วันสารทจีน หรือ เทศกาลสารทจีน (Sart Chin Day or Ghost Festival or Spirit Festival)
เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้
ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปีปฏิทินทางจันทรคติของจีน ที่โดยปกติแล้วจะช้ากว่าปีปฏิทินทางจันทรคติของไทยประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งตามปีปฏิทินทางจันทรคติของไทยวันสารทจีนจะตรงกับวันขึ้น 14 หรือ 15 ค่ำ เดือน 9 หรือ 10 (โดยประมาณ)
ตำนานนี้กล่าวไว้ว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เซ็งฮีไต๋ตี๋ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเอง
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” เป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์มีจริง ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลกินเจนางเกิดความหมั่นไส้คนที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจ นางจึงให้มู่เหลียนไปเชิญผู้ถือศีลกินเจเหล่านั้นมากินอาหารที่บ้านโดยนางจะทำอาหารเลี้ยงหนึ่งมื้อ
ผู้ถือศีลกินเจต่างพลอยยินดีที่ทราบข่าวว่ามารดาของมู่เหลียนเกิดศรัทธาในบุญกุศลครั้งนี้ จึงพากันมากินอาหารที่บ้านของมู่เหลียนแต่หาทราบไม่ว่าในน้ำแกงเจนั้นมีน้ำมันหมูเจือปนอยู่ด้วย การกระทำของมารดามู่เหลียนนั้นถือว่าเป็นกรรมหนัก เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีมหานรกขุมที่ 8 เป็นนรกขุมลึกที่สุดได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง แต่ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมู่เหลียนได้เข้าไปขอพญาเหงี่ยมล่ออ๊อง (ท้าวมัจจุราช) ว่าตนของรับโทษแทนมารดา
แต่ก่อนที่มู่เหลียนจะถูกลงโทษด้วยการนำร่างลงไปต้มในกระทะทองแดง พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรดไว้ได้ทัน โดยกล่าวว่ากรรมใดใครก่อก็ย่อมจะเป็นกรรมของผู้นั้นและพระพุทธเจ้าได้มอบคัมภีร์อิ๋ว หลันเผิน ให้มู่เหลียนท่องเพื่อเรียกเซียนทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้นจากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่างๆ ได้ โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์อิ๋ว หลันเผินและถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้ โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน และกระดาษเงินกระดาษทองไปวางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมาใกล้ที่พักของตน
ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเซ่นไหว้ในช่วงสารทจีนนั้นนิยมทำกันในช่วงเช้า เริ่มต้นจากการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จากนั้นจึงนำเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาให้เรียบร้อย
ต่อด้วยช่วงสายๆ จึงตั้งโต๊ะเพื่อทำการไว้บรรพบุรุษและไหวฮ้อเฮียตี๋ แต่ในบางบ้านบางครอบครัวก็นิยมไหว้กันในช่วงบ่าย หากไหว้พร้อมกันให้ตั้งโต๊ะแยกจากกัน แต่สามารถเผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมกันได้ จะเห็นได้ว่า การไหว้ในช่วงเทศกาลสารทจีนจะมีความแตกต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ โดยได้แบ่งการไหว้ออกเป็นส่วนๆ 3 ส่วน 3 ชุด ดังนี้
