ประโยชน์ของขี่เหล็กนั้นมีมาก ซึ่งมีทั้งดอก ใบ ลำต้น และราก ซึ่งเป็นทั้งยาสมุนไพร และอาหารบำรุงสุขภาพได้ แต่การนำไปใช้ ก็ควรระมัดระวังเช่นกัน เพื่อมิให้เกิดโทษต่อร่างกาย
ประโยชน์ของขี้เหล็ก
1. ใบขี้เหล็กมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง (ใบ)2. ดอกขี้เหล็กมีวิตามินที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (ดอก)3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น (ดอก)4. ช่วยบำรุงธาตุ (ราก)5. แก้ธาตุพิการ แก้ไฟ ทำให้ตัวเย็น (แก่น)6. ช่วยเจริญธาตุไฟ (ราก)7. ช่วยแก้โรคกระษัย (ราก, ลำต้นและกิ่ง, เปลือกต้น, ทั้งต้น)8. ช่วยรักษาอาการตัวเหลือง (ทั้งต้น)9. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (ใบ, แก่น)10. ช่วยลดความดันโลหิตสูง (ใบ)11. ช่วยรักษาวัณโรค (แก่น)12. ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง (ดอก)13. ช่วยรักษามะเร็งปอด ปอดอักเสบ มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร (แก่น)14. ช่วยแก้อาการชักในเด็ก (ราก)15. แก้ไตพิการ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)16. ช่วยแก้อาการแสบตา (แก่น)17. ใบขี้เหล็กมีสารที่ชื่อว่า "แอนไฮโดรบาราคอล" (Anhydrobarakol) ที่มีสรรพคุณช่วยในการคลายความเครียด
18. บรรเทา อาการจิตฟุ้งซ่าน (ใบ)19. ช่วยบำรุงสมอง บำรุงประสาท แก้โรคประสาท และช่วยสงบประสาท (ดอก)
20. ช่วยทำให้นอนหลับสบาย แก้อาการนอนไม่หลับ ผ่อนคลายความกังวล เบื่ออาหารใช้ใบแห้งหนัก 30 กรัม หรือใบสดหนัก 50 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มก่อนนอน หรือใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า (ใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ไว้ 7 วัน คนทุกวันให้น้ำยาสม่ำเสมอ กรองกากยาออก จะได้น้ำยาดองเหล้าขี้เหล็ก) ดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชา ก่อนนอน
21. ช่วยแก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ทำให้มีอาการระส่ำระสายในท้อง (ฝัก)22. ช่วยรักษาหืด (ดอก)23. ช่วยรักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ (ดอก)24. ช่วยบำรุงโลหิต (ใบ)25. ช่วยขับโลหิต (แก่น)26. ช่วยขับพิษโลหิต (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)27. แก้เลือดกำเดาไหล (ต้น, ไม่ระบุส่วนที่ใช้)28. ช่วยถ่ายพิษไข้ แก้ไข้กลับซ้ำ แก้ไข้หนาว ไข้ผิดสำแดง (ราก)29. ช่วยดับพิษไข้ (เปลือกต้น, ทั้งต้น)30. ช่วยแก้พิษไข้เพื่อน้ำดี พิษไข้เพื่อเสมหะ (เปลือกต้น, ฝัก)31. ช่วยแก้พิษเสมหะ (ทั้งต้น)32. ช่วยกำจัดเสมหะ (ใบ)33. ช่วยขับมุตกิด กัดเถาดาน กัดเสมหะ และกัดเมือกในลำไส้ (เปลือกฝัก)34. ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน (ใบ)35. ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ดอก)
36. แก้อาการเบื่ออาหาร ด้วยการใช้ใบขี้เหล็กแห้ง 30 กรัม (หรือใบสด 50 กรัม) นำมาต้มกับน้ำไว้ดื่มก่อนนอน หรือจะใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ทิ้งไว้ 7 วันและคนทุกวันให้น้ำยาสม่ำเสมอ เมื่อครบให้กรองเอากากยาออก จะได้น้ำยาดองเหล้าขี้เหล็ก แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน (ใบแห้ง, ใบอ่อน)
37. ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบอ่อน 2-3 กำมือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4 ชิ้น นำมาต้มกับน้ำครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว (ใบอ่อน, แก่น)
38. ช่วยรักษาโรคบิด (ใบ)
39. ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ใช้ใบอ่อน 2-3 กำมือ หรือแก่นขนาดประมาณ 2 องคุลี ใช้ 3-4 ชิ้น ใช้ใบขี้เหล็กอ่อนหรือแก่ต้มกับน้ำ 1-1½ ถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ดื่มเมื่อตื่นนอนเช้า หรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว
40. ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (เปลือกต้น)41. ช่วยบำรุงน้ำดี (ทั้งต้น)42. ช่วยขับปัสสาวะ (ใบ, ลำต้น และกิ่ง)43. ช่วยรักษานิ่วในไต (ใบ, ลำต้น และกิ่ง)44. ช่วยรักษาโรคหนองใน (แก่น, ทั้งต้น)45. รักษาแผลกามโรค (ราก, แก่น)46. ช่วยแก้หนองใส (แก่น)47. ช่วยขับระดูขาว (ใบ, ลำต้น และกิ่ง)48. ช่วยฟอกโลหิตในสตรี (ต้น)49. ช่วยขับพยาธิ (ใบ, ดอก)50. ช่วยรักษาอาการเหน็บชา (ใบ, ราก)51. รากใช้ทาแก้อัมพฤกษ์ให้หย่อน (ราก)52. ช่วยทำให้เส้นเอ็นหย่อน (ทั้งต้น)53. แก้เส้นเอ็นพิการ (เปลือกฝัก)
54. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (ลำต้น กิ่ง ใบ) นำใบขี้เหล็กมาต้มน้ำสำหรับอาบ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง กำจัดเชื้อรา
55. ช่วยรักษาโรคหิด (เปลือกต้น)56. ช่วยรักษาฝีมะม่วง (ใบ)57. ทางภาคใต้ใช้รากขี้เหล็กผสมกับสารส้ม นำมาทาแผลฝีหนอง (ราก)58. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ราก, ลำต้น และกิ่ง)59. ประโยชน์ของขี้เหล็กช่วยแก้บวม (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
60. ช่วยรักษารังแค ช่วยรักษารังแค ด้วยการใช้ดอกขี้เหล็กผสมกับมะกรูดย่างไฟ 2 ลูก โดยต้องย่างให้มีรอยไหม้ที่ผิวมะกรูดด้วย ใช้ดอกขี้เหล็ก 2 ช้อนโต๊ะ พิมเสน 1 ช้อนชา นำมาปั่นผสมกันแล้วเติมน้ำปูนใส 100 cc. ปั่นจนเข้ากัน แล้วคั้นกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นนำน้ำมันมะกอกเติมผสมเข้าไปประมาณ 60-100 cc. ผสมจนเข้ากันแล้วนำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีก่อนการสระผมทุกครั้ง จะช่วยรักษารังแคได้
61. ใช้ทำปุ๋ยหมัก (ใบแก่)62. ดอกและดอกอ่อนใช้รับประทานหรือทำเป็นแกงขี้เหล็กได้ (ดอก
63. บรรเทาอาการปวดจากพิษแมลงกัดต่อย ด้วยการนำมาส่วนต่างๆมาบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนจะประคบบริเวณที่ถูกต่อย
64. ช่วยในการห้ามเลือด ด้วยการนำใบ และดอกอ่อนมาบด และกดประคบไว้ที่แผล
โทษของขี้เหล็ก
การรับประทานขี้เหล็กในลักษณะที่นำใบขี้เหล็กไปตากแห้งแล้วบรรจุเป็นเม็ด อาจทำให้เกิดการเสื่อมและการตายของเซลล์ตับ หรืออาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ทำให้เกิดโรคตับได้
ซึ่งการรับประทานขี้เหล็กอย่างปลอดภัย ต้องเลือกใบเพสลาดหรือตั้งแต่ยอดอ่อนถึงใบขนาดกลาง และนำไปต้มให้เดือด เทน้ำทิ้งสัก 2-3 น้ำ แล้วค่อยนำมาปรุงอาหารหรือนำไปทำเป็นยา ซึ่งวิธีการแบบพื้นบ้านนี้จะช่วยฆ่าฤทธิ์และทำลายสารที่เป็นอันตรายต่อตับได้ และยังช่วยลดความขมลงอีกด้วย
ขี้เหล็ก
ขี้เหล็ก ชื่อสามัญ Siamese senna, Siamese cassia, Cassod tree, Thai copperpod
ขี้เหล็ก ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna siamea (Lam.) H.S.Irwin & Barneby (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia siamea Lam.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
คุณค่าของขี้เหล็ก

