ปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะอาหาร (อักเสบ) จริงหรือไม่?หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด เป็นอาการของโรคกระเพาะอาหารใช่หรือไม่ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการปวดท้องแบบไหนเป็นโรคกระเพาะอาหาร (อักเสบ) หรือเป็นอาการปวดท้องธรรมดา..

อาการของโรคกระเพาะอาหาร
1. แสบท้อง
2. ปวดท้องแบบจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ มักปวดเวลาหิว หรือท้องว่าง ถ้าได้รับประทานอาหาร หรือนม อาการปวดท้องก็จะทุเลาลง
3. บางรายอาจมีอาการปวดท้องมากเวลารับประทานอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือดื่มน้ำอัดลม
4. บางครั้งมีอาการปวดท้องตอนดึกๆ
5. ปวดแน่น ท้องอืด มีลมในท้องมาก หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย โดยเฉพาะหลังมื้ออาหารทำให้อิ่มง่ายกว่าปกติ
6. เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง
7. อาการแทรกซ้อน เช่น ในรายที่กระเพาะอาหารเป็นแผลลึกทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือดและถ่ายอุจจาระเป็นสีดำด้วย
8. ปวดท้องเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ มานานเป็นปี

สาเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหาร
1. รับประทานอาหารรสจัดเป็นประจำ
2. รับประทานอาหารไม่เป็นเวลาเป็นประจำ
3. รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์เป็นประจำ
4. รับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำ
5. มีความเครียดและวิตกกังวลทำให้มีการหลั่งกรด หรือน้ำย่อยมากขึ้น
6. การดื่มเครื่องดื่มบางประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุรา กาแฟ
7. การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดแอสไพริน ยาลดการอักเสบ เป็นประจำ
8. การสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดหดรัดตัว เลือดไปเลี้ยงกระเพาะอาหารน้อยลงทำให้แผลในกระเพาะอาหารหายช้า

ปวดท้องแบบไหนเป็นโรคกระเพาะ (อาหารอักเสบ)
โรคกระเพาะ (อาหารอักเสบ) มักมาด้วยอาการปวดท้องกลางท้องช่วงบน ลักษณะการปวดคือ รู้สึกปวดแน่นหรือแสบร้อนสัมพันธ์กับมื้ออาหาร เช่น หลังรับประทานอาหารอาการปวดท้องจะดีขึ้นหรือแย่ลง บางคนมีอาการอิ่มง่าย อิ่มเร็ว ระยะเวลาของการปวดอาจเป็นวันหรือเป็นเดือน หรือมีลักษณะเป็นๆหายๆ โดยส่วนใหญ่ไม่รุนแรงแต่ถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกที่กระเพาะอาหาร, กระเพาะอาหารทะลุ, กระเพาะอาหารอุดตัน, มะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยก็อาจเสียชีวิตได้

ปัจจัยกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยและกรดในกระเพาะอาหาร
1. ระบบประสาทปกติ กระเพาะอาหารจะมีการควบคุมโดยระบบประสาท เมื่อมีอะไรมากระตุ้นจะทำให้เกิดการหลั่งของกรดมากขึ้น
2. อาหารที่ประกอบด้วยไขมัน แป้ง โปรตีน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น
3. เครื่องดื่มบางชนิด เช่น สุรา กาแฟ มีสารกระตุ้นในการสร้างกรด
4. ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดแอสไพริน คอติโซน นอกจากมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างกรดแล้วยังมีผลทำลายเยื่อบุกระเพาะโดยตรงได้
5. การสูบบุหรี่จะกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ ทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารสูงกว่าปกติ
6. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไขข้ออักเสบ โรคปวดเรื้อรัง จะมีโอกาสเกิดโรคกระเพาะสูงกว่าปกติ

