จากคนไข้จำนวนมาก มีมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ที่มีอาการปวดหลัง มักมีอาการอื่นร่วมด้วย คุณเคยมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่
สาเหตุของอาการปวดเอว
อาการปวดเอวเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่าง โดยสามารถแบ่งอาการปวดเอวออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ อาการปวดเอวที่เกิดขึ้นที่เนื้อไต อาการปวดเอวที่ไม่ได้เกิดขึ้นที่ไต และอาการปวดเอวอื่น ๆ ดังนี้
1) การใช้กิริยาท่าทางต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดอาการปวดหลังปวดบั้นเอว หรือปวดเอวด้านหลัง
2) อายุมากขึ้นกระดูกและข้อก็เสื่อมมากขึ้นตามอายุของเรา จึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเอว
3) ไม่ค่อยออกกำลังกายหรือมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบเดิมซ้ำๆ จึงทำให้เกิดอาการปวดเอว ปวดเอวด้านหลัง หรืออาการปวดบั้นเอว
4) อาจเกิดจากความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ของกระดูกสันหลัง เช่น หลังคด หลังแอ่น
5) อาจจะมีการอักเสบหรือการติดเชื้อ เช่น วัณโรคของกระดูกสันหลัง
6) การได้รับอุบัติเหตุ เช่น ตกจากที่สูง
7) การมีเนื้องอกของประสาทไขสันหลังหรือมะเร็งที่แพร่กระจายมายังกระดูกสันหลัง
8) อาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดบั้นเอว ที่เกิดจากโรคของอวัยวะในระบบอื่น ๆ เช่นนิ่วในไต เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
9) ปัญหาที่ทำให้เกิดความตึงเครียด และความวิตกกังวลในชีวิต
ในปัจจุบันการเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสมเพื่อช่วยในการกายภาพบำบัดปวดหลัง ปวดเอว หากท่านไม่สะดวกที่จะต้องไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำแล้ว ท่านอาจจะเปิดศึกษาวิธีการทำกายภาพบำบัดปวดหลัง ปวดเอวได้จากทางเว็บไซต์ อินเตอร์เน็ต ซึ่งจะได้รับคำแนะนำมากมาย แม้กระทั่งการทำโยคะด้วยตนเองที่บ้าน ก็สามารถไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน มาหัดทำด้วยตัวเองที่บ้านได้
เตียงหรือเบาะรองนอนที่เก่าเกินไป
คนทุกคนมีลักษณะทางกายภาพที่ต่างกันดังนั้นจึงต้องการชนิดของเตียงหรือเบาะที่รองรับต่างกัน บางคนอาจคิดว่ายิ่งที่นอนยิ่งแข็งมากเท่าไหร่ยิ่งดี จึงนอนบนที่นอนที่แข็งและไม่รองรับสรีระหรือส่วนโค้งในร่างกายของพวกเขา จึงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวสะสม หรือในทางตรงข้ามการนอนบนที่นอนที่นิ่มและเก่าเกินไปก็ไม่ช่วยรองรับน้ำหนักอะไรเลย ทำให้ปวดได้เช่นเดียวกัน
ที่นั่งในรถหรือที่ทำงานที่ให้การรองรับที่ไม่เหมาะสมต่อสรีระ
การใช้หมอนรองหลังหรือเก้าอี้ที่ช่วยกระจายน้ำหนักของให้ลงมาที่ปุ่มกระดูกนั่งหรือ ischial tuberosity ก็สามารถช่วยลดปัญหาการปวดหลังได้มากขึ้นเนื่องจากช่วยให้กระดูกสันหลังช่วงล่าง (lumbar spine) อยู่ในสรีระที่เหมาะสมขณะนั่ง การนั่งบนโซฟาเป็นเวลานาน ๆ ก็ป็นอีกหนึงในสาเหตุที่ทำให้ปวดหลังเช่นกันเนื่องจากไม่มีการรองรับสรีระที่ดี
การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสมในคลาสเรียน
บางครั้งระหว่างออกกำลังกายในคลาสเรียนตามที่เทรนเนอร์หรือผ็ฝึกสอนบอกอาจทำให้เราต้องฝีนทำในท่าที่เรามีอาการปวดได้เพราะทุกคนต้องออกกำลังกายในท่าเดียวกันแต่ทุกคนมีสรีระหรือปัญหาที่ไม่เหมิอนกัน ดังนั้นการฝืนออกกำลังกายต่อเนื่องในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นประจำย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาอาการปวดหรือบาดเจ็บเรื้อรังได้
การทำพฤติกรรมหรือนิสัยที่ไม่ดีต่อสรีระ
การยืนถ่ายน้ำหนักลงขาข้างเดียว การโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อแปรงฟันหรือล้างจาน การก้มหน้าพิมพ์โทรศัพท์เป็นประจำ การลุกจากที่นอนตอนตื่นนอนตอนเช้าหรือการลุกจากโดยใช้กล้ามเนื้อหลัง พฤติกรรมง่าย ๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณมีอาการปวดหลังเรื้อรังได้จึงควรได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง
การรักษาอาการปวดด้วยตนเอง
นอกจากการแก้สาเหตุจะมีความสำคัญมาก การจัดการกับอาการปวดด้วยตนองก็ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นเดียวซึ่งมีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟินของตัวคุณเอง
เอ็นโดรฟินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตตามธรรมชาติที่พบได้ในร่างกายของคุณ คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าฮอร์โมนมีฤษธิ์เทียบเท่าหรือมากกว่ากับยาแก้ปวดปกติที่เราใช้เป็นประจำ เมื่อเอ็นโดรฟินถูกปล่อยออกมามันจะช่วยลดการส่งสัญญาณความเจ็บปวดที่จะส่งไปที่สมองของคุณทำให้อาการปวดลดลง นอกจากนี้เอ็นโดรฟินขช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้าซึ่งเกี่ยวข้องกับอาการปวดหลังเรื้อรังและมักทำให้อาการปวดแย่ลงได้อีกด้วย การออกกำลังกายแบบแอโรบิต นวดผ่อนคลาย หรือนั่งสมาธิจะช่วยกระตุ้นการหลั่งเอ็นโดรฟินได้
นอนหลับพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูอย่างเพียงพอ
อาการปวดมักจะนำไปสู่การนอนหลับไม่สนิท หลับยาก หรือ คุณภาพการนอนไม่ดี ผู้ป่วยประมาณ 2ใน 3 ที่มีอาการปวดเอว ปวดหลัง มักมีปัญหาเรื่องการนอนร่วมด้วย ซึ่งการนอนที่ไมดีนั้นจะกระตุ้นให้ประสาทที่รับรู้อาการเจ็บปวดตื่นตัวมากขึ้นทำให้อาการปวดเอวและหลังแย่ลง ดังนั้นหากต้องการแก้ปัญหาการปวดเอวและหลัง ควรนำเรื่องรักษาคุณภาพการนอนเข้ามีส่วนด้วยเพราะการได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยลดอาการปวดได้
เพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของคุณ
กล้ามนื้อแกนกลางเป็นตัวช่วยพยุงร่างกายของคุณให้ตรง สร้างความสมดุลของร่างกายตั้งแต่บริเวณสะโพก หลัง ไปจนถึงหัวไหล่ ช่วยรับน้ำหนักจากกระดูกสันหลังและป้องกันอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อต่างๆอีกด้วย ดังนั้นการออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดอาการปวดเอวและหลังได้
ลดอาการปวดด้วยการประคบความร้อน
การใช้ความร้อนมีประโยชน์หลัก ๆ คือ เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและจะช่วยเร่งการฟื้นฟูของร่างกายในบริเวณที่ได้รับความร้อน นอกจากนี้อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อที่ตึงหรือเกร็งคลายตัวลง และยังช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายหรือเกิดความเสียหายให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
ลดอาการปวดด้วยการประคบความเย็น
การใช้ความเย็นมีประโยชน์หลัก ๆ คือ ช่วยลดการอักเสยและชะลอการกระตุ้นเส้นประสาทซึ่งทำให้เส้นประสาทจากการกระตุก ทำให้ลดอาการปวดเอวและหลังได้ ปกติการประคบเย็นจะใช้ในเวลาที่เกิดการบาดเจ็บเฉียบพลันร่วมกับมีการบวมหรือต้องการลดอาการปวดในทันที แต่ถ้าเป็นปวดร่วมกับมีอาการตึงกล้ามเนื้อ ควรใช้การประคบร้อนจะมีประโยชน์มากกว่าประคบเย็น
ยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (hamstring) อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังมีบทบาทสำคัญที่มีต่อการใช้งานกับข้อต่อหลัก 2 อัน คือ ข้อต่อสะโพกและหัวเข่า หากกล้ามเนื้อมัดนี้ตึงมากเกินไปจะส่งผลให้ข้อต่อสะโพกถูกดึงทำให้เกิดการตึงมากขึ้นของกล้ามเนื้อหลัง หากมีการหดตัวเป็นเวลานาน ๆ จะนำไปสู่อาการปวดได้ ดังนั้นการยืดกล้ามเนื้อมัดนี้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งจะช่วยป้องกันและอาการปวดหลังได้
1) โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (herniated disc pulposus : HNP)
โรคนี้เกิดจากเจลในหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นออกมาไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง (spinal cord) หรือรากประสาท (spinal nerve root) ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ซึ่งพบได้บ่อยมาก..
อาการของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
- ปวดหลังรุนแรง ปวดมากจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ (ในกรณีที่ทับโดนเส้นประสาทไขสันหลัง)
- ปวดเมื่อไอ จาม เบ่งถ่ายขณะเข้าห้องนํ้า (อันนี้คือหัวใจสำคัญของโรคนี้เลยครับ)
- ไม่สามารถแอ่นหลังได้ ต้องก้มหลังตลอดเวลา ถ้าแอ่นหลังจะปวดมากขึ้น
- ขาชา
- ปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างเลย
- บางรายไม่มีอาการปวดหลังเลย แต่จะรู้สึกขาชาอย่างเดียว พอเบ่งถ่ายก็รู้สึกขาชามากขึ้น
- บางรายก็ไม่มีอาการชาขา หรือปวดหลังเลย แต่จะปวดขาอย่างเดียว จะบีบจะนวดขายังไงก็ไม่รู้สึกดีขึ้น รู้สึกปวดขาแบบหน่วงๆ เหมือนขาหนักๆครับ
- หากเป็นมานานขาจะอ่อนแรง ล้มพับง่าย ยืนไม่มั่นคง
- กล้ามเนื้อขาฝ่อลีบ ของมัดที่เส้นประสาทถูกกดทับ
- ในกรณีที่ถูกทับมากๆ แค่พูด ผู้ป่วยก็รู้สึกปวดหลังจนนํ้าตาไหลแล้ว
- ปวดมากเมื่อกดลงไปที่กระดูกสันหลังตรงๆ
การรักษาด้วยตนเอง
1. นอนควํ่าแล้วนำผ้าร้อนประคบหลังไว้ 20-30 นาที แต่รายที่หมอนรองกระดูกปลิ้นออกมามากอาจจะนอนควํ่าไม่ได้เลย ให้นำหมอนใบใหญ่มาหนุนไว้ที่หน้าท้องขณะที่นอนควํ่า
บางรายนำหมอนใบใหญ่มากๆแทนที่จะหนุนแค่หน้าท้อง แต่ดันไปรองหน้าอกด้วยจนหลังแอ่นปวดมากกว่าเดิมอีก
2. ในขณะที่นอนควํ่าอยู่นั้นหากรู้สึกว่าอาการปวดทุเลาลงแล้ว ก็ค่อยๆปรับขนาดหมอนให้ใบเล็กๆลงเรื่อยๆจนไม่ต้องใช้หมอนรองหน้าท้องอีกต่อไป
3. นอนควํ่าแล้วไม่มีอาการปวด ต่อมาให้เราใช้แขนยันตัวขึ้นโดยที่เอวยังคงติดเตียงอยู่ พยายามแอ่นหลังให้มากที่สุดโดยที่ไม่รู้สึกปวด หากแอ่นไปถึงจุดที่ปวดแล้วให้หยุดแล้วกลับสู่ท่านอนควํ่าเหมือน ทำท่านี้จำนวน 10 ครั้ง เพื่อดันสารนํ้าให้กลับเข้าที่ เปรียบเหมือนกับการปั๊มนํ้า
4. หากเหยียดศอกจนตึงแล้วแอ่นหลังได้สุดโดยที่ไม่มีอาการใดๆแล้วละก็ ถึงเวลาที่บริหารกล้ามเนื้อหลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันไม่ให้หมอนรองกระดูกปลิ้นออกมาได้อีก
โดนการนอนควํ่าเช่นเดิม เอาแขนไว้ข้างลำตัว จากนั้นให้แอ่นหลังขึ้นจนอกพ้นพื้นแล้วลงจำนวน 10 ครั้ง และหากรู้สึกว่ากล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้นก็ให้เพิ่มความยากโดยการเอาแขนไขว้หลังไว้ แล้วยกลําตัวขึ้นค้างไว้ 10 วินาที จำนวน 10 ครั้ง
5. อีกวิธีหนึ่งในการดันสารนํ้าให้กลับเข้าที่โดยไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายเลย คือ การเดินในนํ้า ให้เราไปเดินในสระนํ้าที่มีความสูงระดับอก โดยขณะที่เดินไล่ไปตามขอบสระนั้นให้เดินเตะขาไปด้วย หรือหากมีอาการปวดเมื่อเดินก็ให้ยืนนิ่งๆแล้วย่อตัวลงคล้ายกับท่านั่งเก้าอี้ลม เหตุที่ให้ลงนํ้าความสูงระดับอกนั้นก็เพื่อใช้แรงดันนํ้าเนี่ยแหละครับเป็นตัวดันให้สารนํ้าที่ปลิ้นออกมากลับเข้าที่
