กัญชา
กัญชา ชื่อสามัญ Cannabis, Hemp, Indian Hemp, Marihuana, Marijuana, Dope, Gage, Ganja, Grass, Hash, Hashish, Kuf, Mary jane, Pot, Sens, Sess, Skunk, Smoke, Reefer, Weed
กัญชา ชื่อวิทยาศาสตร์ Cannabis sativa L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cannabis sativa subsp. indica (Lam.) E.Small & Cronquist, Cannabis indica Lam.) จัดอยู่ในวงศ์กัญชา (CANNABACEAE)
สมุนไพรกัญชา มีชื่อเรียกอื่นว่า กัญชา กัญชาจีน (ทั่วไป), ปาง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), ยานอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), คุนเช้า คุณเช้า (จีน), ต้าหมา (จีนกลาง) เป็นต้น

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกัญชา (กัญชาสกัด)
1. สารที่พบในกัญชา คือสาร cannabinol, cannabidiol (CBD) , tetrahydrocannabinol (THC) และยังพบน้ำมันระเหยอีก เช่น cannabichromenic acid, linolledie acid, lecihin, น้ำมัน, โปรตีน, วิตามินบี 1, วิตามินบี 2, choline เป็นต้น
2. ยางจากช่อดอกเพศเมียมีสารเสพติดหลายชนิด เช่น tetrahydrocannabinol

3. กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้นำสาร THC มาศึกษาทดลองทางคลินิก โดยนำมาใช้รักษาในหลายอาการ เช่น ลดอาการปวด ลดอาการลดเกร็งและชักกระตุกของกล้ามเนื้อ อาการของโรคทางกระเพาะปัสสาวะ โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งผลการตอบสนองของการรักษาเป็นไปในทิศทางที่ดี
4. สาร cannabinol มีฤทธิ์ทำให้เคลิ้มฝัน ความจำเสื่อม ยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด
5. สารในกลุ่ม cannabinol มีฤทธิ์ระงับอาการปวด พบว่าผู้ชายที่สูบกัญชาวันละ 8-20 มวน เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ จำนวนเชื้อของอสุจิจะลดลง
6. เมล็ดกัญชาที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ แล้วนำมาแยกสารจากแอลกอฮอล์อีกที จะได้สารที่มีลักษณะเป็นสารเหนียวคล้ายกับนมผึ้ง เมื่อนำมาฉีดเข้าในลำไส้เล็กของแมวที่ถูกทำให้สลบ ในปริมาณ 2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะพบว่าหลังจากฉีดยาผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง ความดันโลหิตจะลดลงไปครึ่งหนึ่งจากระดับปกติ แต่มีระดับการหายใจปกติ ไม่มีเปลี่ยนแปลง

7. จากการทดลองในห้องแล็บ พบว่า cannabidiol (CBD) สามารถรักษาแผลในเซลล์ลำไส้ที่เกิดจากอาการอักเสบของโรค Crohn’s disease ได้ เนื่องจากมันมีคุณสมบัติเป็นตัวดูดซับอนุมูลอิสระซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ cannabidiol จึงช่วยชะลอการทำงานของเซลล์ภูมิต้านทาน microglia ที่อาจจะถูกกระตุ้นจากอนุมูลอิสระมากเกินไปและทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น โดยการทดสอบนี้เกิดขึ้นในสมองและตา จากการทดสอบในตาจึงอาจนำไปสู่การใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังจะสูญเสียตาได้อีกด้วย

8. จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์จากมาดริด ประเทศสเปน ได้พบว่าสาร THC สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในสมอง ผิวหนัง และตับอ่อนได้ โดย THC จะทำลายกระบวนการเกิดมะเร็ง โดยเนื้อร้ายจะสร้างร่างแหเส้นเลือดขึ้นเลี้ยงตนเองและป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเคลื่อนย้ายไปที่อื่น จากนั้นสาร THC จะเข้าไปจับกับโปรตีนรีเซพเตอร์บนผิวเซลล์มะเร็ง กระตุ้นเซลล์สร้างสารประเภทไขมันที่เรียกว่า "ceramide" แล้วทำให้เซลล์ทำลายตัวเอง โดยไม่ส่งผลต่อเซลล์ดี
และรายงานก่อนหน้านี้ยังแสดงให้เห็นว่า THC สามารถต่อสู้กับมะเร็งเต้านมและโรคลูคีเมียได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการทดสอบกัญชากับเบาหวาน, โรคอักเสบตามข้อต่อ, การอุดตันของเส้นเลือดเลี้ยงสมอง, โรคจิตเสื่อม, และโรคลมบ้าหมูอีกด้วย สาร THC สามารถช่วยเร่งให้หนูทดลองลืมประสบการณ์ที่ไม่ดีได้เร็ว สำหรับในคนสาร THC ที่อยู่ในรูปแคปซูลจะทำให้นอนหลับดีขึ้น และหยุดฝันร้ายได้

