18 อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (โรคเมเนียส์ - Ménière's disease)
1.วิงเวียนศีรษะ รู้สึกเหมือนบ้านหมุนติ้ว
2. เกิดอาการหน้ามืดจนเป็นลม
3.ภายในกระเพาะอาหารรู้สึกปั่นป่วน
4.คลื่นไส้อาเจียน
5.เหงื่อออกมากผิด ปกติ
6.หูอื้อ คล้ายน้ำเข้าหู
7.มีเสียงดังในหูคล้ายกับจิ้งหรีด หรือแมลงร้อง
8. รู้สึกตึงๆ ภายในหูเหมือนมีแรงดันอยู่
9.เริ่มมีปัญหาการได้ยิน ได้ยินเสียงเบาลง
10.รู้สึกหนักหรือหน่วงๆภายในหู
11.นอนไม่หลับ
12.ควบคุมการทรงตัวไม่ได้
13.เกิดอาการบวมคั่งของน้ำในหูชั้นใน
14.ปวดศีรษะคล้ายไมเกรน
15.เดินหรือยืนไม่ได้ เกิดอาการเซล้มลงทุกที
16.สายตาเริ่มพร่ามัว
17.เกิดหูแว่ว หรือได้ยินเสียงอะไรเบาๆ อยู่ข้างหู
18.อาจถึงขั้นหูดับหรือหูตึงได้อาการบ้านหมุนเป็นอาการหลักที่รบกวนผู้ป่วยมากที่สุด เพราะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และต้องนอนพักเพียงอย่างเดียว

วิธีรักษาโรคเมเนียส์
การรักษาจะประกอบไปด้วยการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเมื่อเกิดอาการบ้านหมุน การให้ยาบรรเทาอาการ การรักษาไปตามสาเหตุของโรค และการผ่าตัดในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้จากการใช้ยา

คำแนะนำผู้ป่วย ควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง
1. เมื่อมีอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนในขณะเดิน ควรหยุดเดินและนั่งพัก เพราะการฝืนเดินต่อไปในขณะเวียนศีรษะ อาจทำให้ผู้ป่วยล้มหรือเกิดอุบัติเหตุได้
แต่ถ้าเกิดอาการในขณะขับรถหรือทำงาน ควรหยุดรถที่ข้างทางหรือหยุดการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ถ้าวิงเวียนศีรษะมากให้นอนบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น พื้น และผู้ป่วยควรมองไปยังวัตถุที่อยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
ถ้าอาการเวียนศีรษะน้อยลงแล้ว ให้ค่อย ๆ ลุกขึ้น แต่ผู้ป่วยอาจรู้สึกง่วงหรืออ่อนเพลียได้ จึงแนะนำให้นอนหลับพักผ่อน ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
2. รับประทานยาที่แพทย์ให้รับประทานเวลาเวียนศีรษะ
3. ลดหรือจำกัดการรับประทานอาหารเค็มจัด เพราะความเค็มหรือเกลือโซเดียมที่มีปริมาณมากขึ้นในร่างกายจะทำให้มีน้ำคั่งในร่างกายและในหูชั้นในมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลงได้
4. พยายามอย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำมากนัก (เพื่อลดปริมาณของเหลวในหูชั้นใน) จะได้มีโอกาสอาเจียนน้อยลง
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มเลือดไปเลี้ยงที่หูชั้นใน
6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทุกหมู่และถูกต้องตามหลักอนามัย
7. ลดหรือหลีกเลี่ยงสารกาเฟอีน (จากการดื่มชา น้ำอัดลม กาแฟ และช็อกโกแลต) เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และความเครียด เพราะปัจจัยเหล่านี้จะทำให้อาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้แย่ลง เนื่องจากจะไปลดเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นใน
8. หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะในระหว่างที่เกิดอาการวิงเวียน เช่น การก้ม เงยคอ หรือหันคออย่างเต็มที่, การหมุนศีรษะไว ๆ, การเปลี่ยนท่าทางหรืออิริยาบถอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
9. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น การเดินทางโดยเรือ, ความเครียดหรือความวิตกกังวล, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, สารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ (ถ้าแพ้) เป็นต้น
นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามาก ๆ ด้วย เช่น การทำงานติดต่อกันนาน ๆ หรือการออกกำลังกายอย่างหักโหม
เนื่องจากอาการบ้านหมุนมักจะเป็นมากเวลาที่ร่างกายเหนื่อยล้าหรือมีภาวะเครียดทางจิตใจ แต่จะเป็นห่างขึ้นเมื่อสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีและมีจิตใจไม่เครียด
10. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ เสียงดังมาก ๆ, การยืนในที่สูง, อุบัติเหตุหรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู, การติดเชื้อของหูหรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน, การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทการทรงตัว (เช่น แอสไพริน (Aspirin), อะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycoside), ควินิน (Quinine) เป็นต้น)
11. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเลือด โรคซีด โรคไต โรคกรดยูริกในเลือดสูง ควรรักษาและควบคุมโรคเหล่านี้ให้ดี