เหตุผลที่นอนควํ่าแล้วอาการชา อาการปวดเบาลงนั้น เนื่องจากในขณะที่เรานอนควํ่าแรงดึงดูดของโลกจะดึงสารนํ้าของหมอนรองกระดูกสันหลังที่ปลิ้นออกไปทางด้านหลังนั้นให้ไหลย้อนกลับมาเข้าไปในหมอนรองกระดูก เส้นประสาทที่ถูกสารนํ้ากดทับอยู่ก็จะหายไปนั่นเอง..
2) โรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน (acute lower back pain)
โรคนี้แทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังเลยครับ เกิดจากตัวกล้ามเนื้อหลังของเราล้วนๆ แล้วที่น่าสนใจคือ โรคนี้จะมีอาการคล้ายกับหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมาก เพียงแต่ไม่มีอาการชาเท่านั้น ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อหลังของเราถูกใช้งานมากเกินไป จากการก้มๆเงยๆ การยกของหนัก อุบัติเหตุโดนกระแทบที่หลังโดยตรง การเล่นกีฬาอย่างหนัก จนทำให้กล้ามเนื้อหลังอักเสบอักเสบเฉียบพลันทันที
อาการ ของโรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน
- ปวดตึงหลัง
- รู้สึกปวดหลังแบบกว้างๆ ระบุตำแหน่งชัดเจนไม่ได้ (นี่คือจุดที่แตกต่างระหว่างเป็นที่กล้ามเนื้อกับกระดูกสันหลัง ถ้าเป็นที่กระดูกสันหลังจะระบุตำแหนงที่ปวดได้ค่อนข้างชัด แต่ถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อจะรู้สึกปวดกว้างๆ บอกตำแหน่งชัดเจนไม่ได้)
- ผู้ป่วยจะเดินหลังเกร็ง และแอ่นหลังตลอดเวลา
- กล้ามเนื้อหลังหดเกร็งเป็นลำชัดเจน
- จะก้มหรือแอ่นหลังก็ทำไม่ได้ เพราะปวดตึงหลังไปหมด
- บางรายอาจจะปวดร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือสองข้าง (อาการนี้จะสร้างความสับสนว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น)
- กำลังกล้ามเนื้อขายังคงเป็นปกติ
3) โรคกระดูกสันหลังเสื่อม (spondylosis)
โดยปกติแล้วโรคกระดูกสันหลังเสื่อมในระยะแรกจะไม่มีอาการปวดใดๆเลยนะ ผู้ป่วยจะมามีอาการปวดหลังก็ต่อเมื่อข้อต่อ facet joint ที่ทำหน้าที่เชื่อมกระดูกสันหลังชิ้นบนกับชิ้นล่างไว้ด้วยหัน เกิดเสื่อมลงมากจนทรุดตัวแล้วนั่นแหละครับ ถึงจะเริ่มมีอาการปวดหลัง
นอกจากนี้ ยังเกิดจากกระดูกงอก (หรือเรียกว่าหินปูนก็ได้) ที่เกิดจากการซ่อมแซมกระดูกสันหลังที่เสื่อมลง เกิดงอกมากเกินไปจนไปกดทับรากประสาทสันหลังเข้า ทำให้มีอาการขาชาได้ไม่ต่างจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเลยทีเดียว
อาการ ของโรคกระดูกสันหลังเสื่อม
- ในระยะแรกไม่มีอาการปวดใดๆเลยครับ แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ไปตรวจ X-ray อาจพบว่ากระดูกสันหลังอยู่ชิดกันมากขึ้น
- มีอาการปวดหลังแบบขัดๆภายในข้อ สามารถระบุตำแหน่งที่ปวดได้ชัดเจน
- ผู้ป่วยจะก้มหลังไม่ค่อยได้ หลังจะแอ่นอยู่ตลอดเวลา (ลองสังเหตุดู หากเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นจะตรงข้ามกันนะ)