ฤทธิ์ของสาร THC ที่อยู่ในกัญชานั้นมีรายงานในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อปี พ.ศ. 2540 ว่ามีผู้ป่วย 4 รายได้รับผลร้ายในการออกฤทธิ์ทางจิตประสาท อีกทั้งยังทำให้เกิดความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร จากการรับประทานผักสลัดราดน้ำมันกัญชง ซึ่งมีสารออกฤทธิ์กลุ่มแคนนาบินอยด์กลุ่มเดียวกันกับกัญชา
ผลข้างเคียงของสารแคนนาบินอยด์ในกัญชงและกัญชาเป็นตัวออกฤทธิ์นั้น ยังมีปรากฏในรายงานกรณีศึกษาด้านโรคมะเร็งในวารสาร Case Reports in Oncology เมื่อปี พ.ศ. 2556 ว่าเมื่อมีการใช้น้ำมันกัญชงในเด็กวัย 14 ปี ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ปรากฏว่าน้ำมันกัญชงสามารถทำให้โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวลดลงได้อย่างมีนัยะสำคัญ แต่ในท้ายที่สุดเด็กคนดังกล่าวนี้กลับเสียชีวิต ด้วยภาวะทางเดินอาหารทะลุ (bowel perforation)
ทั้งนี้ สารในกลุ่มแคนนาบินอยด์ที่มีทั้งในกัญชาและกัญชงมีผลข้างเคียงอยู่หลายประการ ได้แก่ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตตก ตาแดง หลอดลมขยายตัว กล้ามเนื้อคลายตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือผลข้างเคียงทำให้“ลดการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร”
ข่าวของ MGR Online เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับรายหนึ่งในประเทศไทยซึ่งไม่เข้าสู่กระบวนการรักษาในแพทย์แผนปัจจุบันเลย สามารถหายป่วยจากโรคมะเร็งด้วยการกินยอดกัญชาวันละ 2 ช่อต้มกับน้ำร้อนดื่มวันละ 2 ครั้ง พอให้นอนหลับได้และเจริญอาหาร แล้วควบคุมอาหารงดเนื้อสัตว์ กินผักและโปรตีนจากพืช ผลปรากฏว่าผู้ป่วยรายนี้มีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และหายป่วยจากโรคมะเร็งได้ในที่สุด

กัญชา ในตำรับยาแพทย์แผนไทยจากข้อมูลในตำราพระโอสถพระนารายณ์ และตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ พบข้อมูลตำรับยาไทยที่เข้ากัญชาอยู่หลายตำรับ ซึ่งรวบรวมมาจากพระคัมภีร์หลายฉบับ แสดงให้เห็นว่า มีการใช้กัญชาประกอบเป็นตัวยาเพื่อบำบัดรักษาอาการป่วยต่าง ๆ มานานหลายร้อยปีแล้วทั้งนี้ นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผอ.สถาบันการแพทย์แผนไทย ได้ยกตัวอย่างสรรพคุณตำรับยาไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ เช่น- ตำรับศุขไสยาศน์ มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับสบาย แก้ปวด เจริญอาหาร ซึ่งนำมาใช้ทดแทนหรือเสริมกับยาแผนปัจจุบันในกลุ่มยานอนหลับ ยาคลายเครียด
“ยาศุขไสยาศน์" ให้เอาการบูรส่วน ๑ ใบสเดา ๒ ส่วน สหัสคุณเทศ ๓ ส่วน สมุนแว้ง ๔ ส่วน เทียนดำ ๕ ส่วน โกฏกระดูก ๖ ส่วน ลูกจันทน์ ๗ ส่วน ดอกบุนนาค ๘ ส่วน พริกไท ๙ ส่วน ขิงแห้ง ๑๐ ส่วน ดีปลี ๑๑ ส่วน ใบกันชา ๑๒ ส่วน ทำเป็นจุณ ละลายน้ำผึ้ง เมื่อจะกินเศกด้วยสัพพีติโย ๓ จบ แล้วกินพอควร แก้สรรพโรคทั้งปวงหายสิ้น มีกำลัง กินเข้าได้ นอนเป็นศุขนักแล”- ตำรับทำลายพระสุเมรุ มีฤทธิ์ช่วยแก้อาการแข็งเกร็งจากอัมพฤกษ์ อัมพาตได้- ตำรับน้ำมันสนั่นไตรภพ ช่วยเรื่องท้องมาน ท้องบวม คลายลมในท้อง ท้องอืดจากโรคมะเร็งตับ ใช้ทาบริเวณท้อง- ตำรับทัพยาธิคุณ ช่วยเรื่องโรคเบาหวาน ลดน้ำตาล
- ตำรับทิพากาศ แก้ สารพัดทั้งหลายอันให้ระส่ำระสาย คือ ใช้แก้ความไม่สบายทุกอย่าง โดยเฉพาะที่ทำให้ กินเข้า (กินข้าว) ไม่ได้ นอนไม่หลับ ตกเลือด ตกหนอง ลงแดง
สูตร1
“ยาทิพากาศ" ให้เอายาดำ เทียนดำ ลูกจันทน์ กระวาน พิมเสน สิ่งละส่วน การบูร ๔ ส่วน ฝิ่น ๘ ส่วน ใบกันชา ๑๖ ส่วน สุราเป็นกระสาย บดทำแท่งน้ำกระสายใช้ให้ชอบโรคร้อนแลเย็น แก้สารพัดทั้งหลายอันให้ระส่ำระสาย กินเข้ามิได้ นอนมิหลับ ตกบุพโพโลหิต ลงแดง หายแลฯ”
สูตร2
ยาตำรับนี้เข้าเครื่องยา ๙ ชนิด ตัวยาหลักคือ ใบกัญชา ๑๖ ส่วน ตัวยารองคือฝิ่น ใช้ ๘ ส่วน และการบูร ๔ ส่วน เครื่องยาอื่นๆได้แก่ ยาดำ เทียนดำ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน และพิมเสน ใช้สิ่งละส่วน กัญชาและฝิ่นเป็นยาที่ทำให้กินข้าวได้ นอนหลับ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมาน ยาดำที่ใช้ในตำรับนี้เป็นยาถ่าย โบราณเชื่อว่าเมื่อถ่ายได้ก็จะกินได้ ผู้ป่วยก็จะแข็งแรงและรู้สึกดีขึ้นเอง ส่วนเทียนดำ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน พิมเสน และการบูร เป็นยาขับลม และอาจแสดงฤทธิ์อื่นๆด้วย ตำราพระโอสถฯให้เอาเครื่องยาทั้งหมดบด ทำเป็นแท่ง โดยใช้สุรา(เหล้า) เป็นกระสาย เมื่อจะกินก็ให้ละลายน้ำกระสาย โดยให้เลือกน้ำกระสายให้ถูกกับโรคว่าร้อนหรือเย็น
- ตำรับอไภยสาลี ก็เป็นอีกตัวอย่างของยาขนานหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในการเจริญอาหารและนอนได้มากก็เพราะผสมกัญชานี้ จนได้สมญาว่าเป็นยาอัศจรรย์และวิเศษต่างๆ
“ยาอไภยสาลี" เอาลูกจันทน์ ๑ สลึง ดอกจันทน์ ๒ สลึง ลูกกระวาน ๓ สลึง กานพลู ๑ บาท ลูกพิลังกาสา ๑ บาท ๒ สลึง ว่านน้ำ ๑ บาท ๓ สลึง โกฐสอ ๒ บาท โกฐเขมา ๒ บาท ๑ สลึง เทียนข้าวเปลือก ๒ บาท ๒ สลึง เทียนแดง ๒ บาท ๓ สลึง เทียนขาว ๒ บาท เทียนตาตั๊กแตน ๒ บาท ๑ สลึง เจตมูลเพลิง ๓ บาท สมอไทย ๓ บาท ๑ สลึง สมอเทศ ๓ บาท ๑ สลึง หัวบุกรอ ๓ บาท ๓ สลึง สหัศคุณเทศ ๑ ตำลึง ๒ บาท จันทน์เทศ ๑ ตำลึง กัญชา ๓ บาท ๓ สลึง พลิกล่อน ๑ ตำลึง กินเข้าเย็นทุกวัน แก้สารพัดลม ๘๐ จำพวก แก้โลหิต ๒๐ จำพวก แก้ริดสีดวง ๒๐ จำพวก ยานี้กินได้ ๓ เดือน หายโรคพยาธิมิได้มีเลย เป็นยาอายุวัฒนะ ทั้งเกิดปัญญารู้หลักนักปราชญ์มากกว่าคนทั้งปวง ถ้าผู้ใดพบให้ทำกินวิเศษนัก ใครกินยานี้ดุจยาทิพย์นั้นแลฯ”

