อาการปวดท้องอาจเป็นได้กับทุกคน บางท่านปวดท้องเป็นประจำซื้อยามาทานก็หาย จึงละเลยการใส่ใจสุขภาพ
8 อาการปวดท้องที่ควรปรึกษาแพทย์
1. ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมงแล้วอาการเป็นมากขึ้น
2. ปวดจนกินอาหารไม่ได้
3. ปวดท้องและอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง
4. ปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว
5. ปวดที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา
6. ปวดท้องรุนแรง นอนไม่ได้
7. ปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอด
8. ปวดท้องมีไข้ร่วมด้วย
นอกจากนี้ อาการปวดท้อง และตำแหน่งที่ปวดก็สามารถบอกถึงโรคหรืออาการผิดปกติของอวัยวะและการรักษาที่แตกต่างกันด้วย
8 ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรคอะไรได้บ้าง..
ตำแหน่ง 1 ปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา
เป็นจุดของตับและถุงน้ำดี หากกดแล้วเป็นก้อนแข็งๆ บวกกับอาการตัวเหลือง หมายถึงความบกพร่องของตับและถุงน้ำดี หากปวดมากควรรีบพบแพทย์
นิ่วในถุงน้ำดี
อาการปวดท้องบริเวณเหนือสะดือ หรือใต้ลิ้นปี่ยังเกิดจากหลอดอาหารและถุงน้ำดีได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคนิ่วในถุงน้ำดี ลองมาเช็กอาการให้ชัด ๆ เลยดีกว่า
ตำแหน่ง 2 ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่
- ปวดใต้ลิ้นปี่ร่วมกับเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก อาจจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร หากปวดรุนแรงหรืออาเจียนด้วยอาจเป็นตับอ่อนอักเสบ
- หากคลำเจอก้อนเนื้อขนาดใหญ่ และแข็งแสดงว่าตับโต หรือหากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ อาจเป็นกระดูกลิ้นปี่
- หากอืดแน่นท้องเป็นๆ หายๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
ตับอ่อนอักเสบ
เกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง หากเป็นอาการเฉียบพลันอาจทำให้มีอาการปวดท้องลามไปยังหลัง อาการปวดท้องแย่ลงหลังรับประทานอาหาร มีอาการกดแล้วเจ็บเมื่อสัมผัสหน้าท้อง มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน หรือชีพจรเต้นเร็ว ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการแบบเรื้อรังอาจจะปวดท้องส่วนบน น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ อุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือมีไขมันมาก
โรคกระเพาะอาหาร
หากมีอาการปวดท้องแบบจุก แสบ แน่นบริเวณเหนือสะดือหรือปวดท้องตรงกลางแบบเฉียบพลัน หรืออาจมีอาการปวดท้องแบบเป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่รู้สึกหิว หรือแม้แต่กินอาหารจนอิ่มแล้วก็ยังมีอาการจุก เสียด แน่น มีลม และปวดท้องตรงกลางขึ้นมาอีก นี่อาจเป็นสัญญาณของโรคกระเพาะอาหารได้
แก๊ส
แก๊สมักพบได้ในกระเพาะอาหารไปจนถึงทวารหนัก ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการกลืนอาหารและย่อยอาหาร โดยจะถูกขับออกมาผ่านการเรอและผายลม แต่แก๊สอาจยังคงอยู่และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยได้ เช่น อาเจียน ท้องเสีย ท้องผูก น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ แสบร้อนกลางอก อุจจาระปนเลือด เป็นต้น
อาหารไม่ย่อย
กระเพาะอาหารจะผลิตกรดออกมาเมื่อรับประทานอาหาร ซึ่งกรดนั้นอาจทำให้หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เกิดการระคายเคือง ส่งผลให้อาหารไม่ย่อยหรือมีอาการปวดท้องส่วนบน แสบร้อนกลางอก รู้สึกอิ่ม ท้องอืด เรอ ผายลม หรือคลื่นไส้หลังรับประทานอาหาร
กรดไลย้อน
อาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่อาจเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อนได้ด้วย และหลายคนก็ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคกระเพาะกับโรคกรดไหลย้อนอยู่ด้วย เนื่องจากอาการปวดท้องจะคล้าย ๆ กัน