ในสมัยโบราณชาวจีนใช้ขนมไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า โหงวเปี้ย หรือเรียกชื่อเป็นชุดว่า ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี
ปัง คือขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำมาจากน้ำตาลของไหว้สารทจีนมีอะไรบ้าง
ชาวไทยเชื้อสายจีนใช้ขนมเทียน ขนมเข่งในการไหว้ โดยหลักของที่ไหว้ก็จะมี
ของคาว 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ไก่ หมู เป็ด ไข่ หมึก ปลา เป็นต้น
ของหวาน 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ขนมเทียน ขนมมัดไต้ ขนมถ้วยฟู หรือขนมสาลี่ปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ
ความหมายของไหว้มงคล
อาหารคาว
ขนมมงคล
ผลไม้มงคล
ผลไม้ที่ไม่ควรนำมาไหว้
1. ละมุด เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักไม่โดดเด่น ปิดๆ ซ่อนๆ
2. มังคุด เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วไม่ได้ดีเท่าที่ควร ไปไม่ถึงที่สุด มันกุด ๆ ด้วน ๆ ไม่โดดเด่น
3. พุทรา เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วดีในช่วงแรกๆ ช่วงหลังๆ ซาซา
4. มะเฟือง เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักฝืดเคือง ไม่อะไรก็อะไร สักอย่าง
5. มะไฟ เชื่อกันว่าทำอะไรแล้วมักต้อง เร่งๆ รีบๆ เหมือนไฟลน ไม่ได้คุณภาพ
6. น้อยหน่า เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักมีปัญหา อุปสรรค เล็กน้อย จุกๆจิกๆ อยู่เสมอๆ ทำแล้วได้ผลเพียงน้อยนิด
7. น้อยโหน่ง เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ได้ผลสมบรูณ์เพียงน้อยนิด มีอุปสรรคปัญหา ไม่สมบรูณ์แบบ
8. มะตูม เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วไม่เจริญก้าวหน้า เช่นเดียวกับชื่อที่ตูมอยู่ตลอด ไม่ก้าวหน้า ไปไม่ได้ไกล
9. มะขวิด เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้วมักจะประสบปัญหา วัสดุอุปกรณ์ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ครบ ขาดโน่น ขาดนี่เสมอ
10. ลูกจาก เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักจะไม่ยั่งยืน
11. ลูกพลับ เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ผลงานต้องโดนเก็บใส่ลิ้นชัก ไม่ได้แสดงผลงาน ไม่ก้าวหน้า
12. ลูกท้อ เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว ท้อแท้ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังใจ
13. ระกำ เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว มักจะไม่ประสบความสำเร็จ
14. กระท้อน เชื่อกันว่า ทำอะไรแล้ว สิ่งที่ดีๆ ที่ต้องการเผยแพร่ออกไป กลับสะท้อนมายังจุดเดิม
15. ลางสาด เชื่อกันว่า เป็นผลไม้ที่มียาง ทำอะไรแล้วมักจะมีเรื่อง ยุ่งยากวุ่นวาย
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า หากใครที่ทำข้อห้ามทั้ง 7 ข้อนี้ในวันสารทจีน จะซวยกันไปตลอดทั้งปีแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้นะ ฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
