั้นหากพบว่าลิ้นบวมผิดปกติควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจดีกว่าปล่อยทิ้งไว้
ภาพจาก Wikimedia Commons
5. ลิ้นแตก Fissure tongue
หากลิ้นของคุณเริ่มเกิดรอยแตก โดยที่ไม่มีเลือดไหลออกมา ก็อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป เพราะนั่น..เป็นอาการที่เกิดขึ้นตามวัย ยิ่งถ้ามีอายุมาก..ก็จะยิ่งพบได้ง่าย จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเป็นสัญญาณของอาการป่วยใด ๆ
แต่ก็ใช่ว่าจะละเลยได้ คุณควรจะเอาใจใส่สุขภาพช่องปากให้มากขึ้นเนื่องจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียนั้นอาจจะเข้าไปอยู่ตามรอยแตกของลิ้นได้ ควรแปรงฟันและลิ้นให้สะอาด ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหมั่นไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างน้อยทุก ๆ 6 เดือน
รอยโรคจะเกิดส่วนบนในตอนกลางของลิ้น มักพบเกิดร่วมกับ “ลิ้นแผนที่” ซึ่งสาเหตุเกิดของ Fissure tongue แพทย์ยังไม่ทราบเช่นกัน แต่เชื่อว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับการอักเสบแบบลิ้นแผนที่
6. ลิ้นลายแผนที่ Benign migratory glossitis(Geographic tongue)
ลิ้นลายแผนที่คืออาการที่ลิ้นมีส่วนที่ขรุขระและส่วนที่เรียบสลับกันไปมาจนคล้ายกับแผนที่ มีสาเหตุจากการ..สูญเสียตุ่มรับรสจากอาการต่าง ๆ.. เช่น การรับประทานของร้อนมาก ๆ หรืออาหารรสจัดเกินไป ส่วนใหญ่แล้วอาการเหล่านี้จะหายไปได้เอง แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือนจนถึงเป็นปี ๆ
โดยอาการที่อาจจะพบได้หากมีลิ้นลักษณะแบบนี้ก็คือ ลิ้นอาจจะมีความไวต่อการรับรสเมื่อรับประทานอาหารบางชนิด เช่น อาหารร้อน ๆ อาหารที่มีรสเผ็ด เค็ม หรืออาหารที่เป็นกรด บริเวณรอยโรคจะเป็นสีแดง มีขอบเป็นสีขาวชัดเจน และรอยโรคนี้สามารถเคลื่อนที่เกิดตามจุดต่างๆได้ทั่วด้านบนของลิ้น
สาเหตุเกิดลิ้นอักเสบชนิดนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบปัจจัยเสี่ยงคือ มักเกิดหลังกินอาหารร้อนจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาจเกิดโดยไม่มีอาการ แต่ถ้ามีอาการ ที่พบคือ ระคายเคืองที่รอยโรค อาจร่วมกับ อาการเจ็บ แสบ และมักพบร่วมกับลิ้นอักเสบชนิดที่เรียกว่า Fissure tongue
ภาพจาก doctoroz.com
7. มีแผลร้อนใน
แผลร้อนในภายในช่องปากเป็นสิ่งที่เราพบได้เป็นปกติ แต่รู้หรือไม่ว่าแผลร้อนในเหล่านี้มีสาเหตุการเกิดอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการ..เผลอกัดลิ้นตัวเอง.. หรือการไวต่ออาหารของตุ่มรับรส การขาดวิตามิน หรือการติดเชื้อ นอกจากนี้โรคลำไส้อักเสบก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลร้อนในที่ลิ้นได้อีกด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วแผลร้อนในเหล่านี้จะหายไปได้เองภายในเวลา 10-14 วัน และไม่ทิ้งร่องรอยของแผลไว้ ซึ่งถ้าหากอยากจะให้หายเร็วขึ้นก็สามารถใช้ยาทาช่วยได้ หรือจะดื่มน้ำมาก ๆ ก็ทำให้แผลร้อนในหายไวขึ้นได้เหมือนกัน