เมื่อกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณดังกล่าว ผู้ป่วยอาจรู้สึกแสบร้อนกลางอก สำรอกกรดออกมา เสียงแหบ เจ็บหน้าอก จุกแน่นในลำคอ ไอ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น อีกทั้งยังประสบปัญหาในการกลืนอาหารด้วยและอาการจะเกิดหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ
ตำแหน่ง 3 ปวดบริเวณชายโครงซ้าย
จะตรงกับตำแหน่งของม้าม อย่ามัวรีรอรีบไปพบแพทย์
ม้ามโต
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ และอาจเกิดจากโรคหรือภาวะต่าง ๆ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับตับอย่างตับแข็งหรือโรคซิสติก ไฟโบรซิส ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มแม้รับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย ปวดหลังข้างซ้าย มีอาการปวดหลังที่ลามไปยังหัวไหล่ ติดเชื้อได้มากขึ้น หายใจไม่อิ่ม หรือเหนื่อยล้า
หัวใจขาดเลือด
เป็นภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต มักทำให้ผู้ป่วยมีอาการแน่น เจ็บหน้าอกหรือแขนคล้ายถูกบีบ และอาการนั้นอาจลามไปยังกราม แผ่นหลังหรือคอได้ด้วย ภาวะนี้ยังส่งผลให้รู้สึกเมื่อยล้า เวียนศีรษะฉับพลัน คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย แสบร้อนกลางอก ปวดท้อง หายใจไม่อิ่ม และเหงื่อออกขณะที่ร่างกายเย็น หากสงสัยว่าตนเองป่วยเป็นหัวใจขาดเลือดควรโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที
โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ :
เกิดจากการอักเสบและบวมของเยื่อหุ้มที่ล้อมรอบหัวใจ ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกช่วงกลางหรือข้างซ้าย โดยเฉพาะเมื่อหายใจเข้า รู้สึกเหนื่อย อ่อนแรง ไอ ท้องหรือขาบวมผิดปกติ หายใจไม่อิ่มขณะนอนหรือเอนกาย ใจสั่น และมีไข้ต่ำ ๆ
โรคลำไส้แปรปรวน :
เป็นภาวะที่ลำไส้ทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือปวดเกร็งหน้าท้องโดยอาการจะดีขึ้นหลังถ่ายอุจจาระ อาจมีอาการท้องเสียหรือท้องผูก อุจจาระมีเมือกใสหรือสีขาวปนออกมาแต่ไม่มีเลือดปน เรอ มีแก๊สในท้อง หรืออุจจาระไม่สุด ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีอาการและระดับความรุนแรงแตกต่างกันออกไป
โรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร :
มักจำแนกเป็นโรคลำไส้อักเสบกับโรคโครห์น ผู้ป่วยอาจมีอาการตั้งแต่เหนื่อยล้า อ่อนแรง มีไข้ ปวดเกร็งหน้าท้อง หรือปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ ไปจนถึงเบื่ออาหารได้
สาเหตุอื่น :
ปวดท้องข้างซ้ายยังอาจเกิดได้จากปัญหาเกี่ยวกับปอดอย่างปอดบวม เยื่อหุ้มปอดอักเสบ และโรคปอดแฟบหรือมีลมรั่วออกจากปอด ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกอย่างกระดูกอ่อนบริเวณหน้าอกอักเสบ หรือซี่โครงหัก รวมถึงภาวะเยื่อบุหัวใจอักเสบและไส้ติ่งอักเสบแต่มักพบได้น้อยมาก
ตำแหน่ง 4,6 ปวดบริเวณบั้นเอวขวาหรือซ้าย
ตำแหน่งตรงกับท่อไตพอดี
-ปวดเอวหรือมีปัสสาวะเป็นเลือดอาจจะเป็นนิ่วที่ไต จะเป็นข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้างก็ได้ ซึ่งจะมีอาการปวดมากจนเหงื่อออก
ปวดร้าวถึงต้นขา การเริ่มต้นของการเป็นนิ่วในท่อไต
-อาการปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น เป็นกรวยไตอักเสบ
-คลำเจอก้อนเนื้อรีบไปพบแพทย์
โรคไต
เมื่อเกิดการติดเชื้อขึ้นที่บริเวณไต หรือเกิดมีนิ่วขึ้นในไต จะทำให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายล่าง ซึ่งสามารถแยกทั้ง 2 ได้จากอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยอาการไตอักเสบ จะมาพร้อมกับอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างแบบเฉียบพลัน ปวดปัสสาวะตลอดเวลา มีอาการปวดแสบปวดร้อนขณะที่ปัสสาวะ หรืออาจปัสสาวะเป็นเลือดร่วมด้วย ในขณะที่อาการนิ่วในไตนั้นจะมาพร้อมกับไข้สูง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับอาการปวดหน่วงๆ ที่บริเวณต้นขา

ตำแหน่ง 5 ปวดบริเวณรอบสะดือ
ตรงกับตำแหน่งลำไส้เล็ก มักจะมีอาการปวดบิด ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน หากกดแล้วปวดมากอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ ปวดจนทนไม่ไหวให้พบแพทย์ทันที