อาการปวดท้อง
อาการปวดท้องส่วนใหญ่มักเกิดในช่วงเวลาช่วงสั้น ๆ และไม่ได้มีสาเหตุที่ร้ายแรงอะไร ซึ่งสาเหตุของอาการปวดท้องที่พบได้บ่อยก็คือ ท้องอืด ท้องผูก อาหารไม่ย่อย แต่หากพบว่ามีอาการผิดปกติใด ๆ ต่อไปนี้ร่วมด้วยก็ควรปรึกษาแพทย์
- อาการปวดท้องที่รุนแรงยิ่งขึ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ
- อาการปวดท้องไม่หายไปหรือกลับมาเป็นซ้ำ
- มีตกขาวผิดปกติ
- มีเลือดออกทางทวารหนัก
- รู้สึกไม่สบายในช่องท้องเป็นเวลา 1 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น
- อาการปวดไม่ดีขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมง อาการรุนแรงกว่าเดิมหรือเกิดขึ้นพร้อมกับการคลื่นไส้และอาเจียนบ่อย ๆ
- ท้องอืดเป็นเวลานานกว่า 2 วัน
- ท้องเสียติดต่อกันเกินกว่า 5 วัน
- รู้สึกแสบเมื่อปัสสาวะหรือปัสสาวะบ่อย
- รู้สึกไม่อยากอาหารเป็นเวลานาน
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการปวดท้องที่รุนแรง กลับมาเป็นซ้ำ หรือเกิดขึ้นพร้อมกับอาการใดต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
- ปวดท้องอย่างเฉียบพลันและรุนแรง
- อาเจียนเป็นเลือด
- รับประทานอาหารแล้วอาเจียนออกมาติดต่อกันนานกว่า 2 วัน
- รู้สึกเจ็บหรือฟกช้ำเมื่อสัมผัสบริเวณท้อง
- อุจจาระปนเลือด มีสีดำ หรือลักษณะคล้ายยางมะตอย
- อุจจาระไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มีการอาเจียนร่วมด้วย
- ปัสสาวะแล้วเจ็บหรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
- ปัสสาวะไม่ออก
- เป็นลมหมดสติหรือหายใจลำบาก
- ป่วยเป็นโรคเบาหวานและมีอาการอาเจียนร่วมกับปวดท้อง
- อาการปวดท้องระหว่างรับการรักษาโรคมะเร็ง
- อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นขณะกำลังตั้งครรภ์
- มีอาการบ่งบอกถึงภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำมากขึ้น ปากแห้งและลิ้นบวม อ่อนเพลีย
- อาการเจ็บเนื่องจากการได้รับบาดเจ็บที่บริเวณท้อง
- อาการเจ็บที่หน้าอก ลำคอ หรือไหล่
- อาการปวดร้าวไปถึงกระดูกสะบักพร้อมกับอาการคลื่นไส้
- อาการปวดคงอยู่นานเกินกว่า 2-3 ชั่วโมง
- มีไข้

สาเหตุของอาการปวดท้อง
ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้องไม่รุนแรง ปวดท้องหนักรุนแรง ปวดบีบในท้อง หรืออาการปวดท้องลักษณะอื่นใดก็ตามล้วนแต่เกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลาย โดยสาเหตุของอาการปวดท้องต่อไปนี้ถือว่าไม่รุนแรงนัก
- ท้องผูก
- โรคลำไส้แปรปรวน
- อาหารเป็นพิษ
- แพ้อาหารหรือมีภาวะพร่องเอนไซม์ เช่น ภาวะพร่องเอนไซม์แลคเทส
- ไวรัสลงกระเพาะ
สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ได้แก่
- ไส้ติ่งอักเสบ
- ลำไส้อุดตัน
- โรคหลอดเลือดแดงเอออร์ตาโป่งพองในช่องท้อง
- แสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน
- ลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือโรคโครห์น
- นิ่วในถุงน้ำดี
- ถุงน้ำดีอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากนิ่วในถุงน้ำดีหรือสาเหตุอื่นก็ได้
- โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่
- ตับอ่อนอักเสบ
- โรคกระเพาะอาหาร
- มีเลือดไปหล่อเลี้ยงลำไส้ลดลง หรือเรียกว่าโรคลำไส้ขาดเลือด
- มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ และอวัยวะอื่น ๆ
บางครั้งอาการปวดท้องยังอาจเกิดขึ้นได้โดยมีสาเหตุจากความผิดปกติที่บริเวณอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น บริเวณหน้าอกหรืออวัยวะในเชิงกราน โดยโรคหรือภาวะที่อาจเป็นสาเหตุ ได้แก่
- ปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรง
- ภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน
- ท้องนอกมดลูก
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- กล้ามเนื้อฉีก
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

การป้องกันอาการปวดท้อง
- ดื่มน้ำให้มากพอในแต่ละวัน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารมื้อละน้อย ๆ แต่รับประทานบ่อยขึ้น
- ลดอาหารที่จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ
- รับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบสัดส่วนและอุดมด้วยเส้นใยอาหารในแต่ละมื้อ โดยเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายอย่างน้อยวันละ 5 ส่วน เพื่อให้ลำไส้มีสุขภาพดี และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดท้องผูก โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่ รวมถึงโรคมะเร็งลำไส้ได้ดี