8. ลิ้นเป็นฝ้า Leukoplakia
ริ้วขาวข้างลิ้น หรือลิ้นเป็นฝ้า เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทำให้หลายคนเป็นกังวลอยู่บ่อย ๆ ซึ่งฝ้าที่ขึ้นบนลิ้นก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเนื่องมาจาก..เชื้อราในช่องปาก โดยสาเหตุนี้มักจะเกิดกับเด็กทารก ผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็นฟันปลอมหรืออุปกรณ์จัดฟัน สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาและน้ำยาบ้วนปาก
ส่วนสาเหตุอื่นก็ได้แก่ การที่..เซลล์เยื่อเมือกในปากเจริญเติบโตมากผิดปกติ.. พบได้ในคนที่สูบบุหรี่จัด แม้ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากเกิดขึ้นในคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำก็อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งช่องปากในอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV หรือโรคเอดส์ อาการริ้วขาวข้างลิ้น ก็เป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบได้บ่อย
ภาพจาก doctoroz.com
9. มีติ่งเนื้อเล็ก ๆ ขึ้นที่ขอบลิ้น
หากคุณสังเกตว่ามีติ่งเนื้อเล็ก ๆ เกิดขึ้น โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตุ่มน้ำใส ๆ หรือฝ้าบนลิ้นที่ดูผิดปกติ นั่นอาจจะเป็นติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นจากการที่..เนื้อเยื่อเจริญเติบโตมากเกินไป..จนทำให้กลายเป็นติ่งเนื้อ ซึ่งไม่เป็นอันตราย โดยส่วนใหญ่แล้วติ่งเนื้อเหล่านี้กว่าจะสังเกตเห็นได้ก็นับปี แต่ถ้าหากเกิดติ่งเนื้อขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ควรไปตรวจว่าติ่งเนื้อเป็นอันตรายหรือไม่จะดีกว่า
10. เจ็บลิ้น
อาการเจ็บลิ้นอาจเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั่วบริเวณลิ้น ในบางรายอาจมีก้อนผิดปกติรู้สึกแสบร้อน ลิ้นบวม มีแผลเป็นปื้นสีแดงหรือสีขาวบริเวณลิ้น หรืออาจมีอาการพุพองตามลิ้นและภายในช่องปากซึ่งเกิดจากแผลร้อนใน
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ลิ้นเปลี่ยนสี มีก้อนผิดปกติที่ลิ้น หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์ เพราะอาการดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากโรคร้ายแรงได้

สาเหตุของอาการเจ็บลิ้น
อาการเจ็บลิ้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เป็นสาเหตุที่เห็นได้ชัด มีดังนี้
การบาดเจ็บที่ลิ้น การเผลอกัดหรือโดนลวกด้วยของร้อนอาจเป็นสาเหตุให้เกิดตุ่มพองและมีอาการแสบหรือเจ็บลิ้นได้ อาจเจ็บมากขณะใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารใกล้ ๆ บริเวณดังกล่าว
