1. เคืองตาหรือคันตาคล้ายมีผงอยู่ในตาในบริเวณใกล้เคียงจะเกิดตุ่มฝี อาจมีน้ำตาไหล ทำให้ผู้ป่วยต้องขยี้ตาเสมอ ต่อมาอีก 1-2 วันจะเริ่มบวมแดง เจ็บเล็กน้อย
2. เป็นตุ่มบวมแดงหรือเป็นหนองที่เปลือกตา
ระยะแรกจะมีอาการปวด บวม บางรายมีอาการบวมมากจนตาปิด หรือบางรายมีหนองไหลออกจากเปลือกตา
3.ในกรณีที่หนองแตกในตาจะทำให้มีขี้ตาเป็นสีเขียว
4. โดยมากกุ้งยิงมักจะขึ้นเพียงตุ่มเดียว อาจจะเป็นที่เปลือกตาบนหรือล่างก็ได้ น้อยคนนักที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน 2-3 ตุ่ม
5. ถ้าปล่อยทิ้งไว้ 4-5 ตุ่มฝีมักจะแตกเอง แล้วหัวฝีจะยุบลงและหายปวด ถ้าหนองระบายออกได้หมดก็จะยุบหายไปภายใน 1 สัปดาห์
(ในบางรายที่ตุ่มฝีแตกและมีหนองไหลออกมา หากเชื้อรุนแรงหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ อาจก่อให้เกิดการอักเสบกระจายบริเวณโดยรอบก้อนและแผ่กว้างออกไป ซึ่งในระยะนี้จะก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น และเด็กบางคนอาจมีไข้ร่วมด้วย)
6. ในผู้ป่วยที่เคยเป็นตากุ้งยิงมาแล้วครั้งหนึ่ง อาจจะมีอาการกำเริบแบบเป็น ๆ หาย ๆ โดยอาจจะเป็นตรงจุดเดิม หรือย้ายที่ หรือสลับข้างไปมาก็ได้
สาเหตุที่ทำให้ตาเป็นกุ้งยิง
การติดเชื้อแบคทีเรีย (เชื้อหนอง) เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดตากุ้งยิง ซึ่งอาจแปดเปื้อนจากมือ เสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า น้ำ หรือฝุ่นละอองในอากาศได้
การดูแลรักษาตนเอง
ควรจะกระทำตั้งแต่เริ่มสังเกตเห็น ดังนี้
1.ประคบด้วยน้ำร้อน โดยใช้ผ้าสะอาดห่อหุ้มปลายด้ามช้อน จุ่มน้ำร้อน (ขนาดพอทนได้) แล้วนำไปกดบริเวณเปลือกตาตรงตำแหน่งหัวฝี (ให้คนไข้หลับตา) พร้อมกับนวดคลึงเบาๆ ทำเช่นนี้วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที ความร้อนจะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาปวด
2.ใช้ยาหยอดตาที่เข้ายาปฏิชีวนะ เช่น ยาหยอดตาคลอแรมเฟนิคอล หยอดตาทุก 2 ชั่วโมง
(Chloramphenicol (คลอแรมเฟนิคอล) คือ ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะซึ่งใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่ค่อนข้างรุนแรง โดยยานี้จะเข้าไปทำลายโปรตีนที่สำคัญของเชื้อแบคทีเรีย และหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้อาการติดเชื้อทุเลาลง)
ระวังการใช้ยาหยอดตาอื่นๆที่เป็นสตีรอยด์ อาจทำให้โรคลุกลามได้
3.อย่าขยี้ตา อาจทำให้แพร่โรคที่ยังไม่ได้เป็นบริเวณอื่นของตาได้
4.อย่าใช้ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ด หน้าร่วมกับผู้อื่น
โดยทั่วไปถ้าได้ดูแลตนเองดังกล่าวตั้งแต่เริ่มเป็น อาการจะค่อยๆ ทุเลาได้ภายใน 24 ชั่วโมง ก็ให้การรักษาต่อไปอีก 3-4 วัน ฝีจะค่อยๆ ยุบหายไปเอง
สิ่งที่ไม่ควรทำ
ตากุ้งยิง ใครเสี่ยงเป็นมากที่สุด
กุ้งยิงเป็นโรคที่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เด็กอายุ 4-10 ขวบ มีโอกาสเป็นกุ้งยิงได้บ่อย เป็นเพราะยังไม่รู้จักรักษาความสะอาด เช่น อาจเล่น คลุกฝุ่น แล้วใช้มือที่สกปรกขยี้ตาเมื่อโตขึ้นแล้วจะไม่เป็นบ่อย
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงเป็นตากุ้งยิงมีอะไรบ้าง
เรารู้กันแล้วว่าโรคตากุ้งยิงเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสาเหตุที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ดวงตาง่ายขึ้น จนเป็นตากุ้งยิงได้ก็อย่างเช่น
– ขยี้ตาบ่อย ๆ จนเปลือกตามีเชื้อแบคทีเรียหรือฝุ่นเกาะติดอยู่
– ล้างเครื่องสำอางออกไม่หมด
– ใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์ด้วยมือที่ไม่สะอาด
– ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ไม่สะอาดเช็ดดวงตา
– เช็ดถูดวงตาด้วยเสื้อผ้าที่ใส่อยู่
– ล้างหน้าด้วยน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
– น้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
– ฝุ่นละอองในอากาศลอยเข้าดวงตา
คนที่เป็นกุ้งยิงบ่อยๆ อาจเกิดจาก
1) มีความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาเข เป็นต้น
ยังบอกไม่ได้แน่ชัดว่าทำไมคนเหล่านี้ มีโอกาสเป็นกุ้งยิงได้ง่าย สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากเปลือกตาต้องทำงานมากกว่า ปกติ เช่น ต้องขยี้ตา หรี่ตา หรือเพ่งมากกว่าปกติเพื่อให้มองเห็นชัด
2) สุขภาพทั่วไปไม่ดี เช่น เป็นโรคเรื้อรัง ขาดอาหาร ฟันผุ ไซนัสอักเสบ อดนอน เป็นต้น
3) ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำทำให้ติดเชื้อง่าย เช่น เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เบาหวาน กินยาสตีรอยด์ นานๆ เป็นต้น
ตากุ้งยิงมีกี่ประเภท
ตากุ้งยิง สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. External hordeolum (ชนิดหัวผุด)
โรคตากุ้งยิงที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมัน ลักษณะเป็นตุ่มหนองที่บริเวณเปลือกตาด้านนอก มีอาการแดง เจ็บ
2. Internal hordeolum (ชนิดหัวหลบใน)
โรคตากุ้งยิงที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันที่บริเวณเปลือกตาด้านใน จะพบเป็นตุ่มนูนแดง เจ็บ ซึ่งเราอาจเรียกตากุ้งยิง
3. Chalazion (ตาเป็นซิสต์)
เป็นการอักเสบเรื้อรังของต่อมไขมันบริเวณเปลือกตา ตากุ้งยิงจะมีลักษณะนูนแข็ง กดไม่เจ็บ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า
ความเชื่อเรื่องตากุ้งยิง
ที่ว่ากุ้งยิงเกิดจาก การไปแอบดูใครมานั้น เป็นเรื่องที่ชาวบ้านนำมาล้อกันเล่น ความจริงกุ้งยิงเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ส่วนการแอบดูนั้นไม่น่าจะทำให้ตาเป็นกุ้งยิง
นอกเสียจากว่า การกระทำนั้นมีลักษณะที่ทำให้เกิดการแปดเปื้อนเชื้อโรคที่เปลือกตา
วิธีดูแลตัวเองหลังเจาะกุ้งยิง
1. ปิดตาไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นสามารถเปิดตาเองได้ ล้างหน้าได้ตามปกติ
2. หากมีอาการปวดให้รับประทานยาแก้ปวดครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
3. วันรุ่งขึ้นให้ประคบน้ำอุ่น โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น บิดให้หมาด แล้วประคบลงบนเปลือกตาข้างที่เป็นกุ้งยิงครั้งละ 10-15 นาที ในขณะที่ประคบให้หลับตาไว้ วิธีนี้จะช่วยลดอาการปวด บวม หรือช้ำได้
ตากุ้งยิง ป้องกันได้ ง่ายนิดเดียว
1) รักษาสุขภาพทั่วไปให้ แข็งแรง พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2) หลีกเลี่ยงการถูกฝุ่น ถูกลม แสงแดดจ้าๆ และควันบุหรี่
3) หลีกเลี่ยงการใช้มือหรือผ้าเช็ดหน้าที่ไม่สะอาดเช็ดตา หรือขยี้ตา
4) ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับสายตา ให้แก้ไขด้วยการสวมแว่น
5) รักษาโรคเรื้อรัง เช่น ฟันผุ ไซนัสอักเสบ เบาหวานให้ได้ผล
ใครเป็นตากุ้งยิงขึ้นมา ถ้าสามารถดูแลตนเองในเบื้องต้นได้อย่างที่แนะนำไปในระยะที่อาการยังไม่รุนแรงมาก ตากุ้งยิงจะค่อย ๆ ยุบลงภายใน 24 ชั่วโมง และเมื่อรักษาต่อไปอีก 3-4 วัน ฝีก็จะค่อย ๆ ยุบหายไปเอง
กุ้งยิงถือเป็นโรคพื้นๆ ที่ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพและดวงตาแต่อย่างใด นอกจากทำให้มีอาการเจ็บปวดน่ารำคาญ การรักษาตนเอง แต่เนิ่นๆ จะทำให้โรคหายขาดได้ภายในไม่กี่วัน