ประโยชน์ของกัญชา
1. ในอดีตที่ผ่านมากัญชาถูกนำไปผสมกับอาหารเพื่อช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร ทางการแพทย์จึงเลือกใช้สาร THC ที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีชื่อว่า Dronabinol นำมาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งพบว่าสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ และทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ดียิ่งขึ้น
2. ในปัจจุบันมีการนำกัญชามาใช้เป็นยาลดความดันในนัยน์ตาของคนที่เป็นต้อหิน (glaucoma) แต่ผลที่ได้ยังไม่ชัดเจน และยังต้องรอการพิสูจน์อยู่ นอกจากนี้ยังมีการนำสารสำคัญในเรซินมาใช้เป็นยาระงับการอาเจียนที่เกิดขึ้นในคนที่เป็นโรคมะเร็ง ซึ่งได้รับการรักษาโดยวิธีเคมีบำบัด (chemotherapy)
3. การที่ร่างกายได้รับสาร Cannabinoids ในปริมาณที่เหมาะสม จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดอาการซึมเศร้าที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้สูงอายุได้ เนื่องจากสาร Cannabinoids จะช่วยปรับสมดุลต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ผู้ใช้มีความสุข ใจเย็นลง และลดการแสดงพฤติกรรมรุนแรงในทางด้านอารมณ์ (หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม)


4. จากงานวิจัยพบว่า สาร THC สามารถยับยั้งเซลล์เอเบตาโปรตีนไม่ให้ผลิตสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะฉะนั้นกัญชาจึงสามารถป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ได้

5. จากการศึกษาพบว่า กัญชามีสรรพคุณในการฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้เนื้อร้ายในสมองเหี่ยวลดลงได้ โดยจากการศึกษาของสำนักปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติอเมริกัน แสดงให้เห็นว่า สารสกัดของกัญชาสามารถช่วยให้คนไข้ตอบสนองกับการบำบัดด้วยการฉายรังสีดีขึ้น ส่วนการทดลองกับสัตว์ ก็พบว่าสารจากกัญชาสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งบางชนิดได้ ทำให้เนื้อร้ายหดเหี่ยวลง โดยมีหลักฐานว่า สารสกัดจากกัญชาสามารถทำให้เนื้อร้ายในสมองชนิดที่ร้ายแรงที่สุดมีขนาดลดลง ซึ่งสารสกัดเหล่านี้เมื่อนำมาใช้ควบคู่กับการฉายแสง จะทำให้ฤทธิ์ในการฆ่ามะเร็งมีเพิ่มมากขึ้นด้วย