เดือนเจ็ดเป็นเดือนที่ล้วนเกี่ยวกับผีทั้งสิ้น เขาว่ากันว่าเป็นเดือนที่ดีและร้ายสลับกันไป มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษก่อน แต่เทพประจำเดือนเจ็ดเป็นเทพแห่งความตาย เราจึงต้องเซ่นไหว้ท่านเช่นกัน (ความเชื่อ)
ทั้งยังมีความเชื่ออีกว่ามี ผีร้ายร่อนเร่ ผีไม่มีญาติ คอยแย่งผลไม้อาหารคาวหวานที่เราได้เซ่นไหว้บรรพบุรุษของเรา ผีพวกนี้จะคอยทำร้ายวิญญาณตนอื่นด้วยความหิวโหย เราจึงต้องมีการเซ่นไหว้ ทั้งบรรพบุรุษ และผีไม่มีญาตินั่นเอง
ปัจจุบันในประเทศจีนเทศกาลสารทจีนยังเหลือแต่ทางภาคใต้ แต่ไม่ค่อยคึกคักเหมือนสมัยก่อน เหลือแต่การไหว้บรรพบุรุษเป็นสำคัญ ส่วนมากไหว้ที่ศาลประจำตระกูล เพราะมีป้ายสถิตวิญญาณบรรพบุรุษรวมอยู่ที่นั่น
แต่ถ้ามีบรรพบุรุษที่ยังไม่ได้ทำป้ายสถิตวิญญาณเข้าศาลก็ต้องจัดไหว้ที่บ้านด้วย การไหว้บรรพชนไหว้ช่วงสายถึงเที่ยง เนื่องจากแต่ละหมู่บ้านมีคนมากนับร้อยนับพันครอบครัว จึงหมุนเวียนกันไปไหว้ให้ทันก่อนเที่ยง
การไหว้เจ้าและเทวดาตอนเช้าไม่ได้จัดของไหว้เป็นพิเศษ ไหว้เหมือนไหว้ “ชิวอิด จับโหงว” คือไหว้ต้นเดือนและปลายเดือนตามปกติ เทพจงหยวนประจำเทศกาลสารทจีนไม่ค่อยมีคนรู้จัก จึงไม่มีพิธีไหว้ท่านโดยเฉพาะ
ส่วนการไหว้ “ฮอเฮียตี๋” ตอนบ่ายนั้น ในถิ่นแต้จิ๋วและจีนแคะไม่มีมานานแล้ว คงเหลือแต่พิธี “ซีโกว” ซึ่งจัดที่วัดในช่วงปลายเดือนใกล้วันปิดประตูยมโลก
ส่วนในไต้หวันเทศกาลสารทจีนยังคึกคักมาก ตัววันสารทจีนกลางเดือน 7 เป็นวันหยุดราชการ มีกิจกรรมอันเนื่องด้วยเทศกาลตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงสิ้นเดือนดังนี้
1. วัน 1 ค่ำ เปิดประตูยมโลก จัดของไหว้ “ฮอเฮียตี๋” หน้าประตูบ้านตั้งแต่ 4 โมงเย็นเป็นต้นไป ของไหว้ต้องมาก เพราะมีความเชื่อว่าถ้าน้อย ไม่พอให้ผีกิน ผีอาจไม่พอใจ ส่วนตามวัด ศาลเจ้าจะจุดโคมเชิญวิญญาณตั้งแต่วันนี้
2. วัน 15 ค่ำ ตัววันสารทจีน ไหว้เทพจงหยวนตอน 5 ทุ่ม (คืน 14 ค่ำ) อันเป็นยามแรกของวัน 15 ค่ำ ช่วงสายไหว้บรรพชน เย็นหลัง 4 โมงเย็นไหว้ “ฮอเฮียตี๋” เจ้าและบรรพชนไหว้ในบ้าน ฮอเฮียตี๋ไหว้นอกบ้านตรงหน้าประตู
3. วัน 30 ค่ำ ปิดประตูยมโลก ไหว้ฮอเฮียตี๋หน้าประตูบ้านอย่างเคย วัดและศาลเจ้าเก็บโคมเชิญวิญญาณตอนค่ำวันนี้ หลังจากไหว้ “ส่งผี” กลับแล้ว อนึ่งวันนี้เป็นวันประสูติกาลของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ จึงจัดของไปไหว้ที่ศาลท่านด้วย
นอกจากนี้วัดและชุมชนแต่ละแห่งยังจัดงานทิ้งกระจาดอุทิศส่วนกุศลแก่ผีไม่มีญาติ โดยแต่ละแห่งจัดต่างวันกัน จึงกลายเป็นงานเที่ยวสนุกสนานหมุนเวียนกันไป แต่ตอนหลังนิยมจัดในวัน 15 ค่ำ เพื่อประหยัดเวลา
เนื่องจากเดือน 7 เป็นเดือนผี คนจีนจึงไม่นิยมจัดงานมงคลเดือนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งงาน และในวัน 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันไหว้ใหญ่จะหยุดงาน งดค้าขาย เพื่อให้ถนนว่างผีเดินได้สะดวก บางถิ่นทั้งในจีนและไต้หวันยังถือเคล็ด “หลบผี” ไม่ให้เด็กออกวิ่งเล่น เพราะกลัวไปชนผีแล้วถูกหลอกหลอนทำร้าย
สารทจีนไม่มีของไหว้เฉพาะเทศกาลเหมือนตรุษจีน (ขนมเข่ง) หยวนเซียว (บัวลอยน้ำขิง) ไหว้พระจันทร์ (ขนมไหว้พระจันทร์) และเทศกาลอื่นอีกหลายเทศกาล สารทจีนใช้ของไหว้เหมือนไหว้เจ้าไหว้ผีโดยทั่วไป คือ
