เรอ (Belching)
เป็นปฏิกิริยาของร่างกายในการขับลมออกจากกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารออกทางปาก ทำให้เกิดเสียงที่เกิดจากสั่นของหูรูดหลอดอาหารและมีกลิ่นของอาหารที่ได้บริโภคและยังค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร
โดยมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีลมอยู่ในกระเพาะอาหารมากเกินไปและทำให้กระเพาะอาหารพองตัว ซึ่งการเรอเป็นการขับลมออกเพื่อลดการพองตัวของกระเพาะอาหาร
สาเหตุของการเรอบ่อย
สาเหตุที่ทำให้เรอหรือเรอบ่อย เกิดจากการมีลมอยู่ในกระเพาะอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งการที่มีลมมากกว่าปกติมาจากสาเหตุหลายประการ ที่พบบ่อย ได้แก่ รับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม การเรอไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะมีลมมากเกินไปเท่านั้น แต่อาจมาจากอาการไม่สบายท้องที่เกิดจากสาเหตุอื่น อาจเป็นเพราะปัจจัยดังต่อไปนี้
1. การกลืนลม (Aerophagia)
เป็นการกลืนอากาศเข้าไปทั้งที่เจตนาและไม่ได้เจตนา เช่น
- รับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มเร็วเกินไป
- รับประทานอาหารพร้อมกับคุยไปด้วย
- เคี้ยวหมากฝรั่ง
- ดื่มน้ำจากหลอดดูด
- สูบบุหรี่
- ใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี
- เกิดความวิตกกังวล
- หายใจลึก ยาว หรือเร็วกว่าปกติ
- ดูดนม เช่น เด็กอ่อนที่กินนมแม่
2. การรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มบางชนิด เช่น
- น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- อาหารที่มีแป้ง น้ำตาล หรือไฟเบอร์สูง
- อาหารที่ทำมาจากโฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ด
- ถั่ว
- บรอกโคลี
- หัวหอม
- กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
- กล้วย
- ลูกเกด
- ขนมปังโฮลวีท
3. การมีกรดในกระเพาะอาหารมาก เช่น
- ดื่มกาแฟ (สารคาเฟอีน)
- ปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจ และความเครียด
- มีอาหารตกค้างในกระเพาะอาหารมาก จากน้ำย่อยอาหารไม่เพียงพอ เช่น กินอาหารมากเกินไป
4. การใช้ยาบางชนิด เช่น
- ยาอะคาร์โบส (Acarbose) เป็นยารักษาเบาหวาน ชนิดที่ 2
- ยาระบาย เช่น ยาแลคตูโลส (Lactulose) และยาซอร์บิทอล (Sorbitol)
- ยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยานาพรอกเซน ยาไอบูโพรเฟน และยาแอสไพริน โดยการใช้ยาแก้ปวดในปริมาณมากอาจทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้เรอบ่อย
5. โรคประจำตัว ที่อาจทำให้มีอาการเรอบ่อย ได้แก่
- โรคกรดไหลย้อน
- โรคกระเพาะอาหารอักเสบ
- โรคกระเพาะอาหารหรือโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- ภาวะแพ้น้ำตาลแล็กโทสซึ่งอยู่ในอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบ
- ภาวะการดูดซึมฟรุกโตสหรือซอร์บิทอล (Sorbitol) ที่ผิดปกติ คือไม่สามารถย่อยน้ำตาลฟรุกโตสหรือซอร์บิทอลได้
- โรคติดเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร
6. สาเหตุอื่น ๆ ที่พบได้น้อย เช่น
- โรคเซลิแอค (Celiac Disease) หรืออาการแพ้กลูเตนในอาหารที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมปัง
- โรคตับอ่อนทำงานบกพร่อง ทำให้ขาดน้ำย่อยที่ใช้ในการย่อยอาหาร
- Dumping Syndrome เป็นภาวะที่กระเพาะอาหารย่อยอาหารและส่งไปยังลำไส้เร็วเกินไปก่อนที่อาหารจะถูกย่อย

อาการเรอหรือเรอบ่อย สามารถบรรเทาได้อย่างไร?