แผลร้อนใน เกิดขึ้นได้ทั่วช่องปาก ส่วนใหญ่พบบริเวณใต้ลิ้น โดยก่อให้เกิดอาการเจ็บหรือแสบร้อนบริเวณแผล สาเหตุอาจเกิดจากการเผลอกัดลิ้น การรับประทานอาหารบางชนิดที่บาดลิ้น ความเครียด ความวิตกกังวล การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น
ลิ้นลายแผนที่ เป็นความผิดปกติที่ส่งผลให้พื้นผิวลิ้นไม่เรียบ และเกิดปื้นแดงที่มีขอบสีขาวหรือสีอ่อนทั่วบริเวณลิ้น มีลักษณะคล้ายกับแผนที่ ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บเวลารับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มบางชนิด
เชื้อราในปาก การติดเชื้อราแคนดิดาในช่องปากจะส่งผลให้เกิดปื้นหรือฝ้าขาวบนลิ้น ผู้ป่วยบางรายมีอาการเจ็บลิ้นจนรับประทานอาหารลำบาก รวมทั้งอาจสูญเสียการรับรสหรือลิ้นรับรสชาติผิดเพี้ยนไปได้
การสูบบุหรี่ อาจส่งผลให้ลิ้นเกิดการระคายเคืองจนนำไปสู่อาการเจ็บลิ้น นอกจากนี้ การเลิกสูบบุหรี่อย่างกะทันหันอาจทำให้รู้สึกเจ็บลิ้นได้เช่นกัน
สาเหตุอื่น ๆ แต่พบได้น้อยกว่า เช่น
การติดเชื้อไวรัส เช่น โรคมือเท้าปากซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองขึ้นที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และภายในปาก หรือโรคเริมซึ่งจะก่อให้เกิดตุ่มน้ำใส ๆ บริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อ เช่น ปาก อวัยวะเพศ เป็นต้น
โรคโลหิตจางจากการขาดแร่ธาตุและวิตามิน ในบางกรณีอาการเจ็บลิ้น หรือลิ้นมีลักษณะเรียบลื่นผิดปกติอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก โฟเลต สังกะสี หรือวิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโลหิตจาง
โรคไลเคน พลานัส (Lichen Planus) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ก่อให้เกิดผื่นคัน และอาจมีปื้นสีขาวหรือสีแดงบนลิ้น รวมทั้งรู้สึกแสบหรือเจ็บลิ้นขณะรับประทานอาหารได้
อาการปวดจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทและอาจส่งผลให้มีอาการเจ็บลิ้นอย่างรุนแรงได้
กลุ่มอาการแสบร้อนในช่องปาก เป็นภาวะที่ทำให้รู้สึกเจ็บปลายลิ้น มักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า
โรคเบเซ็ท (Behcet's Disease) เป็นสาเหตุของอาการเจ็บลิ้นที่พบได้น้อยมาก โดยเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดในร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ
โรคเพมฟิกัส (Pemphigus Vulgaris) เป็นโรคที่พบไม่บ่อยและมีความรุนแรงสูง อาการที่เห็นได้ชัดคือตุ่มน้ำพุพองที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดตามบริเวณผิวหนัง ภายในช่องปาก จมูก ลำคอ ทวารหนัก และอวัยวะเพศ