1. ชา
2. เหล้า แสดงถึงผลเก็บเกี่ยวสมบูรณ์มีข้าวเหลือหมักเหล้าไว้ใช้จึงขาดมิได้
3. ข้าวสวย ห้ามใช้ข้าวต้มเพราะแสดงว่ายากจนข้าวไม่พอกิน
4. ซาแซ คืออาหารประเภทเนื้อสัตว์ 3 อย่าง เช่น เป็ด ไก่ หมู หรือ ไก่ หมู ปลา หรืออาจใช้ไข่ (แทนไก่ หรือเป็ด) หมู 1 ชิ้น และปลาหมึกก็ได้ ถ้ามีศรัทธาและกำลังพออาจเป็นโหงวแซ คืออาหารประเภทเนื้อสัตว์ 5 อย่างก็ได้
5. กับข้าวและของหวาน
6. ของที่ทำจากแป้งที่คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ก้วย” เช่น ขนมกุยช่าย สิ่วท้อ ของเหล่านี้แสดงว่าได้ผลเก็บเกี่ยวดี มีข้าวมาแปรรูปเป็นอาหารอื่น ของบางอย่างก็มีความหมายเป็นมงคลโดยเฉพาะ เช่น สิ่วท้อแสดงถึงความมีอายุยืน ด้วยเหตุนี้จึงนิยมใช้หมี่ในพิธีเซ่นไหว้ด้วย
7. ผลไม้ นิยมผลไม้ 5 อย่าง เรียกว่าโหงวก้วย
8. กระดาษเงินกระดาษทอง ถ้าไหว้เจ้าใช้แผ่นใหญ่ที่เรียกว่างึ่นเตี๋ย ถ้าไหว้ผีใช้แผ่นเล็กที่เรียกกิมจั้ว
9. เงินผี คือกระดาษที่ทำเป็นธนบัตรที่ใช้ในยมโลก
ของไหว้นี้โดยเฉพาะผลไม้ ไม่ใช้ของที่เชื่อกันว่าไม่เป็นมงคล
ส่วนมากเป็นของหรือผลไม้ที่มีชื่อพ้องเสียงหรือคล้ายกับคำที่ไม่เป็นมงคล ซึ่งแต่ละถิ่นถือต่างกันตามสำเนียงภาษา
เช่น คนจีนในไทยไม่ใช้มังคุดไหว้ คนจีนแต้จิ๋วในไทยไม่ใช้มะม่วงไหว้ เพราะภาษาชาวบ้านเรียกมะม่วงว่า “ส่วย” ใกล้กับคำว่า “ซวย” ของที่มีความหมายหรือลักษณะไม่เหมาะสมก็ไม่ใช้
ตามหลักดังกล่าวในไต้หวันไม่ใช้ฝรั่ง มะเขือเทศ ลูกพลัม และน้อยหน่า ไหว้เจ้า เพราะน้อยหน่าจีนไต้หวันเรียกว่า “เซ็กเกีย” พ้องกับชื่อพระพุทธเจ้าจะนำมาไหว้เจ้า ไหว้ผีไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ควรเอามาเป็นข้อถกเถียงกันว่าของใครถูก หลักสำคัญเรื่องของไหว้ขอให้จัดด้วยศรัทธาและเข้าใจสาระ
คนจีนแคะในจีนซึ่งแต่ก่อนยากจน ประหยัดจนเคยชินใช้ไก่ตัวเดียวไหว้ทุกเจ้าในวันเทศกาล พอไหว้เสร็จก็เอาไปจุ่มน้ำเดือดเอาเคล็ดว่าต้มตัวใหม่มา แล้วเอาไปไหว้เจ้าองค์ใหม่ ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย
อนึ่งถ้าเป็นการไหว้เจก็ใช้เจไฉ่คือวุ้นเส้น เห็ดหูหนู ดอกไม้จีน เห็ดหอมจำพวกนี้ลวกไหว้พร้อมกับผลไม้และชา ผลไม้นิยมส้มผิวเหลืองที่เรียกว่า “ไต้กิก” เพราะจีนทุกถิ่นเสียงพ้องหรือใกล้กับคำว่าไต้กิกที่แปลว่า “มหามงคล” ในการไหว้ “ฮอเฮียตี๋” ของไหว้ทุกอย่างต้องปักธูปด้วยเพื่อเป็นการเชื้อเชิญและแสดงความเคารพผีไร้ญาติ
สารทจีนในไทยเป็นเทศกาลใหญ่คู่กับตรุษจีน 2 เทศกาลนี้แพร่หลายในไทยมาช้านาน คู่กับตรุษสงกรานต์ และสารทไทย ช่วงเวลาก็ห่างกันไม่มาก จนคนไทยก็พลอยไหว้ตามไปด้วย ด้วยเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งคือ “ไม่ให้ลูกหลานดูตาเขากิน”
สารทจีนในไทยมีกิจกรรมไหว้เพียงวันเดียวคือวันกลางเดือน 7 จีน เมื่อ 30 ปีก่อนนี้ขึ้นไปส่วนมากไหว้ครบ 3 เวลา คือ เช้าไหว้เจ้า สายไหว้บรรพบุรุษ บ่ายไหว้ผีไม่มีญาติดังนี้