12. การให้ยาบรรเทาอาการ
ผู้ป่วยที่มีอาการยังไม่มากมักจะได้ผลดี คือ หายเวียนศีรษะและหูอื้อ การได้ยินฟื้นตัวดีขึ้น (80% จะหายได้ด้วยการให้ยา) ได้แก่
12.1 ถ้ามีอาการบ้านหมุนมาก แพทย์จะฉีดไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine), ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) หรืออะโทรปีน (Atropine) ให้ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการได้
12.2 ยาขับปัสสาวะเพื่อลดสภาวะอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้ เช่น ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (Hydrochlorothiazide) 50-100 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
12.3 ยาขยายหลอดเลือด เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงระบบประสาททรงตัว ทำให้การไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น เช่น เบตาฮีสทีน เมไซเลต (Betahistine mesilate), ซินนาริซีน (Cinnarizine) เป็นต้น
12.4 ยาลดอาการเวียนศีรษะ
12.5 ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน เช่น ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) 1-2 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง
12.6 ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายความวิตกกังวลและนอนหลับได้เป็นปกติ เช่น ไดอะซีแพม (Diazepam)
13. การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
13.1 การรักษาตามสาเหตุของโรค เช่น ถ้าตรวจพบว่าเกิดจากซิฟิลิส แพทย์จะให้การรักษาแบบซิฟิลิส เป็นต้น

13.2 ผู้ป่วยที่มีอาการมากหากรักษาด้วยยาอย่างเต็มที่แล้วยังควบคุมอาการเวียนศีรษะไม่ได้ อาจต้องรับการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อระบายน้ำที่คั่งอยู่ในหูชั้นในออก เพื่อป้องกันมิให้โรคลุกลาม และช่วยให้โรคหายขาด ซึ่งได้แก่
- การทำลายอวัยวะควบคุมการได้ยินและการทรงตัวในหูชั้นใน (Labyrinthectomy) มักทำในผู้ป่วยที่สูญเสียการได้ยินในหูข้างนั้นไปมากแล้ว แต่ยังมีอาการเวียนศีรษะอยู่มาก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยควบคุมอาการเวียนศีรษะได้ดี แต่ผู้ป่วยจะสูญเสียการได้ยินในข้างนั้นไปตลอด
- การตัดเส้นประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวในหูชั้นใน (Vestibular neurectomy) มักทำในผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะมาก แต่ยังมีการได้ยินดีอยู่
- การฉีดยาที่มีพิษต่อระบบประสาทหูและการทรงตัวเข้าไปในหูชั้นกลางเพื่อให้ดูดซึมเข้าไปในหูชั้นใน เช่น เจนตามัยซิน (Gentamicin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Aminoglycoside
เพื่อทำลายระบบประสาททรงตัว ทำให้มีอาการเวียนศีรษะน้อยลง แต่การได้ยินของผู้ป่วยอาจสูญเสียไปด้วย มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยรับประทานยาไม่ได้และยังเวียนศีรษะอยู่
การแบ่งระยะของโรคเมเนียส์
โรคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1
ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนและอาเจียนเป็นอาการเด่น ส่วนการทำงานของหูยังปกติ
ระยะที่ 2
ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการครบทั้ง 4 อย่างดังที่กล่าวมาข้างบน

ระยะที่ 3
ในระยะนี้ผู้ป่วยยังคงมีเสียงแว่วดังในหูแต่ไม่รุนแรง การได้ยินจะลดลงจนไม่สามารถได้ยินคำพูดได้ ส่วนอาการเวียนศีรษะจะลดลงทั้งความรุนแรงและความถี่ (อาการคลื่นไส้อาเจียนก็ลดลงด้วยเช่นกัน)
สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (โรคเมเนียส์ - Ménière's disease)
ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัดว่า เหตุใดปริมาณของเหลวในหูชั้นใน (Endolymph) จึงเกิดมีมากกว่าปริมาณปกติขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แล้วส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา (อาการของโรคเป็นผลมาจากความผิดปกติของน้ำในหูชั้นในที่มากผิดปกติ)
ผู้ป่วยอาจมีอาการเกิดขึ้นหรือมีอาการกำเริบได้เมื่อมีปัจจัยเหล่านี้มากระตุ้น เช่น
1. การติดเชื้อไวรัส เช่น หูชั้นในอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูน้ำหนวก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซิฟิลิส ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่โรคทางกาย เช่น โรคภูมิแพ้ โรคของหลอดเลือดในหู ปวดศีรษะไมเกรน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคไทรอยด์
2. เคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะมาก่อน
3. ภาวะเครียดทางจิตใจ การอดหลับอดนอน ร่างกายเหนื่อยล้า การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาแอสไพริน)
4. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน รวมถึงการมีประจำเดือน
5. ความไม่สมดุลของน้ำและเกลือแร่
6. กรรมพันธุ์ ทำให้ผู้ป่วยมีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติมาแต่กำเนิด
7. บางครั้งอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุหรือมีปัจจัยดังกล่าวมากระตุ้น ซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่
มารู้จักโรคโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (โรคเมเนียส์ - Ménière's disease) นะครับ

การเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (โรคเมเนียส์ - Ménière's disease)
โรคเมเนียส์, โรคมีเนียร์ หรือ โรคเมนิแยร์ (Ménière's disease - MD) หรือที่ทั่วไปมักเรียกกันว่า "โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน" หรือ "โรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติ" หรือบางครั้งก็เรียกกันสั้น ๆ ทางพยาธิวิทยาว่า "โรคน้ำในหู" (Endolymphatic hydrops)
เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน โดยมีน้ำในหูชั้นในมากผิดปกติ เป็นเหตุให้เสียความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว (เกิดอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน) และการได้ยิน (เกิดอาการหูตึง แว่วเสียงดังในหู) ส่วนใหญ่มักเป็นกับหูเพียงข้างเดียว แต่อาจเป็นกับหูได้ทั้ง 2 ข้างประมาณ 10-15% หรือประมาณ 30% ในบางรายงาน
หูชั้นใน (Inner ear) ของคนเราจะมีเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวและการได้ยิน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีน้ำในหูชั้นในอยู่ในปริมาณที่พอดีกับการทำงานของเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน และมีการไหลเวียนถ่ายเทเป็นปกติ
เมื่อมีการเคลื่อนไหวของน้ำในหูขณะเคลื่อนไหวศีรษะ จะกระตุ้นเซลล์ประสาทดังกล่าวให้มีการส่งสัญญาณไปยังสมองเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย
แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำในหู เช่น การดูดซึมของน้ำในหูไม่ดี ทำให้น้ำในหูชั้นในมีปริมาณมากกว่าปกติ (Endolymphatic hydrops) ก็จะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน
โรคนี้เป็นโรคพบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเป็นโรคที่พบได้เป็นอันดับ 2 ของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ มักพบได้ในผู้คนอายุ 30-60 ปี ทั้งเพศหญิงและเพศชายมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้พอ ๆ กัน (ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า โรคนี้พบได้น้อย มักพบในผู้ชายอายุประมาณ 40-60 ปี แต่อาจพบได้ในคนหนุ่มสาวด้วยเช่นกัน)

โรคอื่น ๆ ที่มีอาการเวียนศีรษะไม่ได้เกิดจากน้ำในหูไม่เท่ากัน เช่น

โรคของหูชั้นนอก
เช่น การอุดตันจากขี้หู เนื้องอก หนอง หรือการอักเสบจากหูชั้นนอก, กระดูกช่องหูหักจากอุบัติเหตุ เป็นต้น

โรคของหูชั้นกลาง
เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง (หูน้ำหนวก), เลือดคั่งในหูชั้นกลางจากอุบัติเหตุหรือการเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศ (Hemotympanum), ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ทำงานผิดปกติหรือมีการอุดตัน, มีการทะลุของเยื่อที่ผิดช่องทางติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน (Perilymphatic fistula) เป็นต้น

โรคของหูชั้นใน
เช่น การติดเชื้อของหูชั้นใน (Labyrinthitis), การอักเสบของหูชั้นในจากสารพิษ (Toxic labyrinthitis), การบาดเจ็บที่ศีรษะทำให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน, การได้รับแรงกระแทกจนเกิดการบาดเจ็บจากเสียงหรือการผ่าตัดบริเวณหู, โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด (Benign paroxysmal positional vertigo - BPPV)
โรคของทางเดินประสาทและสมอง
เช่น เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular neuronitis), เนื้องอกของประสาททรงตัว (Vestibular schwannoma), โรคของระบบประสาทกลาง, การเสื่อมของระบบประสาทกลางที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว, ความผิดปกติของกระแสเลือดที่ไปเลี้ยงระบบประสาทกลางทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบประสาททรงตัวไม่พอ, การติดเชื้อของระบบประสาท เป็นต้น
สาเหตุอื่น ๆ
เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง, โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ, โรคเลือด (มะเร็งเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดสูงผิดปกติ เลือดออกง่ายผิดปกติ ซีด), โรคหลอดเลือดแข็งและตีบจากโรคไขมันในเลือดสูง, ระดับยูริกในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตต่ำ, โรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, โรคไต, โรคภูมิแพ้, โรคกระดูกต้นคอเสื่อม เป็นต้น

โรคนี้สามารถป้องกันได้ โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลาย ไม่เครียด ทำอารมณ์ให้แจ่มใส หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดอาหารที่มีรสเค็ม เน้นผักและผลไม้เป็นหลัก พร้อมกับดื่มน้ำเปล่าระหว่างวันให้มากขึ้น
การบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงเ ร่างกายมีความสมดุลย์ด้านฮฮร์โมน ป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยป้องกัน ความเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้นได้
Cr. medthai.com, thairath.co.th