- ผู้ป่วยจะก้มหลังได้ไม่สุด จะรู้สึกตึงๆขัดๆที่หลังในขณะที่ก้ม
- รู้สึกขาชาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง (แต่พบน้อยที่ชาทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน) เนื่องจากกระดูกงอกไปกดทับเส้นประสาท
- หากกดลงไปที่กระดูกสันหลังของข้อที่เสื่อม ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดขัดๆภายในข้อนั้น แต่หากกดที่ข้ออื่นจะไม่รู้สึกอะไร
- หากกระดูกสันหลังทรุดมาก อาจจะทำให้กล้ามเนื้อหลังหดเกร็งค้าง จนนำไปสู่อาการปวดหลังจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบ
วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังเสื่อมมากขึ้น โดยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อหลังและลำตัวเพื่อให้กล้ามเนื้อช่วยพยุงกระดูกสันหลังไม่ให้ทรุดตัวมากขึ้น หมั่นยืดกล้ามเนื้อหลังเพื่อให้กล้ามเนื้อหลังคลายตัว หลีกเลี่ยงการก้มหลังยกของหนัก หรือการนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรหาหมอนใบเล็กๆมาดุนหลัง
แต่กรณีที่เกิดอาการปวดหลังมากก็จะลดปวดก่อนโดยใช้เครื่องมือ เช่น เครื่อง US, เครื่อง short wave, laser, การใช้เครื่องดึงหลัง, การกระตุ้นไฟฟ้า เป็นต้น จนผู้ป่วยมีอาการปวดลดลงจึงจะขยับข้อต่อ (mobilize) ของข้อที่ติดแข็ง เพื่อให้ข้อกระดูกเคลื่อนไหวได้มากขึ้น เพิ่มช่องว่างภายในข้อกระดูกสันหลัง ลดการเสียดสีของข้อกระดูก และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อหลัง
4) โรคปวดสะโพกร้าวลงขา (sacroiliac joint dysfunction symptoms)
โรคนี้คนเป็นเยอะไม่แพ้โรคกระดูกสันหลังเสื่อม แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักกัน เพราะอาการมันคล้ายกับกระดูกสันหลังเสื่อมมากๆ ต่างกันแค่ตำแหน่งที่ปวดเฉยๆ ซึ่งก็คือที่ตำแหน่งรอยต่อระหว่างกระดูกเชิงกราน (pelvic) กับกระดูกสันหลังส่วนปลาย (pelvic) นั่นเอง
อาการ ของโรคปวดสะโพกร้าวลงขา
- ปวดบริเวณขอบกระดูกเชิงกราน ใกล้กับแนวกระดูกสันหลัง (ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้เข้าใจผิดบ่อยๆว่าเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อม)
- ปวดเมื่อบริเวณหลังเมื่อนั่งนาน
- จะมีอาการปวดเสียวที่หลัง เมื่อเปลี่ยนจากท่านั่งไปยืน โดยเฉพาะหลังจากขับรถมานาน
- จะสังเกตุเห็นเอวทั้ง 2 ข้างอยู่สูงตํ่าไม่เท่ากัน
- ปวดบริเวณหลังส่วนล่างร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง
- ปวดมากเมื่อนั่งนาน
- ผู้ป่วยไม่สามารถนั่งนานๆได้ หากนั่งนานก็จะนั่งเอี้ยวตัวลงนํ้าหนักที่ก้นข้างใดข้างหนึ่งแทน
- รู้สึกขาอ่อนแรง บางครั้งเดินๆอยู่ก็รู้สึกเข่าพับไปดื้อๆ
- รู้สึกปวดแบบแหลมๆที่กระเบ็นเหน็บ เมื่อนั่ง
- ไม่มีอาการชาใดๆ
- ปวดตามแนวขอบกางเกงใน