6. จากการทดลองล่าสุดแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากกัญชาอาจสามารถรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบของสมองและไขสันหลัง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบอื่น ๆ หรือแม้แต่อาจช่วยทำลายเนื้องอกที่อาจกลายเป็นมะเร็งได้ จากการวิจัยพบว่า คนไข้ที่รับ THC หรือสารสกัดจากกัญชาอีกตัวที่เรียกว่า cannabidiol (CBD) สามารถช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและอาการสั่น สามารถทำให้นอนหลับ และมีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น อีกทั้ง CBD ยังออกฤทธิ์ได้นานกว่าการใช้สเตียรอยด์หรือยาแก้อักเสบอีกด้วย จึงทำให้ในแคนาดามีการใช้สเปรย์ที่มีส่วนผสมของ cannabinoid เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบของสมองและไขสันหลัง (Multiple Sclerosis - MS)
7. สาร cannabinoid ที่พบในกัญชาอาจมีความสัมพันธ์กับระบบการเผาผลาญของร่างกาย โดยพบว่าในผู้ที่สูบกัญชาจะเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่ไม่เคยสูบ โดย Ms. Penner และคณะ ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของการสูบกัญชากับระดับน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครจำนวน 4,657 ราย (แบ่งเป็น กลุ่มกำลังสูบ, กลุ่มที่เคยสูบแต่เลิกแล้ว และกลุ่มที่ไม่เคยสูบ) ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่สูบกัญชามีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่เคยสูบกัญชาร้อยละ 16 นอกจากนั้นยังพบว่ามีค่า HOMA-IR ต่ำกว่าร้อยละ 17 ระดับคอเลสเตอรอล HDL หรือไขมันชนิดดี สูงกว่า 1.63 mg/dL และมีรอบเอวเล็กกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนกลุ่มที่เคยสูบแต่เลิกไปแล้ว ไม่พบว่ามีการลดลงของระดับน้ำตาลเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยสูบ จากการทดลองดังกล่าว จึงสันนิษฐานได้ว่า ผลของกัญชาที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดจะมีผลเฉพาะในช่วงที่ใช้กัญชาเท่านั้น
8. เส้นใยของลำต้น สามารถนำมาใช้ในการทอผ้าหรือทอกระสอบได้ ซึ่งจะได้ผ้าที่มีคุณภาพดี มีความเหนียวสูง มีค่าการต้านแรงดึงสูง มีความยืดหยุ่น มีแรงบิดสูง น้ำหนักเบา และมีความคงทนมาก นิยมใช้ทำเสื้อเกราะ วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์รถยนต์
9. ทุกวันนี้บริษัททำกระดาษของอเมริกาและญี่ปุ่น ต้องทำลายป่าไม้ปีละกว่า 50,000 ตารางกิโลเมตร แต่การปลูกกัญชาซึ่งเป็นพืชที่มีวงชีวิตเพียง 120 วัน สามารถที่จะปลูกได้ 10 ตันต่อพื้นที่ 2 ไร่ ภายในเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งปลูกได้เร็วกว่าฝ้าย 4 เท่า และให้น้ำหนักมากกว่าฝ้ายถึง 3 เท่า อีกทั้งกัญชายังไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง และยังช่วยเพิ่มคุณภาพของดิน โดย
จากการศึกษาพบว่า กัญชาสามารถปลูกและนำมาทำกระดาษได้มากเป็น 4 เท่าของการทำไม้ยืนต้น เส้นใยมีคุณภาพที่ดีกว่า ไม่ต้องใช้คลอรีนเหมือนการทำจากไม้ ซึ่งจะทำให้เกิดสารไดออกซิน ส่วนที่เหลือจากการทำเส้นใยก็สามารถนำมาผสมกับปูนขาวและน้ำ ก็จะได้วัสดุที่เบาและแข็ง มีความทนทานกว่าปูนซีเมนต์ (มีการกล่าวกันว่า กระดาษที่ใช้พิมพ์คัมภีร์ไบเบิล ธงชาติอเมริกัน หรือกางเกงยีนส์ลีวายที่ลือชื่อ แต่เดิมก็ทำมาจากป่านที่ได้จากต้นกัญชาทั้งสิ้น)
10. ใบจากพืชชนิดนี้สามารถนำมาใช้เลี้ยงสัตว์ได้
11. น้ำมันที่ได้จากเมล็ดจะเป็นน้ำมันไม่ระเหย (fixed oil) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ใช้ทำสีทาบ้าน ทำสบู่ เป็นต้น
12. นอกจากนี้ เศษหรือกากที่ได้จากการสกัดเอาน้ำมันจากเมล็ดออกแล้ว ยังใช้เป็นอาหารของโค กระบือ ได้อีกด้วย

อ.เดชากับมุมมองของกัญชา
อ.เดชา มองว่าไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม เหตุเกิดจากความเครียดเป็นหลัก เมื่อมนุษย์เราประกอบด้วยเซลล์หลายล้านล้านเซลล์ ฉะนั้นมะเร็งก็คือเซลล์ที่กลายพันธุ์

“เซลล์ปกติจะมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 3 เดือน พอ 3 เดือนร่างกายเราจะต้องเปลี่ยนเซลล์ใหม่ทั้งหมด เซลล์จะแบ่งตัวของเซลล์เป็นเซลล์ใหม่ก็มีโอกาสที่เซลล์จะกลายพันธุ์… ปกติภูมิคุ้มกันจะทำลายเซลล์มะเร็งทิ้ง แต่ถ้าภูมิคุ้มกันเราไม่ปกติ ก็อาจหลงเหลือเซลล์มะเร็งอยู่ ระหว่างที่ภูมิคุ้มกันตก โอกาสเป็นมะเร็งสูง”
เขายอมรับว่าสมัยก่อนเขารังเกียจกัญชาด้วยซ้ำ เพราะมองว่าเป็นสารเสพติด แต่หลังจากได้อ่านข่าวในประเทศเจริญแล้วที่ลงมติให้กัญชาถูกกฎหมาย ทำให้ทราบว่ากัญชารักษาโรคได้

“ตอนแรกผมไม่เชื่อ พอไม่เชื่อก็ต้องไปหาเหตุผล ปรากฏว่ากัญชามีสาร THC กับ CBD ที่ออกฤทธิ์ นักวิทยาศาสตร์อิสราเอลเป็นคนค้นพบ THC ทำให้เมา CBD ไม่เมา แต่ THC ตัวนี้แหละเป็นยา ไม่ใช่สารเสพติด มันเป็นตัวสื่อประสาทเรียกว่าแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) ปกติร่างกายเราสร้างขึ้นเอง เป็นของจำเป็น ถ้าขาดตัวนี้เราจะซึมเศร้า ถ้าร่างกายสร้างไม่พอระบบภูมิคุ้มกันมีปัญหา ถ้าเป็นมะเร็ง THC จะเข้าไปทำสองอย่าง คือ สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น และฆ่ามะเร็งโดยตรง”

