อาการหัวใจเต้นเร็ว
ภาวะหัวใจเต้นเร็วอาจทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ อาจมีอาการต่าง ๆ เช่น
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- เจ็บหน้าอก
- หายใจตื้น
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ใจสั่น หรือรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
- หายใจหอบเหนื่อย
- อ่อนล้า
- เวียนศีรษะ หรือรู้สึกหวิว
- กรณีที่ร้ายแรงอาจทำให้เป็นลมหมดสติเนื่องจากขาดออกซิเจน หรือนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นได้
- บางรายอาจมีอาการเฉพาะเวลาออกกำลังกายเท่านั้น

อาการหัวใจเต้นเร็วที่มีสาเหตุจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น
ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) จะมีอาการเพิ่มเติมแตกต่างกันออกไป เช่น มีอาการทางระบบประสาท นอนไม่หลับ มีอาการสั่น เหงื่อออก
ภาวะหัวใจเต้นเร็วที่มีสาเหตุมาจากโรคปอดหรือหัวใจ มักจะมีอาการ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจตื้น หรือวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น แต่อาจถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram)
หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัว มีอาการหัวใจเต้นเร็วร่วมกับอาการหายใจติดขัด หรือเจ็บหน้าอกนานหลายนาที ควรรีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน หรือพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจขาดเลือดที่รุนแรงได้
:max_bytes(150000):strip_icc()/GettyImages-152084903-56a4719c3df78cf772826b74.jpg)
ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจเต้นเร็ว
ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจเต้นเร็วที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- มีอาการหน้ามืดหรือหมดสติบ่อยครั้ง
- เกิดลิ่มเลือด (Blood Clots) ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่โรคที่ร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน หรือโรคหัวใจ
- หัวใจวาย (Heart Failure) เป็นภาวะที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ
- เสียชีวิตกะทันหัน มักเกิดขึ้นกับภาวะหัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องล่าง (Ventricular Tachycardia) หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างสั่นพริ้ว (Ventricular Fibrillation)

สาเหตุของหัวใจเต้นเร็ว
ปกติหัวใจจะมีกลุ่มเซลล์หัวใจทำหน้าที่ส่งสัญญาณไฟฟ้า เพื่อทำให้ห้องหัวใจปั๊มเลือดทำงานได้ปกติ แต่การเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติเป็นเพราะมีปัจจัยบางอย่างรบกวนการส่งสัญญาณไฟฟ้า โดยปัจจัยที่ไปรบกวนการส่งสัญญาณไฟฟ้า อาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
- ภาวะที่ทำให้หัวใจทำงานหนัก และเนื้อเยื่อหัวใจถูกทำลายจากโรคหัวใจ
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)
- ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
- ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)
- ความดันโลหิตต่ำหรือสูง
- เป็นไข้
- เสียความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเต้นของหัวใจ
- ความเครียด วิตกกังวลหรือตกใจ
- ออกกำลังกาย
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป
- สูบบุหรี่
- ใช้ยาเสพติดหรือสารกระตุ้นที่ผิดกฎหมาย เช่น โคเคน
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดหัวใจเต้นเร็ว เช่น
- มีประวัติของคนในครอบครัวที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติหรือเคยมีความผิดปกติการเต้นของหัวใจอื่น ๆ จะทำให้มีความเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นเร็วเพิ่มขึ้น
- อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว

หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia)
คือ อาการที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ โดยเกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ อาจเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อความวิตกกังวล อาการไข้ เสียเลือดกะทันหัน หรือออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังกายมาก นอกจากนั้น อาจเกิดจากโรคหรือความผิดปกติในร่างกาย เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) หรือปอดบวม รวมไปถึงผลข้างเคียงจากอาหาร เครื่องดื่มและยารักษาโรค เช่น ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ในผู้ใหญ่อัตราการเต้นของหัวใจเมื่อเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติจะอยู่ที่ 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจปกติจะอยู่ที่ประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที

หัวใจเต้นเร็วมี 3 ประเภท ดังนี้
- หัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องบน (Supraventricular Tachycardia) เกิดจากความผิดปกติหรือความผิดพลาดของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หัวใจห้องบน ซึ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
- หัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องล่าง (Ventricular Tachycardia) เกิดจากความผิดพลาดของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หัวใจห้องล่าง ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เมื่อหัวใจเต้นเร็วมากก็ทำให้ไม่สามารถสูบฉีดไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้
- หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (Sinus Tachycardia) จะเกิดขึ้นเมื่อส่วนการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตามธรรมชาติของร่างกายได้ส่งคลื่นไฟฟ้าที่มีความเร็วกว่าปกติและทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ

การรักษาหัวใจเต้นเร็ว
การรักษาหัวใจเต้นเร็ว แพทย์จะเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้ โดยพิจารณาจากประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกายและการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ ประกอบกัน ซึ่งแพทย์จะรักษาสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว พร้อมทั้งให้การรักษาเพื่อชะลอไม่ให้หัวใจเต้นเร็วมากเกินไป หรือป้องกันการเกิดหัวใจเต้นเร็วอีกในอนาคต และลดภาวะแทรกซ้อนให้เหลือน้อยที่สุด

การรักษาโรคประจำตัวที่เป็นสาเหตุของหัวใจเต้นเร็ว
แพทย์จะรักษาหัวใจเต้นเร็วผิดปกติตามสาเหตุ โดยรักษาที่ตัวโรคหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายโดยตรง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว เช่น รักษาภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) หรือควบคุมความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติ

การรักษาด้วยการชะลออัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง
- การทำ Vagal Maneuvers เป็นวิธีที่แพทย์จะใช้ชะลออัตราการเต้นของหัวใจด้วยการกระตุ้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve) โดยจะให้ผู้ป่วยไอ นั่งยอง ๆ หรือนำถุงน้ำแข็งมาวางไว้บนใบหน้า
- การรักษาด้วยยา แพทย์อาจให้ฉีดหรือรับประทานยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ
- การช็อกหัวใจด้วยไฟฟ้า (Cardioversion) เป็นวิธีจะช่วยให้จังหวะการเต้นหัวใจกลับมาเป็นปกติได้ โดยอาจจะใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจแบบอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator: AED) หรือแบบแผ่นแปะที่บริเวณหน้าอก ซึ่งมักใช้ในภาวะฉุกเฉิน

การป้องกันการเกิดหัวใจเต้นเร็วในอนาคต
- การจี้หัวใจ (Catheter Ablation) เป็นวิธีรักษาหัวใจเต้นเร็วผิดปกติด้วยการใช้สายสวนหัวใจผ่านทางหลอดเลือดที่บริเวณขาหนีบ แขนหรือคอ โดยแพทย์จะใช้สายสวนหัวใจนี้ตรวจหาความผิดปกติหรือหาจุดกำเนิดของหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากพบจึงจี้ทำลายบริเวณนั้น
- การรักษาด้วยยา ช่วยป้องกันหัวใจเต้นเร็วผิดปกติได้เมื่อรับประทานยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นประจำ หรือแพทย์อาจให้ใช้ยาทางเลือกอื่น ๆ เช่น เบต้า บล็อกเกอร์ และแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ โดยยาทั้ง 2 ชนิดนี้อาจใช้รวมกันกับยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
- การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ากระตุ้นให้อัตราการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ (Pacemaker) เป็นอุปกรณ์ที่จะฝังไว้ใต้ผิวหนังผู้ป่วย โดยอุปกรณ์นี้จะปล่อยคลื่นไฟฟ้าเพื่อช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วผิดปกติกลับมาเป็นปกติได้
- การฝังเครื่องกระตุกหัวใจ (Implantable Cardioverter) แพทย์จะแนะนำวิธีนี้สำหรับผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็วที่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต แพทย์จะฝังเครื่องดังกล่าวไว้ที่บริเวณหน้าอก โดยเครื่องจะตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจและหากพบว่าจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติก็จะส่งคลื่นไฟฟ้าที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ
- การผ่าตัด เป็นวิธีที่แพทย์จะเลือกเมื่อการรักษาวิธีอื่น ๆ ไม่เกิดผลหรือมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อรักษาความผิดปกติของหัวใจประเภทต่าง ๆ และกรณีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ แพทย์จะผ่าตัดเพื่อทำลายเนื้อเยื่อที่เป็นจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจเต้นเร็ว

การป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็ว
ผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ มีโอกาสสูงที่จะเกิดลิ่มเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมอง โดยแพทย์อาจสั่งยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว
นอกจากนั้น ผู้ป่วยต้องดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการลดน้ำหนักและออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากโรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว

ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจเต้นเร็ว
ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจเต้นเร็วที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- มีอาการหน้ามืดหรือหมดสติบ่อยครั้ง
- เกิดลิ่มเลือด (Blood Clots) ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่โรคที่ร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน หรือโรคหัวใจ
- หัวใจวาย (Heart Failure) เป็นภาวะที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ
- เสียชีวิตกะทันหัน มักเกิดขึ้นกับภาวะหัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องล่าง (Ventricular Tachycardia) หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างสั่นพริ้ว (Ventricular Fibrillation)