1. ยอดอ่อนใบขี้เหล็ก 100 กรัม
พลังงาน : 139 กิโลแคลอรี่
น้ำ : 57.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต : 22.8 กรัม
โปรตีน : 7.7 กรัม
ไขมัน : 1.9 กรัม
กาก (crude fiber) : 3.7 กรัม
ใยอาหาร : 8.2 กรัม
เถ้า : ย 1.6 กรัม
แคลเซียม : 156 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส : 190 มิลลิกรัม
เหล็ก : 5.8 มิลลิกรัม
วิตามินเอ : 1,197 หน่วยสากล (I.U)
วิตามินบี 1 : 0.04, มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 : 0.69 มิลลิกรัม
ไนอะซิน : 1.3 มิลลิกรัม
วิตามินซี : 11 มิลลิกรัม
จะมีเบต้าแคโรทีน 1.4 มิลลิกรัม,
2. ดอกอ่อนขี้เหล็ก 100 กรัม
พลังงาน : 80 กิโลแคลอรี่
น้ำ : 74.7 กรัม
คาร์โบไฮเดรต : 14.3 กรัม
โปรตีน : 4.9 กรัม
ไขมัน : 0.4 กรัม
กาก (crude fiber) : 4.3 กรัม
เถ้า : 1.3 กรัม
แคลเซียม : 13 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส : 4 มิลลิกรัม
เหล็ก : 1.6 มิลลิกรัม
วิตามินเอ : 8,221 หน่วยสากล (I.U)
วิตามินบี 1 : 0.11 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 : ไม่พบ
ไนอะซิน : 1.8 มิลลิกรัม
วิตามินซี : 484 มิลลิกรัม จัดเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 1
เบต้าแคโรทีน 0.2 กรัม,
เส้นใยอาหาร 9.8 กรัม,