ข้อดีของกัญชาไม่ใช่เพียง THC ตัวเดียว ยังมีแคนนาบินอยด์และสารอีก 85 ตัวที่ทำงานช่วยกันเป็นทีม อ.เดชา เคยเปรียบเทียบว่ามันซับซ้อนมากเหมือน “โน้ตเจ็ดตัวที่แต่งเป็นเพลงได้ล้านล้านเพลง” และยังมีอีกหลาย ๆ เพลงที่ทางการแพทย์ไม่เคยฟัง เขาจึงศึกษาทดลองกัญชาอย่างจริงจัง โดยสกัดเอาน้ำมันมาละลายให้เข้มข้นเหลือแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ ใส่แคปซูลแค่ 10 หยด (30 หยดเท่ากับ 1 ซีซี) ทานเว้นเดือนละ 2 วัน ติดต่อกัน เพราะมีงานวิจัยว่า ถ้าเว้น 48 ชั่วโมง ร่างกายจะไม่ดื้อ ไม่ต้องเพิ่มขนาด เหมือนร่างกายรีเซตใหม่ให้เราทานเท่าเดิมได้เรื่อย ๆ
“ผมเริ่มทดลองใช้กินแบบป้องกันเมื่ออายุ 65 ปี มือเริ่มสั่น เสื่อมตามอายุนะ ความจำก็เริ่มไม่ดี ตื่นมาจำฝันไม่ได้แล้ว เอาอะไรไปวางเดี๋ยวก็ลืม พอกินมาเรื่อย ๆ ตอนอายุ 70 มือนิ่งเลย มือไม่มีสั่น จำฝันได้ กินแล้วช่วยซ่อมระบบที่เสื่อมจนดี นอนหลับสนิทแบบหลับลึก เขาว่านอนเวลาเท่ากันถ้าหลับลึกจะฟื้นร่างกายได้ดีกว่าแบบหลับตื้น ๆ”


เคล็ดลับในการสกัดน้ำมันกัญชาคือการใช้ดอกตัวเมียที่ให้น้ำมันมากที่สุด ดอกเป็นช่ออยู่ตรงยอดที่จะมีน้ำมันเหนียวเกาะอยู่รอบดอกตัวเมีย เดิมทีมีข้อสันนิษฐานว่า น้ำมันไว้ป้องกันเชื้อราหรือแมลงมาทำลายเมล็ด บังเอิญว่าน้ำมันตรงนั้นเป็นยาด้วบ ปัจจุบันสกัดโดยใช้สารละลาย เช่น แอลกอฮอล์ 98 เปอร์เซ็นต์ ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ 99 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันจะละลายในแอลกอฮอล์ พอละลายหมดก็กรองเอาดอกออกแล้วระเหยแอลกอฮอล์ออกไป เหลือไว้แค่น้ำมันกัญชาที่ระเหยยากกว่า

หลังจากเริ่มทดลองใช้น้ำมันกัญชาสกัดมาแจกจ่ายรักษาคน อ.เดชา พบว่ามีคนป่วยโรคมะเร็งที่มาทดลองกินน้ำมันกัญชาหายเกินครึ่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยมะเร็งในระยะที่หมอไม่รักษา รักษาไม่หาย หรือไม่มีเงินรักษา พอมารักษากับน้ำมันกัญชาสกัดแล้วหาย เขาก็บอกต่อ ๆ กันไป
อย่างไรก็ดี ผลเสียอย่างเดียวในสายตาของเขาก็คือ การกินมากไปทำให้ “หลับ”
“อย่างมากก็หลับ เพียงแค่กลางวันมันง่วง ทำงานไม่ได้เท่านั้นแหละ แบบนี้แสดงว่ากินเกิน วันต่อไปก็กินลดลง แต่ถ้าอยากให้โรคหายไว ๆ ก็กินเยอะ ถ้ากลางวันไม่ทำงานก็กินเยอะได้ นอนหลับไปเลย”