- X-ray จะไม่เห็นความผิดปกติมากนัก ไม่เหมือนโรคกระดูกสันหลังเสื่อม
- หากกดลงไปที่กระดูกสันหลังตรงๆ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกปวดอะไร แต่หากกดที่รอยต่อระหว่างกระดูกเชิงกรานจะปวดร้าวลงขา บางรายอาจจะปวดร้าวลงหน้าแข้งเลยก็มีครับ
5) โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (piriformis syndrome)
โรคนี้พบได้เยอะมากกกกก แล้วเป็นโรคที่อาจเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เพราะว่ามันมีอาการชาร้าวลงขาเหมือนกันเลย ต่างกันแค่ตำแหน่งที่เส้นประสาทถูกหนีบเท่านั้นเองครับ โรคนี้เกิดจากกล้ามเนื้อ piriformis ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดลึกอยู่ภายในก้นของเรา เกิดตึงตัวมากๆจากการนั่งนานไปหนีบเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงขาชื่อว่า sciatic nerve ผลก็คือ ผู้ป่วยจะมีอาการขาชา ขาอ่อนแรง กล้ามเนื้อขาฝ่อลีบ แต่เมื่อไอจามแล้วไม่มีอาการปวดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
อาการ ของโรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท
- รู้สึกปวดลึกๆที่แก้มก้น หรือก้นย้อย คลำหาจุดกดเจ็บไม่ค่อยเจอ เพราะกล้ามเนื้ออยู่ลึกมาก
- รู้สึกขาชา แต่จะรู้สึกชาตั้งแต่ก้นลงมา
- จะรู้สึกปวดก้นมากขึ้น หรือขาชามากขึ้นหากนั่งนาน
- ไม่มีอาการปวดหลังใด
- มีจุดกดเจ็บที่ก้น เมื่อนักกายภาพใช้นิ้วกดลงไปทีแก้มก้นจะรู้สึกปวดมากที่ก้นและบางรายปวดร้าวลงถึงปลายเท้า
- ไอ จาม หรือเบ่งถ่ายไม่ทำให้เกิดอาการปวดเพิ่มมากขึ้น
- รู้สึกขาอ่อนแรง เมื่อเดินลงนํ้าหนักจะรู้สึกว่า ขาเหยีบพื้นได้ไม่เต็มที่
- รู้สึกขาหนักๆ ยกขาข้างที่เป็นไม่ค่อยขึ้น
การรักษาโครงสร้างกระดูกสันหลังและสะโพกให้อยู่ในแนวที่ปกติ ต้องใช้การออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงมากเพียงพอที่จะพยุงโครงสร้างกระดูกไว้ได้
6) โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน (spondylolisthesis)
โรคนี้อาจจะสังเกตุอาการยากนิดนึงครับสำหรับคนทั่วไป ส่วนใหญ่จะใช้การตรวจ X-ray จึงเห็นชัดครับ ซึ่งโรคนี้เกิดจากตัวเชื่อมระหว่างปล้องกระดูกสันหลังกับส่วนหางของกระดูกสันหลัง (pars interarticularis) มันหัก ทำให้ตัวปล้องกระดูกสันหลังเคลื่อนไปด้านหน้ามากกว่าปกติ อาจเกิดจากอุบัติเหตุที่กระดูกสันหลังโดยตรง จากที่เคยตั้งครรถ์ หรืออ้วนลงพุงมากก่อนก็ได้ครับ
อาการ ของโรคกระดูกสันหลังเคลื่อน
- ระยะแรกไม่มีอาการแสดงใดๆเลยครับ
- หากเคลื่อนมากขึ้น จะรู้สึกปวดหลัง ปวดหลังร้าวลงขา
- หากเคลื่อนไปทับเส้นประสาท จะมีอาการขาชา ขาอ่อนแรง
- ผู้ป่วยจะยืนเดินนานไม่ค่อยได้