3. เป็นพืชผักสมุนไพร
ต้นขี้เหล็ก ใช้แก้อาการท้องผูก บำรุงโลหิต บำรุงน้ำดี ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยกำจัดรังแค ทำความสะอาดผมทำให้ผมชุ่มชื่นเงางาม
นอกจากนี้ขี้เหล็กยังมีสาร "บาราคอล" (Baracol) ที่มีฤทธิ์ในการกล่อมประสาท และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ ทำให้นอนหลับสบาย แต่ก็ใช่ว่ามันจะได้ผลอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะในกระบวนการปรุงอาหารให้ปลอดภัยก็ต้องต้มน้ำทิ้งเสียก่อน เพื่อลดความขมและความเฝื่อน ทำให้ความเป็นพิษและฤทธิ์ดังกล่าวลดน้อยลงไปด้วย โดยส่วนที่นำมาใช้และมีสรรพคุณทางยา ได้แก่ ดอก ใบ ใบแก่ ฝัก เปลือกฝัก เปลือกต้น ลำต้น กิ่ง แก่น ทั้งต้น และรากงานวิจัยเกี่ยวกับขี้เหล็ก

ในปี พ.ศ. 2485 ศาสตราจารย์ นพ.อวย เกตุสิงห์ ได้ศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของต้นขี้เหล็ก พบว่าใบและดอกขี้เหล็กทำให้เกิดอาการง่วงซึมและมีพิษน้อยกว่าสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ได้ศึกษา
ต่อมาจึงมีผู้ศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดใบขี้เหล็กอีกครั้งโดยใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย พบว่าสารสกัดนี้มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เพิ่มความตึงตัวของกล้ามเนื้อเรียบ และมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ

ในปี พ.ศ. 2513 คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอตทิงงัม ประเทศอังกฤษได้รายงานว่าสามารถสกัดสารชนิดใหม่จากใบขี้เหล็กได้ โดยตั้งชื่อว่าบาราคอล (barakol) ซึ่งมีฤทธิ์กล่อมประสาทและลดความกังวล แต่ภายหลังมีการพบว่ามีพิษต่อตับด้วยเช่นกัน