การไหว้ตอนเช้าไหว้เจ้าทั้งหมดเหมือนตรุษจีน ส่วนมากแยกไหว้หลายที่ คือที่หิ้งเจ้าในบ้านที่เรียกว่า “เหล่าเอี๊ย” ซึ่งหมายถึงเจ้าทั้งหลายที่หนึ่ง ตี่จู๋เอี๊ยคือเจ้าที่ในบ้านซึ่งทำเป็นศาลเล็ก ๆ วางไว้กับพื้นดินที่หนึ่ง บางบ้านไหว้ศาลพระภูมิไทย ศาลเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชุมชนอีกด้วย แต่อย่างน้อยต้องไหว้ “เหล่าเอี๊ย” กับ “ตี่จู๋เอี๊ย” ของไหว้เหมือนตรุษจีน คือมีขนมเข่งด้วย ความจริงขนมเข่งเป็นของไหว้ประจำเทศกาลตรุษจีน เทศกาลสารทจีนไม่ต้องมีก็ได้ แต่ด้วยความเคยชินจึงกลายเป็นของสำคัญไปด้วย เว้นบางถิ่นที่มีความเข้าใจก็ไม่ใช้ขนมเข่งไหว้สารทจีน
ช่วงสายประมาณ 09.00-11.00 น. ไหว้ปู่ย่าตายาย ของไหว้ดังที่กล่าวข้างต้น และนิยมมีขนมเข่ง ขนมเทียนด้วยความเคยชิน ที่ไหว้จัดในบ้าน
ช่วงบ่ายประมาณหลังบ่ายโมงหรือบ่าย 2 โมงไปแล้ว ไหว้ “ฮอเฮียตี๋” เดิมนิยมไหว้กลางแจ้ง ต่อมาอนุโลมไหว้ในชายคาบ้านได้ แต่ต้องอยู่นอกธรณีประตู ก่อนไหว้ผู้ใหญ่จะให้เด็ก ๆ ถือธูปคนละกำ เดินไปปักตามถนนหนทางจากที่ไกลเข้ามาหาบ้าน พร้อมกับเรียกอยู่ในใจหรือออกเสียงว่า “ฮอเฮียตี๋ ขอให้ตามควันธูปมากินของเซ่นไหว้ที่บ้าน” เด็ก ๆ จะสนุกกับกิจกรรมนี้มาก แข่งกันวิ่งไปปักธูปให้ไกลที่สุดเรื่อยมาจนถึงบ้าน ของไหว้ต้องมีหลายชนิดและปริมาณมาก กับข้าวบางอย่างไหว้ทั้งหม้อ ของไหว้ทุกอย่างปักธูปดอกหนึ่งและไหว้นานจนธูปหมดดอกหรือเกือบหมดจึงเผากระดาษลา จากนั้นเอาข้าวสารกับเกลือซัดชายคาบ้านเพื่อไล่ให้ผีกลับ เพราะกลัวว่าจะมีผีอยู่ต่อ เป็นภัยแก่คนในบ้าน
แต่ก่อนคนจีนในไทยให้ความสำคัญแก่ “ฮอเฮียตี๋” มาก ในเทศกาลตรุษจีนซึ่งไม่จำเป็นต้องไหว้ก็ไหว้ด้วย เพื่อให้เพื่อนพ้องชาวจีนที่มาตายในไทยโดยไม่มีลูกหลานเซ่นไหว้ได้รับเครื่องเซ่นสังเวยเหมือนคนอื่น แสดงถึงความเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมชาติพันธุ์ ปีหนึ่งได้กินเครื่องเซ่นไหว้ 2 ครั้งคือตรุษจีนและสารทจีน
ส่วนของไหว้ที่มีปริมาณมากนั้น พอไหว้เสร็จก็นำไปแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านที่ไม่ได้ไหว้สารทจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนและลูกค้าของตน (เพราะคนจีนส่วนมากค้าขาย) เป็นการเกื้อกูลแบ่งปันกันกิน พอช่วงตรุษสารทไทย คนไทยก็มักนำข้าวเหนียวแดง (ตรุษ) กระยาสารท (สารท) มาแบ่งปันให้คนจีนกิน ฉะนั้นการทำของไหว้ “ฮอเฮียตี๋” มากก็เพื่อแบ่งให้ “ฮอเฮียตี๋” คือพี่น้องที่ดีซึ่งยังมีชีวิตอยู่ได้กินด้วย ในแง่หนึ่งเป็นการ “แบ่งปัน” และอีกแง่หนึ่งเป็นการ “ทำทาน” ผ่านคนจนอุทิศส่วนกุศลให้ผีไม่มีญาติ ทำให้ผู้ไหว้มี “ฮอเฮียตี๋ (พี่น้องที่ดี)” ทั้งในยมโลกและมนุษยโลก
ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ปัจจุบันมีผู้ไหว้ “ฮอเฮียตี๋” น้อยมาก ทั้ง ๆ ที่การไหว้ผีไม่มีญาติเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งของการไหว้สารทจีน
การทานอาหารดีมีครบทั้ง 5 หมู่ทุกวันเป็นสิ่งที่ดี สุขภาพจะแข็งแรงทุกวัน..แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นทุกวันไม่..ดังนั้นการทานอาหารเสริมเพิ่มเติมจึงมีความจำเป็นขึ้นเรื่อยๆ..เมื่อรู้สึก..นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลียง่าย ภูมิต้านทานน้อย เส้นเลือดตีบ ขอแนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..