การรักษาสำหรับโรคนี้โดยการผ่าตัด หรือกายภาพบำบัดโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อหลังเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะหยุงกระดูกสันหลังไม่ให้เคลื่อนมากกว่าที่เป็นอยู่ อาจใช้อุปกรณ์เสริมร่วมด้วยเช่น อุปกรณ์พยุงหลัง หรือติด kinesio tape ที่หลังเพื่อพยุงกล้ามเนื้อหลังช่วยลดปวดได้..
7) หมอนรองกระดูกเสื่อม
โครงสร้างของหมอนรองกระดูกจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆก็คือ เอ็นหุ้มหมอนรองกระดูกสันหลัง (annulus fibrosus) และสารนํ้าในหมอนรองกระดูก (nucleus pulposus) โดยเอ็นหุ้มหมอนรองจะมีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงรอบนอกตามปกติ แต่สารนํ้าในหมอนรองที่อยู่ตรงกลางหมอนรองเนี่ย มันไม่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยง
หมอนรองกระดูกจะมีความยืดหยุ่นสูงมาก ยืดได้ หดได้ บิดได้เหมือนสปริงเลยล่ะ เช่น เรากระโดดสูง ช่วงที่เรากระโดดลอยตัวอยู่ หมอนรองกระดูกจะถูกยืดยาวออก แต่พอตกลงมาจนเท้ากระแทกพื้น หมอนรองกระดูกก็หดตัวกลับดังเดิม แล้วในช่วงเช้าหมอนรองกระดูกจะถูกยืดยาวมากที่สุด เพราะไม่มีนํ้าหนักตัวมากดหมอนรอง สารนํ้าในหมอนรองจึงมีอยู่มาก
อาการหมอนรองกระดูกเสื่อม
การรักษาหมอนรองกระดูกเสื่อม
การรักษาหมอนรองกระดูกเสื่อมมุ่งไปที่การบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น โดยอาจใช้วิธีต่อไปนี้
การประคบร้อนหรือประคบเย็น
การประคบเย็นสามารถช่วยลดอาการปวด ส่วนการประคบร้อนจะช่วยลดการอักเสบที่เป็นสาเหตุของอาการปวด
การใช้ยา
ได้แก่ ยาบรรเทาอาการปวดอย่างพาราเซตามอล และยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อย่างไอบูโพรเฟน
การทำกายภาพบำบัด
ท่าออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณโดยรอบหมอนรองกระดูกสันหลังที่เสื่อม รวมถึงเพิ่มการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้อาการปวดและบวมอักเสบลดน้อยลงและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น เช่น การยืดกล้ามเนื้อ โยคะ เป็นต้น ผู้ป่วยต้องทำไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องจึงจะค่อย ๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
การผ่าตัด
หากมีภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมอย่างรุนแรง อาการปวดไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงหลังเข้ารับการรักษา ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการเชื่อมข้อกระดูกสันหลังเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของข้อกระดูกบริเวณนั้น ๆ หรือผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังเทียม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเอาหมอนกระดูกที่เสื่อมออก แล้วแทนที่ด้วยหมอนกระดูกเทียมที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก
แก้ไขพฤติกรรม..