เรอที่เกิดขึ้นตามปกติทั่วไปไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่หากพบว่าเรอบ่อยหรือมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของระบบย่อยอาหารที่ผิดปกติ ในกรณีนี้จึงควรไปพบแพทย์ โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ
อย่างไรก็ตาม การเรอที่เกิดขึ้นทั่วไปจากลมที่มีมากในกระเพาะอาหารและลำไส้ สามารถบรรเทาได้ ดังนี้
ปรับพฤติกรรมการรับประทานและพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่าง
- รับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มให้ช้าลง จะช่วยลดการกลืนอากาศให้น้อยลงได้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารพร้อมกับคุยไปด้วย
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาก
- หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลแลคโตส สารให้ความหวานซอร์บิทอล หรือฟรุกโตส ซึ่งอาจทำให้การย่อยอาหารผิดปกติสำหรับบางคน
- หลีกเลี่ยงผักหรือผลไม้บางชนิด เช่น ถั่ว กะหล่ำปลี หัวหอม แครอท แอปริคอท ลูกพรุน บรอกโคลี หัวหอม กะหล่ำดอก กล้วย ลูกเกด ขนมปังโฮลวีท รวมไปถึงหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่ทำจากโฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งบางคนจะย่อยได้ยากและทำให้เกิดก๊าซมาก
- อาจรับประทานโยเกิร์ตแทนดื่มนม เพราะพบว่าบางคนที่รับประทานโยเกิร์ตแทนการดื่มนมจะทำให้เกิดก๊าซน้อยกว่า เนื่องจากแบคทีเรียที่อยู่ในโยเกิร์ตได้ย่อยน้ำตาลแลคโตสที่ทำให้เกิดปัญหาในการย่อยสำหรับบางคนได้บางส่วน
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอม เพราะขณะที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอม จะทำให้กลืนอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะทำให้กลืนอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ
- ตรวจสอบฟันปลอม เพราะหากฟันปลอมที่ใส่อยูไม่พอดี อาจทำให้ต้องกลืนอากาศเข้าไปมากเวลารับประทานอาหารและดื่มน้ำ
- หลีกเลี่ยงความเครียด ความวิตกกังวล

สมุนไพรช่วยย่อยอาหาร
ลดอาการอึดอัด ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือแน่นท้องแบบไม่ต้องพึ่งยา
ขิง
ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เสียดท้อง อาหารไม่ย่อย ขับลมในลำไส้ให้ผายลมและเรอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการหวัด แก้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร โดยขิงอ่อนจะมีสีขาวออกเหลือง มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม นิยมใช้เป็นผักจิ้ม ส่วนขิงแก่มีรสเผ็ดร้อน นิยมเอามาทำน้ำขิง หรือเพื่อความสะดวกสามารถใช้ขิงผงสำเร็จรูปชงดื่มก็อร่อยไม่แพ้กัน
เปลือกส้ม
ต่อไปนี้กินส้มอย่าเพิ่งทิ้งเปลือก เพราะเปลือกส้มช่วยในการย่อยอาหารที่มีไขมันสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล เป็นยาระบายอ่อน ๆ ปรับระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการกรองสารพิษของตับ แต่เนื่องจากเปลือกส้มมีรสขม ดังนั้นจึงควรเอาไปย่างจนเปลือกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีไหม้ ซึ่งจะทำให้เปลือกส้มมีความหอม รสชาติขมลดลง โดยก่อนกินก็นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือนำเปลือกส้มตากแห้งประมาณ 1-2 กรัม มาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยตวง แล้วจิบเป็นชาเปลือกส้มจะทำให้กินง่ายขึ้น แต่สำหรับใครที่ชอบความสะดวกแนะนำให้ไปหาซื้อเปลือกส้มอบแห้งเก็บไว้ประจำบ้านเลย
กระเทียม