สรรพคุณของกัญชา
1. ตำรายาไทยจะใช้เมล็ดกินเป็นยาชูกำลัง ช่วยเจริญอาหาร แต่ถ้ากินมากจะมีอาการหวาดกลัวและหมดสติ (เมล็ด)
2. ยอดอ่อนเมื่อนำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะได้สารที่เรียกว่า "ทิงเจอร์แคนเนบิสอินดิคา" ซึ่งเป็นน้ำยาสีเขียว เมื่อกินเข้าไปประมาณ 5-15 หยด จะมีสรรพคุณเป็นยาช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เป็นยาสงบเส้นประสาท ทำให้นอนหลับ เคลิ้มฝัน แก้โรคสมองพิการ เป็นยาระงับปวด และเป็นยาแก้อักเสบ (ยอดอ่อน)
3. ดอกใช้เป็นยาแก้โรคเส้นประสาท เช่น นอนไม่หลับ คิดมาก หรือใช้กับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร โดยนำมาปรุงเป็นอาหารให้กิน (ดอก)
4. ใบใช้เป็นยาแก้ไข้ผอมเหลือง ไม่มีกำลัง ตัวสั่น เสียงสั่น (ใบ)
5. ใบกัญชา ใช้เป็นยารักษาโรคหอบหืด ช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม ด้วยการนำใบสดมาหั่นให้เป็นฝอย แล้วเอาไปตากแห้ง จากนั้นจึงนำมาสูบเป็นยารักษาโรค (ใบ)
6. ใช้ดอกผสมกับยาฉุนพญามือเหล็ก นำมาหั่นแล้วสูบเป็นยาช่วยกัดเสมหะในลำคอ (ดอก)
7. เมล็ดใช้เป็นยาแก้กระหายน้ำ (เมล็ด)
8. น้ำยาสีเขียวที่สกัดได้จากยอดอ่อนด้วยแอลกอฮอล์ มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และโรคท้องร่วง (ยอดอ่อน) ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้บิดเช่นเดียวกับยอด (เมล็ด)
9. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องผูก ใช้เป็นยาแก้ท้องผูกในคนสูงอายุได้ดี ด้วยการใช้เมล็ดซึ่งมีน้ำมัน 30% ให้ใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยา (เมล็ด)
10. ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้เมล็ดกัญชาจำนวน 3 เมล็ด นำมาผสมกับพริกไทย 3 ผล บดให้เป็นผง ใช้ผสมกับน้ำกินทุกคืนเป็นยาคุมกำเนิดสำหรับสตรี (เมล็ด)
11 ช่วยแก้ประจำเดือนไม่ปกติของสตรี (ทั้งต้น)
12. ทั้งต้นใช้ภายนอกเป็นยาแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน (ทั้งต้น)
13. ใช้เป็นยาแก้กล้ามเนื้อกระตุก (ทั้งต้น)
14. ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากโรคไขข้ออักเสบ
15. นอกจากสรรพคุณที่กล่าว ในทางการแพทย์ยังใช้ประโยชน์จากกัญชาในการรักษาโรคและบรรเทาอาการอย่างหลากหลาย เช่น ใช้แก้ปวดหัวไมเกรน แก้อาการสั่นเพ้อ แก้อาการไอ อ่อนล้า ปวดประจำเดือนของสตรี โรคข้อ หรือกระทั่งโรคมะเร็งบางชนิด
ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ต้มรับประทาน โดยต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 10-20 กรัม หรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยา ส่วนเมล็ดให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม
ข้อควรระวัง : ในกรณีที่รับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการประสาทหลอน มีอาการชัก ตาลาย หรือกลายเป็นเสพติด ในผู้ชายหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้น้ำกามเคลื่อน ส่วนสตรีที่รับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการตกขาว

โทษของกัญชา
1. ในเบื้องต้นการเสพกัญชาจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการร่าเริง ช่างพูด ตื่นเต้น หัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะมีฤทธิ์กดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน เซื่องซึม และง่วงนอน หากเสพเข้าไปในปริมาณมากจะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว หวาดระแวง ความคิดสับสน และควบคุมตัวเองไม่ได้ ในบางรายอาจไม่รู้จักตนเองหรือไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว
2. การเสพกัญชาแม้เพียงระยะสั้น ผู้เสพบางรายอาจสูญเสียความทรงจำได้ เพราะกัญชาจะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล และหากผู้เสพเป็นผู้ที่มีอาการทางจิตด้วยแล้ว ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไปด้วย โดยอาการทางจิตประสาทที่พบได้บ่อย ๆ คือ สมาธิสั้น ความจำแย่ลง มีปัญหาในการตัดสินใจ และบางคนอาจมีปัญหาเรื่องการทรงตัว นอกจากนี้ยังส่งผลอื่น ๆ ต่อร่างกายด้วย เช่น ม่านตาหรี่ ตาแดง มีความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น
3. กัญชามีฤทธิ์ทำลายสมรรถภาพทางกาย ผู้เสพในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานจะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมจนไม่สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความคิด การตัดสินใจ และแรงงาน สารในกัญชาจะทำลายระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกายหลายส่วน ทำลายระบบการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง มีอาการเพลีย ทำให้น้ำหนักตัวลด ฯลฯ
4. กัญชายังมีฤทธิ์ทำลายความรู้สึกทางเพศ ทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในชายลดลง ทำให้ปริมาณอสุจิน้อยลง ผู้เสพจึงมักมีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด
5. ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด เนื่องจากผู้เสพอัดควันกัญชาเข้าไปในปอดลึกนานหลายวินาที
แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อมูลที่ระบุว่า "การสูบกัญชานั้นไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด" เพราะแม้การสูบกัญชาจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำมันดิบที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปอด แต่ในกัญชานั้นมีสาร THC ที่มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบที่เกิดจากน้ำมันดินได้ จึงเป็นสาเหตุให้การสูบกัญชาไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดเหมือนการสูบบุหรี่ทั่วไป
6. การสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาเพียง 4 มวน จะเท่ากับการสูบบุหรี่ 20 มวน หรือ 1 ซอง มันจึงสามารถทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดาถึง 5 เท่า ! อีกทั้งกัญชายังมีสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายที่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ เมื่อเทียบกับบุหรี่ทั่วไปแล้ว ในกัญชาจะมีมากกว่า 50-70%
7. ผู้ที่เคยเสพติดกัญชาส่วนใหญ่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคจิตในภายหลังมากกว่าคนที่ไม่สูบถึงร้อยละ 60 ยิ่งเสพมากและเสพเป็นเวลานานก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก โดยผู้ที่เสพหนักที่สุดจะมีโอกาสเป็นโรคจิตสูงกว่าคนปกติ 4-6 เท่า
8. การขับรถในขณะเมากัญชาจะก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายมาก เพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้เราเสียสมาธิ ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด การตอบสนองช้า ความสามารถในการมองเห็นสิ่งเคลื่อนที่น้อยลง จึงอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้อื่น
9. หญิงที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดมาอาจพิการและพบความผิดปกติทางร่างกายได้ เช่น ความผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมอง ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศ และอาจเป็นโรคทางพันธุกรรม อีกทั้งกัญชายังมีผลเสียต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพราะกัญชามีฤทธิ์ทำลายโครโมโซมของทารก
10. เมื่อร่างกายขาดยา จะเกิดอาการผิดปกติทางด้านจิตใจ เช่น มีอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ วิตกกังวล อ่อนเพลีย ฯลฯ
11. การเสพกัญชาเป็นระยะเวลานานจะนำมาซึ่งภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงและก่อให้เกิดความผิดปกติของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว มีความผิดปกติทางสมองจนก่อให้เกิดอาการทางจิตประสาทตามมา ยิ่งเสพมากอาการก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาการที่แสดงให้เห็นถึงความทรมานจากการเสพกัญชาก็มีมากมาย เช่น คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง วิงเวียนศีรษะ ปวดท้องมาก หรืออาจมีอาการแพ้ได้ เช่น เป็นผื่นคัน ตัวบวม อึดอัด หายใจลำบาก หายใจไม่ออก เป็นต้น
12. ด้วยฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล รู้สึกสนุกสนาน เคลิบเคลิ้มมีความสุข จึงทำให้มีผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์และเสพติดกัญชาเป็นจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยจะมีจำนวนเป็นรองก็แต่กลุ่มคนที่ติดสุรา กาแฟ และบุหรี่เท่านั้น

