ทำไมเราไอ?
ไอ เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกาย ที่ต้องการขับเชื้อโรคจากหลอดลมออกจากร่างกาย เพื่อปรับสมดุลย์นั่นเอง
สาเหตุหลักการไอ (ปลายเหตุ)
1. คอแห้ง เพียงทำให้คอชุ่มชื้นด้วย น้ำเปล่า น้ำผสมน้ำผึ้ง ลูกอม อมยิ้ม ฯลฯ ก็ใช้ได้แล้ว
2. คันคอ ร่างกายเกิดการตอบสนองเข้าแล้ว อย่างนี้ต้องมีตัวช่วยบ้าง อมเพื่อฆ่าเชื้อเล็กๆ เช่น มายบาซิน ซีพาคอล อมสมุนไพร สเตปซิล เป็นต้น
3. เสมหะ เหนียวๆ ในหลอดลม แบบนี้ต้องขับ หรือละลายมันซะ ทานยาน้ำแบบจิบทุกครั้งมีไอ ยาเม็ด จะช่วยได้เยอะ
สิ่งสำคัญเมื่อทำแล้วอาการไอต้องลดลง หรือหาย ด้วยจากการแก้ของแต่ละข้อ 1-3 นั้น มีหลายชนิด เมื่อทำไปแล้ว 1-2 วันไม่ดีขึ้น ก็ควรเปลี่ยนตัวแก้อื่นๆ ไปเรื่อยๆ เช่น
ไอมีเสมหะตามข้อ 3 เมื่อทานยาเม็ดแล้ว 2 วันไม่ดีขึ้น ก็ควรเปลี่ยนมาใช้ยาน้ำแบบจิบดูบ้าง หรือ ยาน้ำทาน 3-4 เวลา ต่อวัน
ถ้าไอคันคอตามข้อ 2 เมื่ออมด้วยมายบาซิน 2-3 แผงแล้วไม่หาย ก็ควรเปลี่ยนเป็น ซีพาคอลดู หรือสเตปซิลก็ได้ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีหลายชนิด ต้องลองเอาเองอย่างเดียว แต่ละคนจะทานไม่เหมือนกัน
แต่ที่สำคัญ ต้องพยายามฝืนการไอ หากไอเยอะอาจจะเจ็บคอ คอแดงได้ (หากไอเยอะมากขึ้น 2-3 วัน) อาจต้องกินยาฆ่าเชื้อเพิ่ม แบบนี้ไปพบแพทย์จะดีกว่า
สาเหตุหลักการไอ (ต้นเหตุ)
การที่คนเราเกิดมีอาการไอ ก็เพราะว่า......
o มีสิ่งระคายเคือง
เช่นไอเสีย ควันไฟ ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง แพ้ละอองเกสร แพ้อากาศเย็น แพ้กลิ่น ไปทำความระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจซึ่งทำให้มีอาการไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะขาวใสเพียงเล็กน้อย
พบในพวกที่สูบบุหรี่ คนที่เป็นโรคหวัดคันคอเจ็บคอวัณโรคปอดหลอดลมอักเสบในระยะเริ่มแรก หรือมะเร็งปอดในระยะเริ่มแรก
o ร่างกายต้องการขับเสลด
หนองก้อนเลือดในหลอดลมและในถุงลมออกมาเพื่อเป็นการช่วยลดอันตรายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งอาการไอแบบนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่อคนเราอย่างมาก
ไอแบบนี้จะมีลักษณะมีเสมหะหรือเสลดเหนียวข้นเป็นสีเขียวหรือสีเหลืองปนเขียว บางครั้งเป็นหนองหรือมีเลือดปนออกมา
พบในคนที่เป็นโรคปอดและหลอดลมหลอดลมอักเสบเรื้อรัง วัณโรคปอดถุงลมโป่งพอง หลอดลมพองมะเร็งปอดระยะรุนแรง
o ยาบางอย่าง
มีผลทำให้เกิดอาการไอมากเกินกว่าปกติซึ่งอาจเพียงทำให้เกิดความรำคาญ หากกล่าวถึงยาที่ทำให้เกิดอาการไอ ยา 2 กลุ่มสำคัญที่ควรรู้จักไว้
1.ยาลดความดันโลหิต
กลุ่มเอซีอีไอ ได้แก่ ยาอีนาลาพริล (Enalapril) ซึ่งใช้เป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูงโรคหัวใจวาย และใช้ป้องกันความเสื่อมของไตในผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย
ยากลุ่มนี้มักทำให้เกิดอาการไอแห้งๆ ในผู้ป่วย 20% ของผู้บริโภคยา ซึ่งโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องดูแลรักษา หากไอไอมากจนทนไม่ได้อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยาไปใช้ยากลุ่มอื่นทดแทนผู้ป่วยที่ใช้ยาแล้วมีอาการไอไม่ควรหยุดยาเอง เพราะยามีความสำคัญต่อการควบคุมความรุนแรงของโรคที่ทำการรักษาอยู่ ควรแจ้งแพทย์เพื่อทำการปรับเปลี่ยนยาที่เหมาะสมต่อไป
2.ยารักษาโรคกระดูกพรุน (Bisphosphonates)
ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว ยากลุ่มนี้ไม่ได้มีผลทำให้เกิดอาการไอถ้าใช้ยาอย่างถูกต้องและถูกวิธี โดยรับประทานก่อนอาหารมื้อเช้าครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง (ขึ้นกับชนิดของตัวยา) หลังรับประทานยาห้ามเอนตัวลงนอนหรือทำกิจกรรมใดๆ ที่อาจจะทำให้เกิดการไหลย้อนของยาเข้าสู่หลอดอาหารเนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลระคายเคืองหลอดอาหารโดยตรง
หากไม่ปฏิบัติตามวิธีดังที่กล่าวมาแล้วอาจทำให้หลอดอาหารโดนทำลายเกิดอาการแสบหน้าอก ไออย่างรุนแรง และไอเป็นเลือดได้
อาการไอ (Cough) จากร่างกายมีการตอบสนองเพื่อกำจัดสิ่งที่กีดขวางระบบทางเดินหายใจ อย่างมูก เสมหะ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในลำคอ อย่างละอองฝุ่นหรือควัน เป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอด
การไอมี 2 ลักษณะ คือ ไอแห้ง กับไอแบบมีเสมหะ การไอที่เกิดขึ้นทั่วไปและไม่ได้เป็นสัญญาณสำคัญของโรคร้ายแรงใด จะมีอาการดีขึ้นและหายไปภายในเวลาไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ แต่หากมีอาการสำคัญอื่นเกิดขึ้นร่วมกับการไอ ไออย่างรุนแรง ไอจนเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้ออยู่ในลำคอ ไอเป็นเลือด ไออย่างเรื้อรังติดต่อกันเป็นเวลานานแล้วไม่ทุเลาลงเกินกว่า 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาต่อไป
อาการไอแบ่งได้ 2 แบบ ดังนี้
ชนิดของอาการไอ
ถ้าแบ่งตามระยะเวลาของอาการไอ แบ่งได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1. ไอฉับพลัน คือ มีระยะเวลาของอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น
หวัด,
โพรงไซนัสอักเสบฉับพลัน,
คอหรือกล่องเสียงอักเสบ,
หลอดลมอักเสบ,
อาการกำเริบของโรคถุงลมโป่งพอง,
ปอดอักเสบ,
การที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในหลอดลม หรือสัมผัสกับสารระคายเคืองในสิ่งแวดล้อม เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ กลิ่นสเปรย์ แก๊ส มลพิษทางอากาศ
2. ไอเรื้อรัง คือ มีระยะเวลาของอาการไอมากกว่า 3 สัปดาห์ ถึง 8 สัปดาห์ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก
โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง,
รับประทานยารักษาความดันโลหิตสูงชนิด angiotensin-converting enzyme inhibitor (ACE-I) เป็นระยะเวลานาน,
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังแล้วมีน้ำมูกไหลลงคอ,
โรคหืด,
โรคกรดไหลย้อน [gastroesophageal reflux (GERD)],
การใช้เสียงมากทำให้เกิดสายเสียงอักเสบเรื้อรัง,
เนื้องอกบริเวณคอ กล่องเสียงหรือหลอดลม,
โรคของสมองส่วนที่ควบคุมการไอ,
โรควัณโรคปอด
ผู้ป่วยที่มีอาการไอเรื้อรัง บางรายอาจมีสาเหตุมากกว่าหนึ่งชนิด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุ
ผลเสียของอาการไอ
การที่ไอมากๆ อาจทำให้เสียบุคลิกภาพในการอยู่ร่วมในสังคมต่างๆ ทำให้เป็นที่รำคาญหรือเป็นที่รังเกียจของผู้อื่น และยังอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
นอกจากนั้นอาจรบกวนการรับประทานอาหารหรือรบกวนการนอนหลับ ในกรณีที่ผู้ป่วยอายุมาก การไอมากๆ อาจทำให้กระดูกอ่อนซี่โครงหักได้ (rib fracture) หรือทำให้ถุงลมหรือเส้นเลือดฝอยในปอดแตก ออกสู่โพรงเยื่อหุ้มปอด (pneumothorax or hemothorax) เกิดอาการหอบเหนื่อยและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
นอกจากนี้มีผลเสียต่อการผ่าตัดตา และหู เช่น การผ่าตัดต้อกระจก การไอ อาจทำให้เลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่ไปในลูกตาหลุดออกได้ หรือการผ่าตัดปะเยื่อแก้วหู การไออาจทำให้เยื่อแก้วหูเทียมที่วางไว้เคลื่อนที่ออกมาได้
การรับสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย
สารก่อความระคายเคือง เช่น ฝุ่น ควัน มลภาวะในอากาศ ขนสัตว์ เชื้อรา ละอองเกสร ไอระเหยจากสี น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีกลิ่นฟุ้ง การสูบบุหรี่ หรือการหายใจสูดเอาควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบเข้าไปในปอด
การใช้ยาบางชนิด
ยารักษาบางโรคบางอาการอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นการไอได้ เช่น
กลุ่มยาต้านเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE Inhibitors) เป็นยาลดความดันโลหิตและช่วยการทำงานของหัวใจ ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและภาวะอาการที่เกี่ยวกับหัวใจ และกลุ่มยาปิดกั้นเบต้า (Beta Blockers) ที่ทำให้ชีพจรเต้นช้าลงทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลง ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีผลข้างเคียงทำให้หลอดลมตีบแคบลง ส่งผลให้เกิดอาการไอได้ หากอาการไอเป็นผลข้างเคียงมาจากการใช้ยาเหล่านี้ อาการจะหมดไปด้วยเมื่อผู้ป่วยหยุดการใช้ยา
โรคและภาวะอาการป่วย
ปัญหาสุขภาพสามารถทำให้เกิดการไออย่างเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน หรืออย่างเรื้อรังได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความรุนแรงของโรค
โรคที่มักเป็นสาเหตุของอาการไออย่างเฉียบพลัน คือ โรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หากไม่มีอาการป่วยหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง จะฟื้นตัวและหายจากอาการไอภายในเวลาประมาณ 3 สัปดาห์
ส่วนอาการไอที่เกิดขึ้นกึ่งเฉียบพลัน คือ โรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเช่นเดียวกัน แต่ผู้ป่วยมีการฟื้นตัวช้าหรือมีการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าอาการไอแบบเฉียบพลัน เช่น
โรคหวัด ซึ่งอาการจะทุเลาลงและฟื้นตัวภายใน 3-8 สัปดาห์
อาการไอเรื้อรังที่มีอาการยาวนานติดต่อกันเกินกว่า 8 สัปดาห์ เกิดจากการอักเสบและติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง กรดไหลย้อน มะเร็งปอด หรือน้ำท่วมปอดอันเนื่องมาจากหัวใจล้มเหลว
วิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาอาการไอ คือ รักษาตามโรคและอาการป่วยที่เป็นสาเหตุของการไอ ส่วนอาการไอที่เกิดจากการระคายเคืองต่อสารและเชื้อโรคที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ แม้อาการจะทุเลาลงและหายดีภายในเวลาไม่เกิน 2-3 สัปดาห์
หากอาการไอรบกวนการใช้ชีวิต มีวิธีที่จะช่วยรักษาและบรรเทาอาการ ได้แก่
นอกจากนี้ อาจใช้ยาแก้ไอเพื่อบรรเทาอาการไอ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ จึงควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ โดยเฉพาะการใช้ในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ คนชรา และผู้ที่มีโรคประจำตัว
เริ่มต้นง่ายๆ กับการดื่มน้ำในแต่ละวันให้มากขึ้น ใครที่มีเสมหะในคอ น้ำก็จะช่วยละลายเสมหะให้น้อยลงได้ ส่วนใครที่มีอาการไอแห้งๆ น้ำก็จะช่วยให้ความชุ่มชื้นในลำคอได้ ทำให้มีอาการระคายเคืองภายในคอลดลงเช่นกัน
หากเลือกที่จะดื่มน้ำให้มากขึ้นแล้ว ควรเลือกดื่มน้ำอุ่นแทนการดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นจะช่วยละลายเสมหะ และให้ความชุ่มชื้นภายในลำคอได้ดีกว่าน้ำเย็น นอกจากนี้ยังสามารถเลือกดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาวระหว่างวันได้เช่นกัน