กระเทียมเป็นสมุนไพรไทยที่คุ้นเคยกันดีโดยนิยมใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด สรรพคุณของกระเทียมนอกจากช่วยลดระดับไขมัน ลดความดันโลหิตสูง และส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นแล้วยังมีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหารอีกด้วย เพราะในกระเทียมมีสารที่ช่วยเพิ่มน้ำย่อยและน้ำดีทำให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใครที่ชอบปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อยอยู่บ่อย ๆ ให้กินกระเทียมซอยหลังมื้ออาหารนั้นทันทีแล้วอาการจะค่อย ๆ ทุเลาลง หรือสำหรับคนอยู่หอหรือมนุษย์คอนโดจะไปหาซื้อกระเทียมสดมาเก็บไว้คงลำบาก ขอแนะนำในรูปแบบอัดเม็ด ช่วยได้เหมือนกัน
หอมแดง
จำได้เมื่อตอนเป็นเด็กเวลาเป็นหวัดคุณแม่จะทุบหอมแดงหรือหอมเล็กต้มกับน้ำให้เดือดแล้วนำมาผสมน้ำให้อุ่น จึงค่อยนำมาอาบเพราะสารในหอมแดงช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้นและช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณขับลม แก้ท้องอืดแน่น และช่วยย่อยอาหารและทำให้เจริญอาหารอีกด้วย โดยนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด โดยเฉพาะเมนูต้มยำและเมนูยำต่าง ๆ
ตะไคร้
ตะไคร้มีสารในการขับน้ำดีมาช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับลม และลดอาการจุกเสียด ใครที่กินอาหารแล้วรู้สึกอึดอัดไปชงชาตะไคร้มาดื่มช่วยได้ โดยล้างตะไคร้ให้สะอาดแล้วนำมาหั่นเป็นท่อน ทุบให้แตกใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด
ใบกะเพรา
กะเพราเป็นสมุนไพรที่มีดีมากกว่าเอามาทำผัดกะเพรา ใครที่อาหารไม่ย่อยมาดื่มน้ำต้มกะเพราสิ โดยใช้ใบสดสัก 1 กำมือมาต้มกับน้ำเดือด กรองเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือใช้ใบกะเพราตากแห้งมาชงน้ำร้อนดื่มก็ช่วยได้เช่นกัน
พริกไทยดำ
พริกไทยดำมีรสชาติที่เผ็ดร้อน มีสารที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงาน ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด และช่วยขับลม แต่ถ้าจะให้กินพริกไทยดำเปล่า ๆ คงไม่ไหว จึงมีในรูปแบบเม็ดสำหรับคนที่อาหารไม่ย่อย
ขมิ้นชัน
สาว ๆ คุ้นเคยกับการบำรุงผิวพรรณด้วยขมิ้นชันกันล่ะสิ แต่รู้ไหมคะว่าขมิ้นชันยังสามารถออกฤทธิ์เพิ่มการขับและกระตุ้นการสร้างน้ำดีได้ ซึ่งน้ำดีเป็นสาระสำคัญในกระบวนการช่วยย่อยและดูดซึมอาหารของร่างกาย อีกทั้งต้านการเกิดแผลและสมานแผลในกระเพาะอาหารด้วย
คาโมมายล์
สรรพคุณของดอกคาโมมายล์นอกจากช่วยทำให้นอนหลับสบายแล้วยังช่วยเรื่องช่วยขับลม บรรเทาอาการอักเสบและยับยั้งการเกิดแผลในทางเดินอาหาร ในบ้านเราจะมีวางขายในรูปดอกอบแห้ง จับมาชงด้วยน้ำร้อนประมาณ 150 ซีซี แช่ประมาณ 5-10 นาที แล้วกรองกากออก หรือจะซื้อในรูปแบบชาคาโมมายล์มาชงดื่มก็ได้เช่นกัน
เลมอนบาล์ม
เลมอนบาล์มเป็นสมุนไพรในตระกูลมินต์ ใบมีสีเขียวสด มีรอยย่นทั่วเหมือนใบสะระแหน่ กลิ่นของใบจะหอมซ่าแบบเลมอนทั่วไป ซึ่งคนที่มีอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย นำใบสดมาต้มน้ำดื่มจะช่วยขับลมในกระเพาะ ขับเหงื่อ แก้ร้อนใน บรรเทาอาการคัดจมูกได้ นอกจากนี้ยังใช้ใบสดขยี้แช่ในน้ำอุ่นเอาไว้อาบน้ำหรือแช่ตัวก็ช่วยให้ผ่อนคลาย ขจัดความเหนื่อยล้าได้ด้วย
เปปเปอร์มินต์
เปปเปอร์มินต์มีสารเมนทอลและเมนโทนเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคและเชื้อไวรัสได้ ช่วยละลายเสมหะและน้ำมูก และที่สำคัญยังช่วยบรรเทาอาการท้องไส้ปั่นป่วนและอาหารไม่ย่อยได้ดี โดยใช้ใบสดต้มกับน้ำดื่ม หรือซื้อในรูปแบบชาเปปเปอร์มินต์มาต้มดื่มก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้สามารถเติมน้ำผึ้งเพิ่มความหอมหวานสดชื่น
เทียนข้าวเปลือกหรือเมล็ดเฟนเนล
เทียนข้าวเปลือก หรือยี่หร่าหวาน (Sweet Fennel) มีสีนวลคล้ายข้าวเปลือก เม็ดอ้วนและใหญ่กว่ายี่หร่าที่เป็นเครื่องเทศ ส่วนใหญ่จะนำเมล็ดแห้งมาบดชงดื่มช่วยแก้อาหารไม่ย่อย ช่วยขับลม รวมถึงใช้ขับเสมหะและแก้ไอได้อีกด้วยCr. pobpad.com, kapook.com
ถ้าภูมิต้านทานน้อย นอนไม่หลับ เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..