ผู้กำกับคนดัง “พชร์ อานนท์” เปิดใจกับไนน์เอ็นเตอร์เทน หลังทดลองหยดน้ำมันกัญชา จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โดยเจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า ตนเองนอนไม่หลับมาร่วมเดือน กินยาทั่วไปก็ยังไม่หาย จนได้มาดูรายการทีวีรายการหนึ่ง ได้โปรโมทสรรพคุณน้ำมันกัญชาว่าสามารถรักษาโรคต่างๆได้ รวมทั้งอาการนอนไม่หลับ และออกรายการถึง 2 ครั้ง ตนจึงเห็นว่าถ้าน้ำมันกัญชาได้ออกทีวีคงจะปลอดภัย ไม่มีอันตรายอะไร จึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่เป็นพิธีกรรายการดังกล่าว และสั่งมา 2 ขวด ราคาหมื่นกว่าบาท ซื้อมา 1 สัปดาห์แต่ยังไม่กล้าใช้ เพราะแอบกลัวตาย แต่ยังไงอาการนอนไม่หลับยังไม่หาย และรู้สึกทรมาน ตนจึงหยดน้ำมันกัญชาไป สักพักเริ่มรู้สึกตัวแข็ง ขยับตัวไม่ได้ หัวใจเต้นแรง หายใจไม่ออก อ้วก และอุจจาระตลอด จึงรีบโทรศัพท์หาคนสนิทให้มารับ และนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งเจ้าตัวก็เล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอจึงใส่ยานอนหลับ ให้น้ำเกลือ โดยแพทย์ยังบอกอีกว่า อาการแบบนี้มีประชาชนที่ใช้น้ำมันกัญชาเป็นกันเยอะ
“พชร์ อานนท์” ยังเผยอีกว่า บุคคลที่จะใช้น้ำมันกัญชา แล้วไม่มีอาการแบบนี้ตน ต้องเป็นคนที่เคยสูญกัญชามาก่อน และไม่ใช่ว่า ใครๆก็สามารถใช้ได้ อยากให้เคสของตนเป็นอุทาหรณ์ให้ประชาชนทุกคน และที่ออกมาพูดไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แค่อยากมาเล่าให้ฟังว่าตนใช้น้ำมันกัญชาแล้วมันมีอาการแบบนี้ ซึ่งน้ำมันกัญชาที่ตนใช้ นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกาด้วย ส่วนอาการตอนนี้ก็ยังมีอาการเพลียๆ เดินเซ ต้องพักผ่อนเยอะ และถ้าไม่ว่างต้องไปโรงพยาบาลให้น้ำเกลือ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับกัญชา
1. โดยรวมแล้ว กัญชามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาคล้ายกับพวกยากระตุ้นประสาท ยากดประสาท ยาหลอนประสาท ยาแก้ปวด และยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หลายประการในยาตัวเดียวกัน ผู้เสพกัญชาจึงมีอาการเคลิ้มจิต โดยในขั้นต้นมักจะเป็นอาการกระตุ้นประสาท บางคนจะมีอาการตึงเครียดทางใจหรือมีอาการกังวล ต่อมาก็มีอาการเคลิ้มจิตเคลิ้มใจ ทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศทั่ว ๆ ไปเงียบสงบ จากนั้นก็มักจะมีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เดี๋ยวหัวเราะลั่น เดี๋ยวสงบ ส่วนอาการอื่น ๆ ที่พบได้คือ ผู้เสพจะรู้สึกล่องลอย สับสน ปากแห้ง อยากอาหาร ชีพจรเพิ่มขึ้น ตาแดงขึ้นในขณะที่เสพ หากเสพเป็นประจำสุขภาพโดยรวมจะเสื่อมลง เป็นโรคหลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ทางเดินหายใจอักเสบ ท้องร่วง เป็นตะคริว
2. จากการศึกษาการกระจายตัวของสาร THC พบว่า การสูดดมควัน สาร THC จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายประมาณ 10-35% ส่วนการเสพโดยการกลืนลงในระบบทางเดินอาหาร จะถูกดูดซึมเพียง 6-20% ร่างกายจะต้องใช้เวลาประมาณ 1.6-59 ชั่วโมง ในการกำจัดปริมาณของสาร THC ในกระแสเลือด 50% โดยผ่านทางปัสสาวะและอุจจาระ ฤทธิ์ของกัญชาเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายจะแทรกซึมเข้าสู่กระเลือดอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และจะออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้สูงสุดถึง 1 ชั่วโมง อาการโดยทั่วไปจะเซื่องซึมลงอย่างช้า ๆ แต่บางรายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
3. ฤทธิ์ของมันทำให้ผู้สูบหรือเสพเข้าไปแล้วจะทำให้ติด เกิดอาการเพ้อฝัน ความจำเลอะเลือน ตัวสั่น ทำให้เป็นคนเสียสติ เป็นคนวิกลจริตพิการ ฉะนั้นเมื่อมีการใช้ จึงควรใช้ในขนาดที่เหมาะสม
4. ส่วนของกัญชาที่นำมาใช้เสพ คือ ส่วนของใบและยอดช่อดอกกัญชาเพศเมีย (กะหลี่กัญชา) เนื่องจากมีสาร THC มากกว่าส่วนอื่น โดยนำมาตากแห้งแล้วมวนเป็นบุหรี่สูบ บางคนอาจเคี้ยวใบหรือใช้เจือปนกับอาหารรับประทาน ซึ่งจะช่วยเจริญอาหารได้ ดังที่แม่ค้าขายส้มตำและอาหารอีสาน นำใบกัญชาแห้งมาต้มใส่ปลาร้า ทำให้ลูกค้าติดใจในรสชาติ