ตำแหน่ง 1 ปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา
เป็นจุดของตับและถุงน้ำดี หากกดแล้วเป็นก้อนแข็งๆ บวกกับอาการตัวเหลือง หมายถึงความบกพร่องของตับและถุงน้ำดี หากปวดมากควรรีบพบแพทย์
ตำแหน่ง 2 ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่
- ปวดใต้ลิ้นปี่ร่วมกับเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก อาจจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร หากปวดรุนแรงหรืออาเจียนด้วยอาจเป็นตับอ่อนอักเสบ
- หากคลำเจอก้อนเนื้อขนาดใหญ่ และแข็งแสดงว่าตับโต หรือหากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ อาจเป็นกระดูกลิ้นปี่
- หากอืดแน่นท้องเป็นๆ หายๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
ตำแหน่ง 3 ปวดบริเวณชายโครงซ้าย
จะตรงกับตำแหน่งของม้าม อย่ามัวรีรอรีบไปพบแพทย์
ตำแหน่ง 4,6 ปวดบริเวณบั้นเอวขวาหรือซ้าย
- ตำแหน่งตรงกับท่อไตพอดี
- ปวดเอวหรือมีปัสสาวะเป็นเลือดอาจจะเป็นนิ่วที่ไต จะเป็นข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้างก็ได้ ซึ่งจะมีอาการปวดมากจนเหงื่อออก
- ปวดร้าวถึงต้นขา การเริ่มต้นของการเป็นนิ่วในท่อไต
- อาการปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น เป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อรีบไปพบแพทย์
ตำแหน่ง 5 ปวดบริเวณรอบสะดือ
ตรงกับตำแหน่งลำไส้เล็ก มักจะมีอาการปวดบิด ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน หากกดแล้วปวดมากอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ ปวดจนทนไม่ไหวให้พบแพทย์ทันที
ตำแหน่ง 7 ปวดบริเวณท้องน้อยขวา
- เป็นตำแหน่งไส้ติ่ง ท่อไต ปากมดลูก และรังไข่ขวา
- ปวดเกร็งเป็นระยะๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา เป็นอาการกรวยไตอักเสบ หรือนิ่วท่อไต ควรรีบพบแพทย์
- ปวดเสียด บีบ ตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมากบริเวณท้องน้อยด้านขวาอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมมีไข้สูง มีตกขาว อาการของปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาการก้อนไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ผิดปกติ
ตำแหน่ง 8 ปวดท้องน้อย
- ตรงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และมดลูก
- ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดเวลาปัสสาวะ อาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดท้องน้อย มีไข้สูง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจจะเป็นมดลูกอักเสบ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน มีอาการปวดเรื้อรัง แสดงว่ามดลูกมีปัญหาควรรีบพบแพทย์
ตำแหน่ง 9 ปวดท้องน้อยซ้าย
- ตำแหน่งปีกมดลูกและท่อไต รังไข่ด้านซ้าย ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
- ปวดเกร็งเป็นระยะๆ ร้าวมาที่ต้นขา เป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น และมีตกขาว อาการของมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ เป็นอาการของลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผู
สมุนไพรใกล้ตัว บรรเทาโรคกระเพาะ
1. ขมิ้นชัน
น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นชันมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นจุกเสียด ขับลม จึงนิยมนำขมิ้นมาใช้สมานแผลในกระเพาะอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ รักษาโรคกระเพาะอาหาร โดยคนที่ซื้อขมิ้นชันแบบผงมารับประทานเอง ให้ใช้ขมิ้นชันผง 1 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว (ไม่เต็ม) แล้วรับประทาน ขมิ้นชันที่ไหลผ่านอวัยวะภายในต่าง ๆ สามารถบำรุงอวัยวะส่วนนั้นได้ด้วย คือ ผ่านลำคอ จะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ, ผ่านปอดจะช่วยดูแลปอดให้หายใจได้ดีขึ้น, ผ่านม้ามจะช่วยลดไขมัน ไม่ให้น้ำเหลืองเสีย, ผ่านกระเพาะอาหารจะช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร, ผ่านลำไส้จะช่วยสมานแผลในลำไส้ และผ่านตับก็จะช่วยบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ
2. ว่านหางจระเข้
วุ้นสดของว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ดี โดยวิธีใช้ให้เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ จากนั้นขูดเอาวุ้นใสมารับประทานวันละ 2 ครั้ง
3. กระเจี๊ยบเขียว