ผลทางเภสัช
ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ สารสกัดใบขี้เหล็กด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 25 มีผลเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้กบและสุนัข
ฤทธิ์เป็นยาถ่าย ขี้เหล็กมีสาร anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาถ่าย จากการศึกษาพบว่าสารสกัดจากใบขี้เหล็กด้วยน้ำร้อน มี
ฤทธิ์เป็นยาถ่ายในหนู
การศึกษาฤทธิ์ของแอนโดรบาราคอลที่สกัดได้จากใบ และยอดอ่อนขี้เหล็กต่อระบบประสารทส่วนกลาง พบว่าแอนโดรบาราคอลสามารถออกฤทธิ์ลดการเคลื่อนไหวของสัตว์ได้ ซึ่งอาจออกฤทธิ์ผ่านการกดระบบประสาทส่วนกลาง

ฤทธิ์ลดอาการวิตกกังวลและช่วยให้นอนหลับ จากการทดสอบสารบาราคอลจากใบอ่อน พบว่ามีผลทำให้หนูขาวซึม เคลื่อนไหวช้าลง แต่ไม่หลับ
แต่อีกการทดลองหนึ่งกล่าวว่าบาราคอลมีฤทธิ์ทำให้สัตว์ทดลองหลับ เมื่อฉีดบาราคอลเข้าทางช่องท้องหนูขาว ในขนาด 25 มก./กก. (low dose) และ 100 มก./กก. (high dose)
และการทดลองฉีดน้ำสกัดจากใบขี้เหล็กสด ขนาด 12 ก./กก. เข้าทางกระเพาะอาหารหนูขาว พบว่ามีฤทธิ์คลายกังวล
แต่มีการศึกษาผลของบาราคอล (0-20 มก./ก.) ในการลดอาการวิตกกังวล โดยใช้วิธีการทดลองแบบ elevated plus-maze และ shock-probe burying tests พบว่าบาราคอลไม่มีฤทธิ์ดังกล่าว
มีการทดลองใช้ยาน้ำเชื่อม (syrup) ขี้เหล็ก และยาเม็ดขี้เหล็กทางคลินิก เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับ โดยใช้ยาดังกล่าวให้มี anhydrobaracol 10 มก./dose มีผู้ป่วยหลังการผ่าตัด 22 ราย ที่ได้รับยาน้ำเชื่อมครั้งเดียว ก่อนนอน และผู้ป่วยนอก 20 ราย ได้รับยาเม็ดไปรับประทาน 1 ครั้ง ก่อนนอน ผลการทดสอบพบว่า การนอนหลับดีขึ้น 59 และ 69% ในผู้ป่วยที่ได้รับยาน้ำเชื่อมและยาเม็ดตามลำดับ
ส่วนผลข้างเคียงพบในกลุ่มที่ได้รับยาเม็ดเท่านั้น คือ loose stool และอึดอัดในท้อง (6%)
เสริมฤทธิ์กับยานอนหลับ มีการทดลองป้อนสารสกัดอัลกอฮอล์ของขี้เหล็กใบแก่ (0.9956 ก./กก.) และสารสกัดอัลกอฮอล์ของขี้เหล็กใบอ่อน (0.8942 ก./กก.) ให้กับหนูถีบจักรเพศผู้ เพื่อศึกษาฤทธิ์ช่วยหลับ ทำการศึกษาโดยใช้วิธี hexobarbital sleeping time
โดยหลังจากให้สารสกัดแก่สัตว์ทดลองแล้ว อีก 1 ชม. จึงฉีด hexobarbital ขนาด 60 มก./กก. ทางช่องท้อง จับเวลาที่สัตว์ทดลองหลับ โดยสังเกตจาก righting reflex
นอกจากนี้ยังได้ทดสอบฤทธิ์ของ standard barakol ขนาด 10 มก./กก. โดยให้ทางช่องท้องด้วย
ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดอัลกอฮอล์ของขี้เหล็กใบอ่อนและสารสกัดอัลกอฮอล์ของขี้เหล็กใบแก่ และ standard ช่วยเพิ่มระยะเวลาที่หนูหลับโดย hexobarbital ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
ส่วนการเปรียบเทียบหาปริมาณบาราคอลในขี้เหล็กใบแก่และใบอ่อน โดยวิธี TLC densitometry พบว่าปริมาณบาราคอลในใบอ่อนมีมากกว่าในใบแก่ แต่ระยะเวลาการนอนหลับที่เพิ่มขึ้นของขี้เหล็กใบอ่อนและใบแก่ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
จากการศึกษาฤทธิ์ของใบขี้เหล็กตากแห้งทั้งชนิดใบป่นผสมน้ำและน้ำสกัด ปริมาณ 1-2 ก./กก. นำมาป้อนให้กระต่ายแล้วให้ pentobarbital โดยแบ่งการทดสอบเป็นป้อนครั้งเดียว 1 ชม.ก่อนฉีด pentobarbital และป้อนทุกวัน ติดต่อกัน 7 วัน ก่อนฉีด pentobarbital พบว่าขี้เหล็กปริมาณดังกล่าว ไม่มีฤทธิ์ทำให้ระยะเวลาการนอนหลับโดย pentobarbital ในกระต่ายเปลี่ยนแปลง