ภาวะลิ้นอักเสบชนิดโมลเลอร์ (Moeller's Glossitis) เป็นภาวะอักเสบของลิ้นที่ทำให้ลิ้นมีลักษณะเรียบผิดปกติ และอาจมีอาการเจ็บ แสบร้อน หรือระคายเคืองลิ้น ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดสารอาหาร เช่น วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก เป็นต้น
การใช้ยา ยาบางชนิดอาจทำให้มีอาการเจ็บลิ้น เช่น ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ได้แก่ ไอบูโพรเฟน แอสไพริน นาโปรเซน อินโดเมธาซิน อีโตริคอกซิบ อาร์โคเซีย เซเลโคซิบ เซเลเบรก เป็นต้น ยากลุ่มเบต้า บล็อกเกอร์ ได้แก่ คาร์เวดิลอล อะทีโนลอล ทิโมลอล โพรพรานอล เป็นต้นนอกจากนี้ การใช้น้ำยาบ้วนปากที่แรงเกินไปก็อาจทำให้เจ็บหรือระคายเคืองในช่องปากได้เช่นกัน
โรคมะเร็งลิ้น เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย โดยอาจทำให้เกิดอาการเจ็บลิ้นเรื้อรัง อีกทั้งอาจรู้สึกเจ็บเมื่อกลืนหรือเคี้ยวอาหาร มีแผลในปากที่หายช้าหรือมีเลือดไหลออกมาจากแผล บางรายอาจมีอาการฟันโยกหรือผิวหนังบริเวณปากหนาขึ้น มะเร็งลิ้นในระยะเริ่มแรกอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็น ทั้งนี้ หากมีตุ่มหรือก้อนเนื้อขึ้นที่ลิ้นโดยไม่ทราบสาเหตุติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรรีบพบแพทย์

11. โคนลิ้นมีตุ่ม
จะรู้สึกระคายเคือง แต่ไม่เจ็บปวด ทว่าพบอาการข้างเคียงคือ ทำให้ทานอาหารลำบาก รู้สึกว่ามีน้ำลายมากกว่าปกติ หรือหากก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็จะเหมือนมีอะไรค้ำอยู่ที่โคนด้านใต้ลิ้น ทำให้เคี้ยวอาหารลำบาก พูดไม่สะดวก เหมือนกับคนอมลูกอมเอาไว้
สาเหตุมาจาก
1. การขังของน้ำลาย
เป็นผิดปกติของถุงน้ำใต้ลิ้น มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ สาเหตุมาจากการอุดตันของต่อมน้ำลายขนาดเล็กเรียกในทางการแพทย์ว่า “minor salivary gland” อาจเป็นซีสต์ชนิดหนึ่ง (Ranular Cyst) ไปจนถึงลักษณะของถุงน้ำที่บริเวณท่อน้ำลายที่อยู่ในส่วนของท่อน้ำลายขนาดใหญ่ (Major salivary gland)
การขังตัวของน้ำลาย จนทำให้กลายเป็นตุ่มนูนที่ใต้ลิ้น สามารถมองเห็นเป็นตุ่มสีน้ำเงินอมม่วงหากพบอยู่ด้านบนๆ ของเนื้อเยื่ออ่อนหรือบางครั้งก็เป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัด โดยทั่วไปจะไม่มีอาการเจ็บที่ลิ้นแต่อย่างใด
เมื่อตุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถที่จะแตกจนทำให้ของเหลวไหลออกมาภายในช่องปากตุ่มดังกล่าวก็จะยุบตัว และเกิดขึ้นมาซ้ำได้อีกในอนาคต ซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมก็ได้ส่วนขนาดของตุ่มที่เกิดขึ้นจากการขังตัวของน้ำลาย จะมีขนาดตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตรตุ่มดังกล่าวหากปล่อยทิ้งเอาไว้นาน จะทำให้นูนมีขนาดใหญ่ขึ้น ลิ้นจะถูกยกตัว ทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อให้ขนาดของโรคเล็กลง ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