พฤติกรรมไม่ดีเพียงเล็กน้อย ถ้าทำอย่างสมํ่าเสมอเป็นเวลานานมันก็ทำให้เราเกิดโรคตามมาอีกมากมาย
เช่น นั่งนาน นอนน้อย นั่งไขว้ห้าง นั่งหลังค่อม หลังแอ่น ชอบนั่งเอี้ยวตัว หรือคนที่ยกของหนัก ต้องทำงานแบกหามทุกวัน คนกลุ่มนี้ก็เสี่ยงเป็นโรคหมอนรองกระดูกฉีก หรือโป่งพองจนไปกดเบียดเส้นประสาทได้อีก หรือไม่ก็เป็นโรคปวดกล้ามเนื้อหลังเรื้อรังตามมาอีก พูดง่ายๆคือ เวลาโรคเหล่านี้มาที มันมาเป็นแพ็คเกจ
คุณภาพชีวิตที่ดีได้นั้น เริ่มจากที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเอง นอนให้พอ ลุกขึ้นยืนเดินทุกๆ 50 นาทีสำหรับคนที่ต้องนั่งทำงาน ออกกำลังกายบ้าง ทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างสมํ่าเสมอ..
8) ปวดหลังจากอวัยวะภายใน
นอกจากอาการปวดหลังจากตัวกล้ามเนื้อและกระดูกแล้ว ก็ยังเกิดจากอวัยวะภายในของเรามีปัญหาด้วยก็ได้นะ เช่น เป็นโรคกระเพาะ, เป็นลำไส้อักเสบ หรือเป็นโรคไต แต่โรคเหล่านี้มักจะมีอาการปวดท้องควบคู่กันไปด้วย
1. เถาเอ็นอ่อน ถือเป็นสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออันดับต้นๆ ที่ใช้รักษาและบรรเทาอาการปวดเมื่อยกันมาตั้งแต่โบราณ ช่วยคลายอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ขัดยอก บำรุงเส้นเอ็นได้ดีมาก ส่วนใหญ่จะเอาเถามาต้มกิน
2. โคคลาน มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดหลัง ปวดเอว ปวดตามข้อ บรรเทาอาการเส้นตึง ครั่นตัว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ รวมทั้งยังช่วยบำรุงเลือด แก้กระษัย แก้โรคผิวหนัง
3. ดีปลี นอกจากดีปลีจะเป็นสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาการอักเสบของกล้ามเนื้อ แก้เส้นเอ็นได้แล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่นแก้พิษอัมพฤกษ์ อัมพาต
4. โด่ไม่รู้ล้ม ช่วยแก้อาการปวดบวม คลายเส้น บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือแก้อาหารปวดหลัง ปวดเอวได้เป็นอย่างดี
5. หญ้าหนวดแมว มีสรรพคุณบรรเทาอาการความดันโลหิตและโรคเบาหวาน และยังเป็นสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อย หรือรักษาโรคปวดข้อ ไขข้ออักเสบได้อีกด้วย
6. ทองพันชั่ง สามารถใช้รักษาไขข้ออักเสบ ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอกตามชายโครง คอเคล็ด มือเคล็ด และแก้อาการอักเสบ บำรุงร่างกาย
7. ไพล ใช้เป็นยาช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม หรือข้อเท้าแพลง ช่วยลดอาการอักเสบ ปวดบวม เส้นตึง เมื่อยขบ รวมถึงเป็นสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามร่างกายด้วย
8. กลิ้งกลางดง หรือเรียกว่าสบู่เลือด หรือกระท่อมเลือดก็ได้ นอกจากเป็นสมุนไพรช่วยบำรุงกำลังแล้ว ยังเป็นสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ด้วย
9. กวาวเครือแดง ช่วยทั้งบำรุงกระดูกและฟัน ลดอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
10. เถาเมื่อย ตามตำรายาไทยเป็นสมุนไพรที่ใช้แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นเอ็นหย่อน และหากนำมาผสมกับเถาเอ็นอ่อนต้มน้ำใช้ดื่มจะใช้เป็นยาแก้เมื่อยที่ดียิ่งขึ้น
11. เสม็ดแดง จัดเป็นสมุนไพรที่คนมักนิยมใช้ใบสดมาตำแล้วพอกบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ และอาการปวดบวมได้ดีมาก