ผลทางพิษ
การทดสอบความเป็นพิษ มีการศึกษาพิษเฉียบพลันของสารสกัดจากใบขี้เหล็ก โดยป้อนและฉีดสารสกัดใบขี้เหล็กเข้าใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ ขนาด 10 กรัม/กิโลกรัม ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง
เมื่อฉีดสารสกัดใบขี้เหล็กด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 แก่หนูตัวเมีย พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายครึ่งหนึ่งคือ 1 กรัม/กิโลกรัม แสดงว่าสารสกัดมีพิษระดับปานกลาง
ส่วนการทดสอบพิษแบบเฉียบพลันอีกการทดลองหนึ่งพบว่าใบขี้เหล็กมีผลทำให้สัตว์ทดลองตาย เมื่อนำส่วนสกัดอัลคาลอยด์จากใบขี้เหล็กมาป้อนหนูตะเภาหรือหนูแรทในขนาดเทียบเท่าผงใบแห้ง 70 กรัม/กิโลกรัม ไม่พบพิษ
เมื่อใช้สารสกัดจากใบขี้เหล็กด้วยแอลกอฮล์ร้อยละ 25 ป้ายที่ตาหนูแรท มีผลทำให้เยื่อบุตาของหนูอักเสบ

เมื่อผสมสารสกัดลงในอาหารให้หนูตะเภากิน พบว่ามีผลเพิ่มการขับถ่ายอุจจาระ
เมื่อผสมสารสกัดลงในอาหารให้สุนัขกิน พบว่าสุนัขอาเจียน
เมื่อทดลองในอาสาสมัคร 21 คน พบว่ามีอาการท้องเสีย 1 คน
การทดลองทางคลินิก พบว่าขนาดที่ปลอดภัยคือ 4-8 กรัม หรือประมาณ 0.8-0.1 กรัม/กิโลกรัม
ในอาสาสมัครที่ให้สารในขนาด 6 กรัม ไม่พบว่าเป็นอันตราย
ในหญิงที่รับประทานในขนาดที่สูงถึง 15 กรัมก็ไม่พบอันตราย
มีรายงานพบ toxic alkaloid (C14H19O3N) ซึ่งทำให้ตาย ในส่วนของฝักและใบ
พิษต่อตับ รายงานการเกิดตับอักเสบเฉียบพลันในผู้ที่รับประทานใบขี้เหล็กเพื่อช่วยให้นอนหลับ แต่เมื่อหยุดยาอาการตับอักเสบก็ลดลงเป็นปกติ