สรรพคุณเด่นของกระเจี๊ยบเขียวคือเป็นสมุนไพรช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยในปี 2547 มีงานวิจัยที่พบว่า สารประกอบไกลโคไซเลต (Glycosylated compounds) ซึ่งประกอบด้วยโพลีแซกคาไรด์ (Polysaccharides) และไกลโคโปรตีน (Glycoproteins) ในกระเจี๊ยบเขียว มีฤทธิ์ยับยั้งความสามารถของเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลริ (Helicobacter pylori) ในการเกาะเยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร แต่สารไกลโคไซเลต จะมีฤทธิ์ลดลงเมื่อถูกความร้อน ดังนั้นตำรับยาสำหรับรักษาโรคกระเพาะจึงให้ใช้ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียวหั่นตากแดด บดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยนำมาละลายในน้ำ นม น้ำผลไม้ หรืออาหารอ่อน ๆ กินวันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร (เวลาละลายจะได้น้ำยาเหนียว ๆ)
4. ลูกยอ
ลูกยอมีฤทธิ์ขม โดยสรรพคุณเด่นของลูกยอจะช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อนได้ดีกว่า ทว่าผลจากการใช้ลูกยอรักษาโรคกรดไหลย้อนยังดีต่อกระเพาะอาหารด้วย เนื่องจากสารในลูกยอจะช่วยเร่งการสมานแผลของกระเพาะอาหาร ทั้งยังช่วยลดการอักเสบเฉียบพลันของกระเพาะอาหารเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์อีกด้วย
5. เปล้าน้อย
เปล้าน้อยเป็นสมุนไพรที่มีสาร Disterpene alcohol มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี และยังสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารเนื่องจากสามารถกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อบุลำไส้ที่เสียไป ทำให้แผลในกระเพาะอาหารหายเร็วขึ้น รวมทั้งเปล้าน้อยยังมีสรรพคุณช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วยนะคะโดยวิธีใช้ให้นำใบอ่อนไปตากแห้ง บดให้ละเอียด และนำมาต้มหรือชงน้ำดื่ม
6. หัวปลี
หัวปลีไม่ได้เป็นแค่สมุนไพรบำรุงน้ำนมของแม่ลูกอ่อนเท่านั้น แต่ยางจากหัวปลียังมีฤทธิ์ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารให้เราได้ด้วย โดยวิธีใช้ให้นำปลีกล้วยน้าว้ามาเผา แล้วบีบเอาแต่น้ำ กะให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว ดื่มก่อนอาหาร รสชาติอาจจะกินยากหน่อยแต่โบราณบอกว่า ถ้ากินติดต่อกันได้ 3 วันอาการของโรคกระเพาะอาหารอาจหายขาดเลยเชียวล่ะ
7. มะขามป้อม
มะขามป้อมมีรสเปรี้ยว ฝาด ขม รสชาติคล้ายสมอไทย โดยมะขามป้อมเองก็มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดกรดเกินในกระเพาะอาหาร และบำรุงอวัยวะในร่างกายได้หลายส่วนรวมทั้งกระเพาะอาหารด้วย ซึ่งวิธีกินมะขามป้อมรักษาโรคกระเพาะให้กินผงลูกมะขามป้อมวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ช้อนชา ก่อนอาหารและก่อนนอน
8. กล้วย
ในเนื้อและเปลือกกล้วยมีเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่มีผลยับยั้งการหลั่งของน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร และกระตุ้นให้ลำไส้เล็กบีบตัวมากขึ้น จึงช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยวิธีใช้ก็แค่นำกล้วยน้ำว้าดิบที่แก่จัดทั้งลูก (ทั้งเปลือก) นำมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นขวางลูกเป็นชิ้นบาง ๆ เหมือนหั่นแตงกวาใส่ข้าวผัด เสร็จแล้วนำไปเกลี่ยใส่ถาด อย่าให้ชิ้นกล้วยซ้อนกันมากนัก ตากแดดจัด ๆ สักสามแดด แล้วจึงนำมาใส่ครกตำให้ละเอียด โดยนำมาตำในขณะเก็บจากแดดใหม่ ๆ เพราะกล้วยยังกรอบอยู่จะทำให้ตำละเอียดง่าย จากนั้นเก็บใส่ขวดปากกว้างที่มีฝาปิดได้สนิท ใช้ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำค่อนแก้วกินหลังอาหารทุกมื้อ ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้น
9. ฝรั่ง
ฝรั่งมีสารแทนนินอยู่มาก สารนี้มีฤทธิ์ฝาดสมาน และสารแทนนินในฝรั่งยังยับยั้งการลุกลามของเชื้อโรค ช่วยสมานท้องและลำไส้ โดยช่วยลดอาการอักเสบของกระเพาะลำไส้ และช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ทั้งยังช่วยอาการเกร็งตัวของลำไส้ ทำให้อาการปวดท้องบรรเทาลงได้ ดังนั้นใครเป็นโรคกระเพาะอาหารก็กินฝรั่งบรรเทาอาการได้เลย
10. กะหล่ำปลี
ผักอย่างกะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูง อีกทั้งในกะหล่ำปลียังมีสารอาหารกลูตามีนช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อบุผนังกระเพาะได้รวดเร็ว ทำให้แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้หายได้เร็ว จึงใช้เป็นอาหารในการรักษาโรคกระเพาะได้ดี โดยวิธีกินแนะนำให้กินสด หรือคั้นเป็นน้ำกะหล่ำปลีแล้วดื่ม ซึ่งจะคงคุณค่าสารอาหารได้ดีกว่านำไปปรุงสุกCr. sikarin.com, khonkaenram.com, pobpad.com, kapook.com
ถ้าภูมิต้านทานน้อย นอนไม่หลับ เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..