การป้องกันหัวใจเต้นเร็ว
เนื่องจากการป้องกันการเกิดหัวใจเต้นเร็วเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นหัวใจเต้นเร็วจากโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม ยังพอมีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหัวใจเต้นเร็วจากโรคหัวใจให้น้อยลงได้บ้าง ด้วยการดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง หรือปฎิบัติตนอย่างเหมาะสมตามแผนการรักษาของแพทย์ พร้อมทั้งหมั่นสังเกตอาการหรือความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

วิธีดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ทำได้ดังนี้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผักและผลไม้ หรือธัญพืชต่าง ๆ
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะหากมีน้ำหนักตัวที่มากเกินจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจได้
- ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตให้เป็นปกติ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างพอเหมาะ ซึ่งบางรายแพทย์อาจแนะนำให้เลิกดื่ม
- ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนอย่างพอเหมาะ ไม่เกินวันละ 1-2 แก้ว
- เลิกสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงยาเสพติดหรือสารกระตุ้นที่ผิดกฎหมาย
- ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิดที่ซื้อใช้เอง เช่น ยาแก้ไอหรือยาแก้ไข้ เพราะมีส่วนประกอบที่อาจไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว ควรปรึกษาแพทย์ว่าควรหลีกเลี่ยงยาชนิดใด
- หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเครียด ซึ่งปัจจุบันมีวิธีผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดมากมาย เพื่อรับมือกับความเครียดในชีวิตประวันได้
โรคหัวใจ สามารถป้องกันได้ โดยต้องทำตัวเองให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ หรือจะใช้สมุนไพรจากธรรมชาติบำรุงก็ได้
กระเทียมในกระเทียมมีสารอัลลิซินที่ช่วยลดไขมันเลวในเลือดและลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของหัวใจเลย กระเทียมจึงช่วยลดโอกาสการอุดตันไขมันในหลอดเลือด อันทำให้เกิดโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่า กระเทียมมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ช่วยลดความดันเลือด รวมทั้งเป็นสารต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือดด้วยการทำให้เกล็ดเลือดบางลง จึงป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด หรือสมองขาดเลือดได้ด้วย มีงานวิจัยพบว่า หากทานกระเทียมสดวันละ 2-3 กลีบ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงขึ้นได้ ส่วนใครยังหวั่นเกรงกลิ่นของกระเทียม หรือกลัวว่าทานแล้วจะคลื่นไส้ แนะนำให้บดกระเทียมให้ละเอียดแล้วทานพร้อมอาหารก็จะช่วยให้ทานง่ายขึ้น
หอมหอมหัวใหญ่ หอมแดง และต้นหอม มีข้อดีในเรื่องการช่วยบำรุงเลือดและหัวใจ เนื่องจากในหอมจะมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยยังยั้งไม่ให้เกล็ดเลือดไปรวมตัวกันจนแข็งตัวแล้วไปอุดตันตามเส้นเลือด ทำให้เราลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจลงไปได้นั่นเองค่ะ นอกจากนี้หอมต่าง ๆ ยังช่วยลดอาการอักเสบ แก้หวัด คัดจมูก และยังมีสารเคอร์ซีทินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระจึงปกป้องเราจากโรคมะเร็งได้ด้วยนะคะ
พริกสารแคปไซซินที่ให้ความเผ็ดในพริกจะช่วยทำให้หลอดเลือดขยาย ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดการหดตัวของเส้นเลือด ลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด ลดการสร้างไขมันในร่างกาย และไปยับยั้งการดูดซึมไขมันในเส้นเลือด ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปใช้ได้สะดวกและไม่มีเลือดมาอุดตันตามหลอดเลือด เท่านี้ก็ปกป้องหัวใจของเราได้แล้ว
บัวบกมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งธาตุเหล็กเป็นสารช่วยบำรุงหัวใจได้ แถมในใบบัวบกยังมีสรรพคุณที่ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันการเป็นโรคเลือดจาง ช่วยให้ผนังของหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น