อาการปวดท้องแถว ๆ สะดือ หรือปวดท้องตรงกลาง เป็นสัญญาณบอกโรคอะไรได้บ้าง คนที่มีอาการปวดท้องตรงกลางเป็น ๆ หาย ๆ อยู่บ่อยครั้ง ลองเช็กดูค่ะว่าเสี่ยงโรคอะไรไหม โดยเฉพาะหากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย มาดูกันว่าอาการปวดท้องตรงกลางเป็นสัญญาณของโรคอะไร
ลำไส้อักเสบ
หากมีอาการปวดท้องบริเวณรอบ ๆ สะดือ ปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ ตำแหน่งนี้อาจบอกถึงความผิดปกติของลำไส้เล็ก ทำให้เกิดอาการท้องเดิน แต่หากมีอาการปวดบิด ร่วมด้วยท้องเสียมาก ๆ และเหมือนกับว่ามีลมในท้อง นี่ก็มีโอกาสเป็นโรคลำไส้อักเสบได้เหมือนกัน
ไส้ติ่ง
เรารู้กันดีว่าอาการปวดท้องไส้ติ่งมักจะบอกเป็นอาการปวดท้องด้านขวา ทว่าอาการเริ่มแรกของโรคไส้ติ่งอักเสบก็คืออาการปวดท้องรอบ ๆ สะดือ โดยมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ รอบ ๆ สะดือ คล้ายอาการปวดถ่ายท้องเสีย แต่มักจะถ่ายไม่ออก หรือบางคนก็มีอาการปวดท้องเหนือสะดือร่วมกับถ่ายเหลว หรือท้องเสียด้วย หลังจากนั้นอาการปวดท้องจะย้ายตำแหน่งมาที่ท้องน้อยด้านขวา และมีอาการปวดรุนแรงจนทนไม่ไหว ซึ่งต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด
ตำแหน่ง 7 ปวดบริเวณท้องน้อยขวา
- เป็นตำแหน่งไส้ติ่ง ท่อไต ปากมดลูก และรังไข่ขวา
- ปวดเกร็งเป็นระยะๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา เป็นอาการกรวยไตอักเสบ หรือนิ่วท่อไต ควรรีบพบแพทย์
- ปวดเสียด บีบ ตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมากบริเวณท้องน้อยด้านขวาอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมมีไข้สูง มีตกขาว อาการของปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาการก้อนไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ผิดปกติ
ตำแหน่ง 8 ปวดท้องน้อย
- ตรงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และมดลูก
- ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดเวลาปัสสาวะ อาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดท้องน้อย มีไข้สูง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจจะเป็นมดลูกอักเสบ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน มีอาการปวดเรื้อรัง แสดงว่ามดลูกมีปัญหาควรรีบพบแพทย์

ตำแหน่ง 9 ปวดท้องน้อยซ้าย
- ตำแหน่งปีกมดลูกและท่อไต รังไข่ด้านซ้าย ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
- ปวดเกร็งเป็นระยะๆ ร้าวมาที่ต้นขา เป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น และมีตกขาว อาการของมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ เป็นอาการของลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ เห็นอุจจาระมีมูกปนเลือด ท้องผูกสลับกับท้องเสีย น้ำหนักลด อาจเป็นอาการเนื้องอกในลำไส้
ไส้เลื่อน
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาการที่น่าวิตก เพราะอาการไส้เลื่อนนั้นเป็นอาการที่ลำไส้จะไหลผ่านผนังช่องท้องไปกระจุกรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเกิดขึ้นกับผู้ชายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาการนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงเช่นกัน ซึ่งเมื่อเกิดอาการไส้เลื่อนแล้ว จะทำให้เกิดการปวดท้องอย่างรุนแรง และหากอาการนี้เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบก็จะยิ่งอันตรายที่นอกเหนือจากอาการปวด ก็ยังทำให้สังเกตเห็นว่ามีก้อนตุงๆ อยู่ที่บริเวณหน้าท้อง อันเป็นเหตุมาจากไส้ที่เลื่อนออกมาอยู่ที่ผนังหน้าท้องนั่นเอง
โรคถุงผนังลำไส้อีกเสบ