ข้างในอุ่นแล้ว ข้างนอกก็ต้องอุ่นด้วย การอาบน้ำอุ่นนอกจากจะช่วยลดน้ำมูกได้แล้ว ยังดีต่อร่างกายของคนที่เป็นหวัด และภูมิแพ้อีกด้วย
อย่าคิดว่าอาการไอจะหายไปได้เองง่ายๆ หากมีอาการไอจนตัวงอ ไอจนเพื่อนข้างๆ รำคาญ ควรรีบหายาแก้ไอมาอมด่วนๆ เพราะในยาแก้ไอจะมีส่วมประกอบที่จะช่วยลดอาการระคายเคืองภายในลำคอได้
บ้านไหนที่เปิดเครื่องปรับอากาศนอน ตกกลางคืนอากาศอาจจะแห้งจนทำให้อาการไอแย่หนักไปกว่าเดิม แม้ว่าอากาศในบ้านเราจะค่อนข้างร้อนชื้นอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการระคายเคืองคออยู่แล้ว อากาศแห้งๆ เย็นๆ จะยิ่งทำให้อาการไอเป็นหนักกว่าเดิม และอาจมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย ดังนั้นหากใช้เครื่องทำความชื้นภายในห้องนอน ก็จะช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองคอได้
Note : เครื่องทำความชื้น เป็นเครื่องที่เสียบปลั๊กแล้วมีไอน้ำพุ่งออกมา สามารถเพิ่มความชื้นในอากาศภายในห้องได้ (โรงพยาบาลบางแห่งจะมีเครื่องเพิ่มความชื้นในห้องผู้ป่วย) จะกลิ่นหอมๆ หรือไม่มีกลิ่นก็ได้ แล้วแต่คนชอบ แต่หากเลือกกลิ่นที่ช่วยให้หลับดี เช่น กลิ่นดอกคาโมมายด์ กลิ่นลาเวนเดอร์ ก็จะช่วยให้เรานอนหลับง่าย พักผ่อนได้เต็มที่ไปด้วย
ใครที่สูบบุหรี่ควรงดการสูบบุหรี่ในช่วงที่มีอาการไอเด็ดขาด เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ระคายเคืองคอมากยิ่งขึ้น และยังอาจทำให้มีเสมหะมากขึ้นได้อีกด้วย (แต่อยากจะแนะนำให้เลิกสูบบุหรี่ไปเลยจะดีกว่า เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคหลอดลมโป่งพอง และโรคอันตรายอื่นๆ อีกมากมาย)
หากคุณไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่ ก็ควรอยู่ให้ไกลห่างจากผู้ที่สูบบุหรี่ หรือกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ด้วยเช่นกัน
ส่วนประกอบของน้ำหอม และสเปรย์ต่างๆ (รวมถึงสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ) การทำให้โพรงจมูกมีอาการระคายเคืองได้ และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเสมหะเพิ่มมากขึ้น หรือไอเรื้อรังได้
นอกจากน้ำหอม และสเปรย์แล้ว อากาศรอบตัวอย่างอากาศแห้งๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงาน ฝุ่นควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ ควันจากการทำอาหาร มลพิษทางอากาศเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในโพรงจมูก และลำคอได้ ดังนั้นขณะที่มีอาการไอ ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองจากมลพิษทางอากาศเหล่านี้ด้วย
ส่วนใหญ่แล้ว อาการไอที่แย่ลงเรื่อยๆ หรือหายช้า เป็นเพราะร่างกายไม่มีเวลาที่จะซ่อมแซมตัวเอง เพราะเราใช้ร่างกายของเราหนักเกินไปจนพักผ่อนน้อยนั่นเอง ดังนั้นหากรู้ตัวว่าป่วย ไอหนักมาก ควรรีบเข้านอนแต่หัววันตั้งแต่อากาศยังไม่เย็นมากจนเกินไป และพักผ่อนให้เพียงพอ
ไม่เครียด เพราะความเครียดก็เป็นสาเหตุให้อาการไอหายได้ช้า
ทางสุดท้ายที่จะเพิ่งได้ คือการพบหมอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะอาการไอที่เราเป็นมานาน ทำทุกอย่างแล้วก็ไม่หาย อาจจะไม่ใช่อาการไอธรรมดาๆ โดยอาการไออาจจะเป็นเพียงอาการเบื้องต้น ที่เป็นสัญญาณเตือนถึงโรคอันตรายอื่นๆ ได้ ดังนั้นการพบแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับใครก็ตามที่อาการไอไม่ดีขึ้นเลยภายใน 1-2 สัปดาห์
เมื่อรู้สึกเจ็บป่วยง่าย ภูมิคุ้มกันน้อย อ่อนเพลีย แนะนำ...โปร-เอ็กบี: Pro-xB..เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก ด้วยสารสกัดธรรมชาติ ผู้เป็นเบาหวานความดันไทรอยด์ทานได้ดี..