2. ต่อมทอนซิลโคนลิ้น
ต่อมทอนซิลโคนลิ้น (Lingual Tonsil) ต่อมนี้พบได้ในทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายแต่ขนาดจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบว่าอยู่ในระดับไหน ซึ่งการอักเสบอาจจะลุกลามตั้งแต่คอหอยไปจนถึงอวัยวะส่วนอื่นๆ ในช่องปาก กลายเป็นคอหอยอักเสบหรือลิ้นอักเสบ กลายเป็นต่อมทอนซิลบริเวณลิ้นโตมากขึ้น เม็ดเลือดขาวถูกเร่งให้ผลิตตัวจับกินเชื้อโรคหากเกิดอาการดังกล่าวขึ้นจึงจำเป็นต้องทำการรักษาอย่างถูกวิธี
โดยไม่ใช้วิธีการบี้หรือบีบตุ่มที่เกิดขึ้นนั้นเพราะจะยิ่งเป็นตัวการทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย ตามมาด้วยการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองที่รุนแรงกว่าเดิม

12. Median rhomboid Glossitis
คือ ลิ้นอักเสบที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อด้านบนของลิ้น ตรงส่วนกลางที่ค่อนไปด้านหลังติดกับส่วนของโคนลิ้น โดยการอักเสบนี้ให้รูปลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยม(Rhomdoid) ซึ่งลิ้นส่วนที่อักเสบจะมีลักษณะ ลื่น เรียบ ออกสีแดง มีขอบเขตของการอักเสบชัดเจน ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บ แสบ และคัน ที่รอยโรค
ทั้งนี้สาเหตุมักเกิดจาก..ลิ้นติดเชื้อรา.. โดยเฉพาะเชื่อราชนิด Candida และการอักเสบชนิดนี้ มักพบในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง/ผิดปกติ
13. Geometric tongue หรือ Herpetic geometric glossitis
คือ การอักเสบของลิ้นที่เกิดจากลิ้น..ติดเชื้อไวรัส..ชนิด Herpes simplex(โรคเริม) รอยโรค/การอักเสบจะเกิดบริเวณตรงกลาง ด้านบนของลิ้น ลักษณะรอยโรคจะแตกเป็นร่องคล้ายเป็นกิ่งก้านเล็กๆ
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง มักพบในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว อาการที่พบคือ เจ็บ แสบ ลิ้น
14. Burning tongue
ลิ้นอักเสบที่เกิดจากการกิน หรือดื่ม อาหาร/เครื่องดื่มมีร้อนจัด จึงส่งผลให้เนื้อเยื่อลิ้นบาดเจ็บ และก่อให้เกิดความรู้สึก แสบ ร้อน เจ็บที่ลิ้น แต่มักมองไม่เห็นลักษณะผิดปกติของลิ้น แต่บางครั้ง อาจพบอาการ บวม แดงของลิ้นได้ ซึ่งอาการจะหายไปเองใน 1-2 วัน
ลักษณะลิ้นตามแบบแพทย์แผนจีนบ่งบอกอาการอะไรบ้าง
เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยด้วยการดู สังเกตการเปลี่ยนแปลงของลักษณะลิ้นและฝ้าบนลิ้น เป็นส่วนสำคัญในการตรวจโรคของแพทย์แผนจีน
โดยศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้กล่าวไว้ว่า เส้นลมปราณของอวัยวะภายในร่างกายล้วนแล้วเดินผ่านบริเวณลิ้นกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ลิ้นจึงสะท้อนถึงสภาวะภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี

ความสัมพันธ์ระหว่างลิ้นกับอวัยวะภายในมีดังนี้
- ปลายลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของหัวใจ และปอด เช่นปลายลิ้นแดงเป็นแผล แสดงว่าหัวใจมีความร้อนมาก
- กลางลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของม้ามและกระเพาะอาหาร ถ้าลิ้นมีฝ้าหนา โดยเฉพาะบริเวณกลางลิ้น แสดงว่าระบบย่อยอาหารไม่ดี เกิดความชื้น หรือมีเสมหะสะสมอยู่ในร่างกาย
- โคนลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของไต ถ้าฝ้าที่โคนลิ้นลอกออกจนเห็นผิวลิ้น แสดงว่าไตหยินพร่อง
- ด้านข้างขอบลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของตับและถุงน้ำดี เช่นด้านข้างขอบลิ้นมีจุดม่วงคล้ำ แสดงว่าลมปราณ(ชี่)ที่ตับติดขัด เลือดไหลเวียนไม่ดีการอ่านลิ้น ประกอบด้วยการดูสีลิ้น รูปร่างลักษณะของลิ้น การเคลื่อนไหวของลิ้น ลักษณะและสีของฝ้าบนลิ้น
การดูสีลิ้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 6 สี
- ลิ้นสีแดงอ่อน ? พบในคนปกติ หรืออาการป่วยยังเบา
- ลิ้นสีขาวซีด ? ลมปราณ(ชี่)และเลือดพร่อง หยางพร่อง
- ลิ้นสีแดง — มีอาการร้อนแกร่ง หยินพร่องเกิดไฟ
- ลิ้นสีแดงเข้ม — มีความร้อนอยู่ภายใน มีอาการหยินพร่อง
- ลิ้นสีม่วง — ลมปราณ(ชี่)และเลือดไหลเวียนไม่คล่อง
การดูรูปร่างลักษณะของลิ้น
- ลิ้นหยาบ — ผิวลิ้นหยาบด้าน สีลิ้นค่อนข้างคล้ำ แสดงว่าอาการป่วยเป็นอาการแกร่ง ภูมิต้านทานยังดีอยู่
- ลิ้นอ่อน — ผิวลิ้นละเอียด ลิ้นบวม สีซีดอ่อน แสดงว่าอาการป่วยเป็นอาการพร่อง เช่นเลือดลมน้อย พลังหยางน้อย
- ลิ้นบวมใหญ่ — ลิ้นบวมใหญ่และหนา เวลาแลบลิ้นจะเต็มปาก แสดงว่ามีความชื้นสะสมอยู่ภายใน
- ลิ้นเล็กบาง — ลมปราณ(ชี่)และเลือดน้อย หยินพร่องเกิดไฟ
- ลิ้นมีจุดแดงหรือเป็นจุดเหมือนหนามเล็กๆนูนอยู่บนลิ้น — อวัยวะภายในมีความร้อนอยู่มาก หรือในชั้นเลือดมีความร้อนอยู่มาก
- ลิ้นมีรอยแตก — มีความร้อนมาก หยินน้อย เลือดน้อย ม้ามพร่อง
- ลิ้นมีรอยหยักของฟัน — ม้ามพร่อง ภายในร่างกายมีความชื้นมาก
การดูลักษณะการเคลื่อนไหวของตัวลิ้น
- ลิ้นอ่อนแรง —ชี่และเลือดพร่อง หยินพร่อง
- ลิ้นแข็งทื่อ —ความร้อนเข้าสู่เหยื่อหุ่มหัวใจ หรือมีไข้สูง หรือมีลมและเสมหะอุดตันอยู่ที่เส้นลมปราณลั่ว
- ลิ้นเอียงเฉ —มักเป็นอาการล่วงหน้าหรือพบในผู้ที่มีเส้นเลือดสมองตีบ หรือเส้นเลือดสมองแตก
- ลิ้นสั่น —เป็นอาการเกิดลมในตับ หรืออาจเกิดจากหยินพร่อง เลือดน้อย หยางแกร่ง มีความร้อนมาก
การอ่านตัวลิ้น นอกจากดูผิวลิ้น ลักษณะของลิ้นแล้ว ยังสามารถดูเส้นเลือดที่อยู่ใต้ลิ้นได้อีก ถ้าเส้นเลือดใต้ลิ้นใหญ่ยาว มีสีแดงเข้ม หรือสีเขียว หรือสีม่วง หรือสีดำ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่ามีเลือดคั่งอยู่ภายใน แต่ถ้าเส้นเลือดใต้ลิ้นสั้นและเล็ก สีของตัวลิ้นก็ซีดขาว แสดงว่าลมปราณ(ชี่)และเลือดน้อย

