1. กรีดร้อง หรือร้องเหมือนตกอกตกใจกลัวอะไรซักอย่าง
2. ร้องไห้แล้วพูดบางอย่างออกมา
3. บางคนหลับหูหลับตาร้องไห้
4. ตื่นมาร้องให้แบบไม่มีสาเหตุตอนกลางคืน
5. บางคนร้องไห้มีเหงื่อออก หัวใจเต้นแรง
อาการเหล่านี้เป็นปัญหาหรือไม่ คำตอบคือ เป็นปัญหา ผู้ปกครองต้องให้ความสำคัญและแก้ไขให้สำเร็จ พฤติกรรมร้องของเด็กดังกล่าวพบได้บ่อย ในเด็กอายุ 2- 4 ปีการแสดงออก
ถ้าเด็กเกิดอาการตามข้างบน ขณะนอนหลับ หลังจากหลับไม่นาน ซึ่งเป็นช่วงหลับตื้นของเด็ก คุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าใช่อาการฝันร้ายหรือไม่ คำตอบคือไมใช่ มันแตกกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่หลายคนพอเห็นลูกร้องตกใจตื่นกลางดึกก็มักรีบอุ้มขึ้นมากอดหรือเขย่าลูกให้ตื่น เป็นการกระทำที่ผิด ไม่สมควรอย่างยิ่งเนื่องจาก
การร้องแบบนี้เกิดในช่วงของการนอนที่เรียกว่า Non REM Sleep หมายถึงช่วงที่เด็กจะจดจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้ในระหว่างนั้น เมื่อเด็กถูกคุณพ่อคุณแม่เขย่าตัวปลุกให้ตื่นขึ้นมา ก็จะยิ่งตกใจ
เมื่อลูกน้อยของคุณแม่ตื่นกลางคืนแล้วร้องไห้งอแง เรื่องนี้อาจจะฟังดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด แต่ก็กวนใจคุณพ่อคุณแม่ได้พอสมควรเลยทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ตกกลางคืนทีไรเจ้าเบบี๋ก็หลับๆตื่นๆ ร้องไห้งอแงทุกที บางบ้านถึงกับหอบลูกไปหาหมอด้วยอาการตกใจ กลัวเรื่องเร้นลับที่ทำให้ลูกน้อยตื่นกลางดึกมาร้องไห้
เมื่อลูกน้อยเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นอาการไม่สบายตัว หรือผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย ก็เป็นสาเหตุทำให้ลูกน้อยของคุณแม่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วร้องไห้งอแง หากการร้องของลูกน้อยเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในตอนกลางคืน คุณแม่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอุ้มขึ้นมาจากที่นอน เปิดไฟให้สว่าง หรือไม่จำเป็นต้องให้นมมื้อดึก เพราะจะกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขความเคยชินให้กับลูกน้อย (ร้องไห้แล้วแม่ต้องอุ้ม) แต่คุณแม่ควรให้ลูกได้หลับด้วยตัวเอง หรือปลอบโยนด้วยการแตะเบาๆ เพื่อให้ลูกรู้ว่าคุณแม่อยู่ใกล้ๆ
แต่เมื่อลูกน้อยร้องไห้กลางดึกเพราะเป็นผลจากการเจ็ยป่วย คุณแม่ต้องรีบเข้าไปดูแลและรีบหาวิธีรักษา เช่น เมื่อลูกน้อยไข้สูง คุณแม่ก็ต้องลดไข้ลูกด้วยด้วยการเช็ดตัวหรือไห้ยา ถ้าลูกน้อยร้องไห้เพราะผดผื่นคัน คุณแม่ก็ต้องหาวิธีแก้ไขอาการคันเหล่านั้นให้โดยเร็ว เพื่อที่จะให้ลูกน้อยได้นอนหลับต่อได้ตามปกติ แต่ถ้าคุณแม่แก้ไขทุกๆวิธีแล้วลูกน้อยยังไม่หยุดร้อง ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อหาสาเหตุและรักษาต่อไป
2. ลูกร้องไห้กลางคืนเนื่องจากฝันร้าย
อาการฝันร้ายในเด็ก (Nightmare) เด็กหรือผู้ใหญ่มีการฝันรายได้เช่นกันค่ะ ฝันร้ายของเด็กมักเริ่มเกิดในช่วงอายุ 3-6 ปี เป็นวัยที่ลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว ช่วงวัยดังกล่าวมักมีเรื่องของจินตนาการเข้ามาเกี่ยวข้องตามวัย เพราะเป็นวัยของจินตนานการ เด็กวัยนี้มีจินตนาการค่อนข้างสูง ฝันร้ายมักเป็นเรื่องตื่นเต้นน่ากลัว เช่น หนีผี ปีศาจ ตกจากที่สูง จมน้ำ หรือเรื่องความตาย
อาการฝันร้ายจะเกิดในช่วง REM Sleep หมายถึงช่วงหลับของเด็กที่สามารถจดจำเหตุการณ์ได้ ช่วงเวลาการเกิดก่อนเช้า ตี4 ตี5 ซึ่งแตกต่างจากการร้องตกใจกลางคืน(Sleep terror) ซึ่งมักเกิดช่วงหัวค่ำ หลังจากนอนไม่นาน