นอกจากนี้ยังมีการทดลองในหนูแรท โดยให้บาราคอล ซึ่งเป็นสารจากขี้เหล็ก ในขนาด 60, 100 และ 120 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าหลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ยังไม่พบความผิดปกติของตับ
เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาพาราเซตามอลขนาดสูงซึ่งเป็นพิษต่อตับ การศึกษาพิษแบบกึ่งเฉียบพลัน โดยให้บาราคอลขนาด 60, 120 และ 240 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักของหนูที่ได้รับบาราคอลจะลดลง ไม่พบการตายของเซลล์ตับ แต่มีบิลิรูบิน (bilirubin) เพิ่มขึ้นแสดงว่าตับมีการทำงานเพิ่มขึ้น และพบการเปลี่ยนแปลงของการย่อยไขมัน โดยจะขึ้นกับขนาดของบาราคอลที่ได้รับ ซึ่งผลดังกล่าวสามารถกลับสู่ปกติได้เมื่อหยุดใช้
มีการรายงานภาวะตับอักเสบที่เกิดจากยาขี้เหล็ก พบว่ามีผู้ป่วยอย่างน้อย 9 รายในปี พ.ศ. 2542 มีภาวะตับอักเสบ โดยความสัมพันธ์ของภาวะตับอักเสบจากยากับยาขี้เหล็กจัดอยู่ ในระดับความสัมพันธ์ตั้งแต่ขั้นเป็นไปได้ (probable) จนถึงขั้นแน่นอน (definite) ตามเกณฑ์มาตรฐานการวินิจฉัย หรือ DILI scale (drug induced liver injury scale)
และยังมีผู้ป่วยอย่างน้อย 2 ราย ได้ทดลองกินยาขี้เหล็กซ้ำใหม่หลังภาวะตับอักเสบเฉียบพลันดีขึ้นแล้ว พบว่าเกิดอาการของตับอักเสบซ้ำอีก

และเมื่อต้นปี พ.ศ. 2543 แพทย์ทาง อายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ได้รายงานถึงภาวะตับอักเสบที่อาจสัมพันธ์โดยตรงต่อการใช้สมุนไพรขี้เหล็ก หรืออาจจะเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกันของยา (Drug interaction) ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่มีอาการตับอักเสบ จากการซักประวัติ พบว่ามีพฤติกรรมบริโภคอาหารเสริมหรือยา รวมทั้งขี้เหล็กด้วย
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบพิษต่อตับของบาราคอล ซึ่งเป็นสารสำคัญที่สกัดจากใบอ่อนของต้นขี้เหล็กในเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงของตับคน ชนิดเฮพจี 2 โดยใช้บาราคอลความเข้มข้น 0.25, 0.50, 0.75 และ 1 มิลลิโมลาร์ ทำการทดสอบเทียบกับอะเซตามิโนเฟนซึ่งเป็นสารพิษต่อตับ วัดผลการทดสอบที่เวลา 24, 48, 72 และ 96 ชม.
พบว่าบาราคอลและอะเซตามิโนเฟน มีผลเป็นพิษต่อตับ โดยขึ้นกับขนาดและเวลาที่ได้รับสาร บาราคอลมีพิษต่อตับอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ที่ความเข้มข้นมากกว่าหรือเท่ากับ 0.75 มิลลิโมลาร์ ที่เวลา 24 ชม.ของการสัมผัส ส่วนที่เวลา 48, 72 และ 96 ชม.ของการสัมผัส จะพบพิษของบาราคอลที่ ความเข้มข้นมากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 มิลลิโมลาร์ ค่า IC50 ของบาราคอลต่อเซลล์ที่เวลา 24, 48, 72 และ 96 ชม.ของการสัมผัส มีค่าเท่ากับ 5.70, 0.96, 0.77 และ 0.68 มิลลิโมลาร์ ตามลำดับ

และเมื่อเปรียบเทียบพิษต่อเซลล์ระหว่างบาราคอลและอะเซตามิโนเฟน ที่ความเข้มข้น 1 มิลลิโมลาร์ พบว่าบาราคอลมีพิษต่อเซลล์มากกว่าอะเซตามิโนเฟน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ที่เวลาต่างๆ กันของการสัมผัส
พิษต่อเซลล์ เมื่อทดสอบสารสกัดเมทานอลจากใบสด ความเข้มข้น 20 มคก./มล. กับ Raji cells พบว่าไม่มีพิษ แต่พบว่าสารบาราคอลจากใบอ่อนของขี้เหล็กเป็นพิษต่อเซลล์ P19 embryonal carcinoma cells โดยมีค่า IC50 ที่ 0.57, 0.62, 0.53 และ 0.43 มิลลิโมล่าร์ ที่เวลา 36, 48, 60 และ 72 ชั่วโมงตามลำดับ หลังจากได้รับสารดังกล่าว
Cr. medthai.com, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, disthai.com
ถ้ารู้สึกนอนหลับยาก นอนไม่ค่อยหลับ เจ็บป่วยง่าย เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB..ผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..สกัดจากธรรมชาติ ผู้เป็นเบาหวาน ความดัน ไทรอยด์ ทานได้ดี..