การดูลักษณะของฝ้าบนลิ้นมีดังนี้
- ฝ้าบาง — พบในคนปกติ หรืออาการป่วยที่ยังอาการเบา
- ฝ้าหนา — มีความชื้นสะสมอยู่ในร่างกาย อาหารตกค้าง หรือร้อนใน
- ฝ้าชื้น — พบในคนปกติ หรืออาการป่วยที่ยังไม่ลุกลามถึงระบบน้าในร่างกาย เช่น ไข้หวัดจากลมหนาว อาหารไม่ย่อย เลือดคั่ง
- ฝ้าแห้ง — อาการป่วยลุกลามถึงระบบน้ำในร่างกาย เช่น มีไข้สูง อาเจียน ถ่ายท้อง
- ฝ้าเหนียว — มีความชื้นสะสมอยู่ภายใน
- ฝ้าร่อน — ฝ้าหนา แต่เมื่อขูดจะหลุดร่อนง่าย แสดงถึงอาหารตกค้างในกระเพาะอาหารและลำไส้ มีเสมหะสะสมอยู่ภายใน
- ฝ้าหลุดลอก — ฝ้าบนลิ้นหลุดลอกเป็นบางบริเวณหรือทั่วลิ้น บริเวณที่ฝ้าหลุดลอกไป จะเห็นตัวเนื้อลิ้นเกลี้ยงไม่มีฝ้า แสดงถึงชี่ที่กระเพาะอาหารน้อย หยินในกระเพาะอาหารมีน้อยขาดแคลน ชี่และเลือดพร่อง ร่างกายอ่อนแอ
- ฝ้าเต็มลิ้น — มีความชื้น เสมหะติดขัดอยู่ภายใน
- ฝ้าไม่เต็มลิ้น — ฝ้ามีอยู่บางส่วนของลิ้น เช่น มีฝ้าอยู่เพียงบริเวณปลายลิ้น หรือโคนลิ้น หรือส่วนซ้าย หรือส่วนขวาของลิ้น ส่วนใดของลิ้นมีฝ้าแสดงว่าอวัยวะที่สังกัดบริเวณมีอาการผิดปกติ เช่น มีฝ้าอยู่บริเวณด้านข้างของลิ้น แสดงให้เห็นว่ามีความชื้นร้อนอยู่บริเวณตับและถุงน้ำดี
- ฝ้าจริง — ฝ้าขึ้นจากตัวลิ้น ขูดออกยาก เมื่อขูดออกแล้วจะมีรอยฝ้าอยู่ เห็นผิวลิ้นได้ไม่ชัดเจน ถ้าป่วยเป็นเวลานาน ฝ้าลิ้นเป็นฝ้าจริง แสดงว่าพลังชี่ที่กระเพาะอาหารยังมีอยู่
- ฝ้าหลอก — ฝ้าไม่ติดกับตัวลิ้นนัก เหมือนทาอยู่บนผิวลิ้น ฝ้าขูดลอกออกง่าย และเห็นผิวลิ้นชัดเจน ถ้าป่วยเป็นเวลานาน ฝ้าลิ้นเป็นฝ้าหลอก แสดงว่าอาการป่วยน่าวิตก

การดูสีของฝ้า สีของฝ้าแบ่งเป็นหลักๆได้ 3 สี คือ สีขาว สีเหลือง และสีเทาดำ
- ฝ้าสีขาว — สามารถพบได้ในคนปกติ และในกลุ่มอาการภายนอก(เปี่ยวเจิ้ง) อาการหนาวเย็น มีความชื้นอยู่ภายใน และกลุ่มอาการร้อน
- ฝ้าสีเหลือง — มักพบในกลุ่มอาการร้อน และเป็นอาการป่วยอยู่ภายใน
- ฝ้าสีเทาดำ — บอกถึงมีความหนาวเย็นหรือมีความร้อนอยู่ภายในมาก
การดูลิ้นต้องดูทั้งตัวลิ้นและฝ้าบนลิ้นควบคู่กันไป เช่น ลิ้นแดง ฝ้าเหลืองและแห้ง บ่งบอกถึงมีอาการร้อนแกร่ง ถ้าลิ้นแดงและผอม มีฝ้าน้อยหรือไม่มีฝ้า บ่งบอกถึงมีหยินพร่องและมีความร้อนอยู่ภายใน ถ้าลิ้นม่วง ฝ้าขาวเหนียว บ่งบอกถึงชี่และเลือดไหลเวียนติดขัด มีเสมหะหรือความชื้นสะสมอยู่ภายใน
จะเห็นได้ว่าลิ้นบอกโรคได้มากมายขนาดไหน ดังนั้นจึงควรดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้สังเกตเห็นความผิดปกติที่ลิ้นได้ชัดเจนขึ้น และถ้าพบความผิดปกติเหล่านี้แล้วถ้าไม่มั่นใจ..ก็อย่ามัวแต่รีรอเก็บเงียบไว้ ไปตรวจดีกว่านะ..
Cr. Kapook, Pobpad, Mahosot, Haamor, Mthai
ถ้ามีอาการนอนไม่ค่อยหลับ ภูมิต้านทานน้อย เส้นเลือดตีบ ขอแนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..