วิธีแก้ไขเมื่อลูกฝันร้าย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องตกใจค่ะ เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ปลอบลูกและทำให้ลูกรู้สึกสบาย พอลูกตื่นในช่วงกลางวันก็ลองถามเกี่ยวกับความฝันเมื่อคืน ให้ลูกเล่าเรื่องฝันร้ายเมื่อคืนให้ฟัง หรืออาจจะลองอ่านเรื่องเล่า อ่านนิทานต่าง ๆ ที่ทำให้ลูกลืมฝันร้ายแย่ ๆ ไปได้ค่ะ
การนอนละเมอ คือ การพูดหรือทำกิริยาอาการต่างๆ โดยไม่รู้ตัวในขณะที่กำลังนอนหลับ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ โดยการนอนละเมอ
อาจมีสาเหตุจาก การที่ลูกน้อยได้ทำกิจกรรมในช่วงกลางวัน ที่น่าตื่นเต้น หรือน่าหวาดกลัว ทำให้ลูกน้อยจำฝังใจแล้วเก็บไปนึกถึงในยามหลับ หรืออาจมาีสาเหตุมาจาก การพัฒนาของระบบประสาท ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะกับเด็กบางคน ที่ระบบประสาทยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จึงทำให้ละเมอตื่นกลางคืน มาร้องไห้งอแง
ปัญหาการนอนละเมอในเด็ก สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
3.1 ละเมอฝันผวา (night terror)
ส่วนใหญ่จะเกิดในเด็กอายุ 4-7 ปี อาการสำคัญคือ ตกใจตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน บางครั้งก็หวีดร้องด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากฝันร้ายตรงที่เด็กจะจดจำอะไรไม่ได้เลย กรณีนี้มักไม่เกี่ยวกับสิ่งกระตุ้น แต่เกิดจากระบบประสาทของเด็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทำให้การจัดเรียงข้อมูลในสมองทำงานไม่เป็นระเบียบ อาการจะเกิดขึ้นในวันที่เด็กมีความเครียด แต่ไม่ใช่เพราะเด็กมีปัญหาทางอารมณ์
การปลุกให้ลูกตื่นจากละเมอฝันผวาหรือพยายามคุยกับเขาในช่วงนั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะอาจยิ่งทำให้มีอาการนี้นานขึ้น เช่น แทนที่ลูกจะตื่นมาร้องแค่ 5 นาที ต่อไปอาจจะกินเวลาถึง 15 นาทีได้ วิธีที่ควรทำก็เพียงแต่อุ้มลูกมากอดไว้ ลูบหัวเบาๆโยกตัวเบาๆ และปลอบให้เขานอนต่อ เพราะถึงอย่างไรเขาเองก็จะจำฝันนี้ไม่ได้ในวันรุ่งขึ้นค่ะ
3.2 ละเมอเดิน (sleepwalking)
มักเกิดกับเด็กโต ลูกอาจจะเดินไปรอบห้อง หรือเดินไปข้างนอกห้องหรือนอกบ้านทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวก็ได้ และเมื่อตื่นก็จะจำอะไรไม่ได้เช่นกัน ซึ่งถือว่าอันตรายมาก เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ หากลูกมีอาการไม่มาก
พ่อแม่สามารถปรับสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันอันตรายไว้ก่อนได้ โดยจัดห้องนอนให้โล่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เดินชนสิ่งกีดขวาง ประตูหน้าต่างต้องแน่นหนาเพื่อไม่ให้ละเมอเดินออกไปข้างนอก ควรหลีกเลี่ยงเตียงสองชั้น หันมาใช้เตียงธรรมดาหรือฟูกแทน หากมีอาการมากก็ไม่ควรให้ลูกนอนคนเดียว
เด็กทารกยังไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดว่าต้องการอะไร จึงบอกออกมานัย ๆ ด้วยการร้องไห้ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่รู้ว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นหรือต้องการอะไร เหตุผลที่ทารกร้องไห้อาจมาจาก
การร้องไห้ของทารกแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป และเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการในการเติบโตของเด็ก บางคนร้องไห้เป็นเวลานาน บางคนร้องไห้น้อย หรือบางคนร้องไห้ถี่ คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจถึงลักษณะการร้องไห้บางลักษณะที่น่าเป็นกังวล เพราะอาจมีอาการป่วยที่ยังหาสาเหตุไม่พบหรือสิ่งผิดปกติอื่นซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอาการโคลิค (Colic)
เด็กร้องไห้แบบไหนถึงเป็นโคลิค ?
อาการโคลิคเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ไปจนถึง 3 เดือน เด็กจะร้องไห้มากและร้องนานกว่า 3 ชั่วโมงภายในวันเดียวโดยไม่มีสาเหตุ หรือบางครั้งเด็กอาจร้องไห้ในลักษณะนี้ติดต่อกันหลายวันเป็นสัปดาห์ แต่จู่ ๆ ก็มักหยุดร้องทันทีทันใด คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องสังเกตด้วยว่าการร้องไห้ของลูกน้อยนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากเรื่องอื่น ๆ เช่น หิวนม ไม่สบายตัว อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กมีอาการโคลิคนั้น บ้างเชื่อว่าเด็กรู้สึกไม่สบายตัวจากการทำงานของระบบย่อยอาหาร แต่จริง ๆ แล้วก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง และวิธีการดูแลเด็กที่มีอาการโคลิคก็ยังแตกต่างกันออกไป แต่ควรรีบไปปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อเกิดสถานการณ์ดังนี้
นอกจากนี้ หากคุณแม่คนไหนมีความกังวลเกี่ยวกับอาการโคลิคและความผิดปกติของลูกน้อย ควรปรึกษาแพทย์
ข้อพึงระวังในการดูแลเด็ก
เทคนิคพิชิตเด็กร้องไห้
พ่อแม่แต่ละคนอาจมีวิธีปลอบเจ้าตัวน้อยที่แตกต่างกันออกไป เพราะทารกแต่ละคนย่อมชอบวิธีการปลอบที่ไม่เหมือนกัน หากลองแก้ไขตามสถานการณ์ที่กล่าวมาแล้วยังไม่ได้ผล อาจลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้
สิ่งสำคัญของพ่อแม่ในการปลอบเจ้าตัวน้อยให้หยุดร้อง คือ ต้องเรียนรู้ว่าวิธีไหนที่ใช้ได้ผลมากที่สุดและใช้ได้ในสถานการณ์ใดบ้าง เผื่อครั้งหน้าอาจใช้เป็นไม้ตายรับมือกับการร้องไห้ของเจ้าตัวยุ่งอย่างได้ผล เพราะเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
ปรับตนเองอย่างไรไม่ให้หัวเสียเมื่อลูกร้องไห้ ?
เด็กที่ร้องไห้งอแงอาจทำให้พ่อแม่หลายคนฟิวส์ขาดเอาได้ง่าย ๆ เพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไรให้เด็กหยุดร้อง พ่อแม่จำเป็นต้องรู้จักควบคุมตนเองเช่นกัน เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
หากเริ่มรู้สึกหงุดหงิด คุณแม่อาจขอความช่วยเหลือให้คุณพ่อหรือญาติพี่น้องช่วยดูแลแทนให้ชั่วครู่ เพื่อจะได้พักก่อนกลับมารับมือกับปัญหาได้ดียิ่งขึ้น พยายามใจเย็นและเข้าใจถึงสถานการณ์ว่าการร้องไห้เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของเด็ก เมื่อเด็กโตขึ้นจะเริ่มร้องไห้น้อยลง
นอกจากนี้การดูแลตนเองให้อยู่ในสภาพพร้อมก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เช่น ไม่ปล่อยให้ตนเองหิวหรือนอนหลับไม่เพียงพอจนอาจโมโหลูกได้ง่าย