โรคนี้เป็นโรคที่พบได้ในผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากว่าเมื่อเรามีอายุที่มากขึ้น เนื้อเยื่อที่บริเวณผนังลำไส้ก็จะเสื่อมไปตามลำดับ ซึ่งอาจทำให้เกิดความดันในบริเวณลำไส้ใหญ่ อีกทั้งยังทำให้ผนังลำไส้เกิดการโป่งพอง โดยในส่วนที่โป่งพองนี้ก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบในเวลาต่อมา ผู้ป่วยที่มีอาการนี้ก็จะปวดท้องข้างซ้ายล่าง หรือต่ำกว่าสะดือลงมา จะมีอาการปวดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา อาจทำให้อุจจาระเป็นเลือด มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงเบื่ออาหารร่วมด้วย
ท้องนอกมดลูก
ในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หากเกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายล่าง นั่นอาจเป็นสัญญาณไม่ดีของสุขภาพที่กำลังจะบอกตัวเราอยู่ เพราะอาการปวดนี้นั้นบ่งบอกถึงภาวะการตั้งท้องนอกมดลูกที่จะส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อทั้งตัวแม่และเด็กที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งหากคุณผู้หญิงคนไหนที่เกิดภาวะการท้องนอกมดลูก จะทำให้เกิดอาการปวดอันเนื่องมาจากเส้นเอ็นยึดมดลูก เกิดซีสต์ในรังไข่ อีกทั้ง การที่ปวดท้องข้างซ่ายล่างเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะมีการขยายตัว โดยหากเกิดอาการดังกล่าวก็ไม่ควรเพิกเฉย ต้องรีบไปพบแพทย์โดยทันที
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
อาการนี้อาจพบได้บ่อยในผู้หญิง โดยอาจทำให้เกิดการปวดประจำเดือนมากขึ้น อีกทั้งยังมีอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างตามมา นอกจากนั้นก็ยังอาจเกิดอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อาทิ ท้องเสีย ท้องผูก รู้สึกเจ็บเวลาที่ปัสสาวะ หรืออาจมีประจำเดือนที่มาผิดปกติ ที่แย่ไปกว่านั้น ยังอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมถึงกรวยไตอักเสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่ส่งผลให้เกิดการปวดท้องข้างซ้ายล่าง ปัสสาวะติดขัด รวมถึงเกิดความรู้สึกปวดท้องน้อยในขณะที่ปัสสาวะ ถ้าหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังไตได้ และกลายเป็นโรคไตในที่สุด
ซีสต์ในรังไข่
การเกิดซีสต์ในรังไข่ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างได้เช่นกัน โดยจะมีอาการปวดหน่วงๆ ทำให้ปัสสาวะบ่อย ประจำเดือนมาผิดปกติ โดยการเกิดซีสต์ในรังไข่นี้ไม่ใช่อาการที่ร้ายแรงถึงขนาดที่จะกลายไปเป็นมะเร็งรังไข่ได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็น หรือเป็นแล้วแต่ยังมีขนาดของซีสต์ที่ไม่ใหญ่มาก จำเป็นต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด เพราะหากทิ้งเอาไว้ก็จะยิ่งทำให้อาการปวดท้องมีเพิ่มมากขึ้น
นอกจากโรคและอาการต่างๆ ที่กล่าวไปแล้ว อาการปวดท้องข้างซ้ายทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ก็ยังเป็นอาการเริ่มต้นและสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าเราอาจจะกำลังเป็นโรคอีกหลายชนิดได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็งในช่องท้อง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคงูสวัส เกิดไส้ติ่งอักเสบ หรือแม้แต่ลำไส้ฉีกขาด เป็นต้น ทางที่ดี หากเกิดอาการปวดท้องข้างซ้าย กินยาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด ไม่ควรปล่อยปละละเลย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis) :
เมื่อแรงดันภายในลำไส้ใหญ่ก่อให้เกิดกระเปาะขนาดเล็กขึ้นที่ผนังลำไส้ หากกระเปาะเกิดการฉีกขาด บวม หรือติดเชื้อก็อาจส่งผลให้ถุงผนังลำไส้อักเสบได้ โรคนี้พบได้ทั่วไปในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งอาจทำให้มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการกดแล้วเจ็บเมื่อสัมผัสหน้าท้อง ท้องผูก และท้องเสีย
โรคไส้เลื่อน
เป็นภาวะที่ชั้นไขมันหรือบางส่วนของลำไส้เล็กเคลื่อนออกมาจากตำแหน่งเดิมจนมีลักษณะเป็นก้อนตุงอยู่บริเวณช่องท้องหรือขาหนีบ ผู้ป่วยอาจมีก้อนตุงที่ขยายใหญ่ขึ้น ปวดบริเวณที่ไส้เลื่อนมากขึ้น มีอาการปวดเมื่อยกสิ่งของ ปวดตื้อหรือรู้สึกแน่นท้องได้
โรคงูสวัด
การติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-zoster virus) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดบริเวณผื่นคันที่เรียงเป็นแนวยาวบนลำตัวข้างใดข้างหนึ่ง และบางครั้งอาจมีผื่นขึ้นบริเวณคอหรือใบหน้าด้วย โดยผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี อาจเสี่ยงเป็นโรคงูสวัดมากกว่าช่วงอายุอื่น
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
อาการปวดท้องในตำแหน่งเหนือหัวหน่าว ปวดแบบหน่วง ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มดลูกอักเสบ หรือเนื้องอกมดลูก เป็นต้น ซึ่งถ้ามีอาการปัสสาวะไม่สุด หรือปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะไม่ออก แสบขัดขณะปัสสาวะด้วย ให้สงสัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบไว้ก่อนเลย
ไม่ว่าอาการปวดท้องตรงกลางที่เป็นอยู่จะบอกถึงโรคอะไรก็ตามแต่ ทว่าในกรณีที่ปวดท้องบ่อย ๆ ปวดเป็น ๆ หาย ๆ ก็ไม่ควรชะล่าใจนะคะ ยิ่งหากมีอาการปวดท้องร่วมกับความผิดปกติอื่น ๆ อย่าง คลื่นไส้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องเสีย ก็ควรปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดท้องตรงกลางที่เป็นอยู่ จะได้ทำการรักษาได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที
สาเหตุที่ส่งผลต่อผู้หญิงโดยเฉพาะ :
การปวดท้องข้างซ้ายส่วนล่างของผู้หญิงมักเป็นปัญหาเกี่ยวกับรังไข่และมดลูก เช่น การปวดประจำเดือน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ถุงน้ำในรังไข่ ภาวะรังไข่บิดขั้ว การตั้งครรภ์นอกมดลูก และการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น
สาเหตุที่ส่งผลต่อผู้ชายโดยเฉพาะ :
โรคไส้เลื่อนขาหนีบและภาวะอัณฑะบิดขั้วอาจส่งผลให้ผู้ชายเกิดการปวดท้องซ้ายส่วนล่างเช่นกัน ทั้งนี้ ภาวะอัฑณะบิดขั้วเป็นสาเหตุที่รุนแรง ผู้ป่วยจึงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว
นอกจากนั้น ยังมีบางสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องข้างซ้ายได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เช่น ท้องผูกหรือการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จึงอาจส่งผลให้อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ถ่ายไม่ออก ถ่ายไม่สุด ต้องเบ่งหรือกดหน้าท้องเพื่อช่วยในการถ่ายอุจจาระ ปวดท้องหรือทวารหนัก และนิ่วในไตที่หากเคลื่อนตัวรอบ ๆ ไตหรือไปยังท่อไต ซึ่งเป็นท่อเชื่อมระหว่างไตและกระเพาะปัสสาวะ อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างอาการปวดแปลบที่ท้องและหลัง เจ็บขณะปัสสาวะ คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะมีสีชมพู แดง น้ำตาล ขุ่น มีกลิ่นแรง หรือเป็นเลือด เป็นต้น
วิธีป้องกันปวดท้องข้างซ้าย
แม้จะไม่สามารถป้องกันอาการปวดท้องได้ในทุก ๆ รูปแบบ แต่ผู้ป่วยอาจลดความเสี่ยงการเกิดปวดท้องข้างซ้ายได้ เช่น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ดื่มน้ำบ่อย ๆ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- รับประทานโดยแบ่งเป็นมื้อเล็ก ๆ
- หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
อย่างไรก็ตาม สาเหตุของอาการปวดท้องข้างซ้ายทั้งหลายมีการป้องกันที่แตกต่างกันไป ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการป้องกันที่เหมาะสมกับสาเหตุแต่ละอย่างด้วย
สิ่งสำคัญที่ควรไปพบแพทย์ ?
เมื่อมีอาการดังกล้าว 6 ข้อข้างต้น หรือมีอาการเพิ่มเติม เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง อาเจียน ปัสสาวะหรือถ่ายเป็นเลือด อาเจียนหรือท้องเสียอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้ง ดีซ่าน ท้องหรือขาบวม กลืนลำบาก เป็นต้น มีอาการปวดท้องนานกว่า 3 วัน ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ และรับการตรวจวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนเช่นเดียวกัน
Cr. .khonkaenram.com, mukinter.com
ถ้ามีอาการนอนไม่ค่อยหลับ ภูมิต้านทานน้อย เส้นเลือดตีบ ขอแนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..