และยังช่วยแก้อาการช้ำในและร้อนในด้วย โดยวิธีนำใบบัวบกมาใช้ก็ง่าย ๆ ให้นำก้านและใบมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดและคั้นเอาส่วนที่เป็นน้ำไปต้ม อาจจะเติมน้ำตาลหรือเกลือบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็นำมาดื่มได้เลย
ภาพจาก pexels.com
บัวหลวงใช้บำรุงหัวใจได้ทั้งดอก ดีบัว (เมล็ดในฝักบัว) และไส้ของเมล็ดเลยค่ะ โดยดอกของบัวหลวงจะช่วยบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาชูกำลัง ส่วนดีบัวจะช่วยขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนเลือดให้ไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น ช่วยลดความดันเลือดไม่ให้สูงเกินไป และยังสามารถกระตุ้นหัวใจ ช่วยไม่ให้เป็นโรคหัวใจเต้นผิดปกติได้ นอกจากนี้ไส้ของเมล็ดบัวหลวงยังช่วยบำรุงให้เส้นเลือดหัวใจไม่ตีบได้อีกด้วย
กระเจี๊ยบแดงนำกระเจี๊ยบแดงมาต้มกับน้ำ แล้วเติมน้ำตาลเข้าไปเล็กน้อยเพื่อลดความเปรี้ยว ดื่มบ่อย ๆ จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันเลือด บำรุงเลือดให้ไหลเวียนดีขึ้น และบำรุงร่างกายของเราได้
หรือจะนำกระเจี๊ยบแดงมาต้มกับพุทราจีนก็สามารถช่วยกำจัดไขมันไม่ดีในร่างกายได้ดี
ดอกคำฝอยนำมาต้มน้ำดื่มช่วยป้องกันโรคหัวใจและรักษาหลอดเลือดได้เหมือนกัน เพราะน้ำมันจากดอกคำฝอยมีฤทธิ์ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันเลือดสูง บำรุงเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น ช่วยป้องกันโรคหัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเส้นเลือดหัวใจตีบได้
เสาวรสคั้นเป็นน้ำผลไม้ เติมเกลือกับน้ำตาลเข้าไปสักนิด ดื่มกินบ่อย ๆ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้ไม่เป็นโรคหัวใจได้ เพราะการที่เส้นเลือดของเรามีไขมันสูงมากเกินไปจะไปกระตุ้นทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ ขณะเดียวกันเสาวรสก็ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมถึง 384 มิลลิกรัมต่อเสาวรส 100 กรัม ซึ่งโพแทสเซียมมีความสำคัญต่อเซลล์และของเหลวในร่างกายของเรา รวมทั้งช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและความดันโลหิตให้เป็นปกติได้ด้วย
ใบเตยหอมนำใบสดมาคั้นดื่ม ครั้งละประมาณ 2-4 ช้อนแกง (4-8 ช้อนโต๊ะ) หรือต้มใบเตยกับน้ำเปล่าแล้วดื่ม จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะใบเตยมีฤทธิ์บำรุงกำลังและระบบประสาท พร้อมกับช่วยบำรุงหัวใจด้วย หรือหากใครมีอาการความดันโลหิตสูงก็สามารถต้มน้ำใบเตยเอาไว้ดื่มเช้า- เย็น เพื่อให้ใบเตยช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก็ได้เช่นกัน
ชาเขียวมีสารที่สามารถป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือด แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดไขมันชนิดไม่ดี LDL และเพิ่มไขมันที่ดีอย่าง HDL ซึ่งช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบและช่วยให้เลือดแข็งตัวยากขึ้น ทำให้โรคหัวใจไม่มาเข้าใกล้ แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะชาเขียวยังช่วยลดระดับน้ำตาลและความดันเลือดให้ลงมาเป็นปกติได้ พร้อมช่วยย่อยอาหาร ล้างสารพิษ และช่วยให้เม็ดเลือดขาวสร้างตัว ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอีกด้วย จึงเห็นได้ว่าในประเทศจีนมีการนำชาเขียวมารักษาโรคต่าง ๆ นานแล้วอย่างไรก็ตาม ในชาเขียวก็มีคาเฟอีนอยู่ไม่น้อย ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าคาเฟอีนจะไปกระตุ้นการหลั่งสารอะดรีนาลิน ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ซึ่งก็จะทำให้บางคนที่ดื่มชาเขียวมากเกินไปอาจมีอาการใจสั่นได้เหมือนกัน ดังนั้นแล้วหากจะดื่มชาเขียวควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เกินวันละ 3 ถ้วย และที่สำคัญคือ ควรดื่มชาเขียวแบบชง ไม่ใช่แบบสำเร็จรูปสะดวกซื้อซึ่งผสมน้ำตาลเยอะ และมีปริมาณชาเขียวที่เจือจาง ทานแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วนมากกว่าจะช่วยดูแลหัวใจCr. pobpad.com, kapook.com
ถ้าภูมิต้านทานน้อย นอนไม่หลับ เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..