5. ผู้เสพมักเสพด้วยวิธีการสูบควัน ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า "บ้อง" ซึ่งอาจจะทำมาจากวัสดุต่างกันหลายชนิด เช่น บ้องแก้ว, บ้องไม้ไผ่ ฯลฯ โดยวิธีการสูบจะนำกัญชาที่เป็นก้อนอัดแท่งมาสับให้ละเอียด หรือเรียกว่า "ยำ" เสร็จแล้วจึงนำผงกัญชาที่สับได้มาอัดใส่ตรงส่วนจะงอยที่ยื่นออกมาของบ้อง แล้วจุดไฟเผาโดยตรงไปที่ผงกัญชา และผู้เสพจะสูบอัดควันเข้าไปเต็มปอดให้ได้มากที่สุด ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือการนำมามวนเป็นบุหรี่สูบ (ไม่เป็นที่นิยมเท่าวิธีแรก) นอกจากนี้ยังเสพด้วยการกินทั้งใบสดและใบแห้ง (ข้อมูลจาก : pantip.com by pinspin)
6. ยอดของต้นเพศเมียที่กำลังออกดอกจะเรียกว่า "กะหลี่กัญชา" เมื่อนำมาตากแห้งแล้ว จะนิยมนำมาใช้สูบ ซึ่งกะหลี่กัญชาจะให้เรซินซึ่งเป็นยาเสพติด (เป็นส่วนที่มีฤทธิ์มากที่สุด) ผู้ที่เมากัญชาจะมีอาการเกิดขึ้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อาจมีอารมณ์สนุกหรืออารมณ์โศกเศร้าก็ได้ มีความรู้สึกเลอะเลือนในเรื่องเวลา บ้างมีอาการก้าวร้าว บางคนมีอาการหวาดกลัว ความคิดสับสน เกิดอารมณ์เคลิ้มฝัน โดยฤทธิ์ของกัญชานั้นจะอยู่ในร่างกายได้นาน 3-5 ชั่วโมง หลังจากนี้ผู้เสพจะมีอาการเซื่องซึมและหิวกระหาย เมื่อสร่างแล้วจะนิยมกินของหวาน ผู้ที่สูบเป็นประจำมักจะสมองเสื่อมและเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
7. จากการศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของสาร THC ในกัญชา พบว่าสาร THC จะเข้าไปจับกับตัวรับในสมองซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า Cannabinoid receptor ซึ่งจะส่งผลต่อความจำ การมีสติ ความคิด ความสมดุลในการเคลื่อนไหวของร่างกาย และความอยากอาหาร
8. สำหรับประเทศไทยจัดให้กัญชาอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยห้ามมิให้ประชาชนมีไว้ครอบครองหรือเสพ แต่อนุญาตให้ใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น โดยเป็นในรูปแบบของสารสกัด THC ที่มีสัดส่วนแน่นอนและได้มาตรฐานทางการแพทย์เท่านั้น ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า หรือส่งออกต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-150,000 บาท และหากครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
9. ในกัญชามีสารเคมี cannabinoids มากถึง 30 ชนิดอยู่จำนวนหนึ่ง โดยสารสำคัญในกลุ่มนี้ที่มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol -THC) ซึ่งสารดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า หรือส่งออก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท หากมีไว้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์โดยมิได้รับอนุญาต จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท
10. ยาที่สกัดจากกัญชามีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็นยาแคปซูลชนิดรับประทาน มีขนาดบรรจุของ Dronabinol 2.5, 5, 10 มิลลิกรัมต่อแคปซูล มีชื่อทางการค้าว่า Marinol (มารินอล) ซึ่งแพทย์จะนำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้อยากอาหารและลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัดในผู้ป่วย
11. ด้วยประโยชน์มากมายของกัญชา จึงทำให้ในบางประเทศ อนุญาตให้ปลูกและซื้อขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น ในสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายให้ 14 มลรัฐสามารถใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้, ในเนเธอร์แลนด์อนุญาตให้มีการสูบได้อย่างถูกกฎหมาย สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ยังไม่อนุญาตให้ผลิตหรือปลูกได้เอง ในขณะที่อุรุกวัยอนุญาตให้มีการปลูกและซื้อขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย เป็นต้น

กัญชาไม่ทำให้เสพติดจริงหรือ ?
จริงอยู่ที่ว่าสาร THC และสารออกฤทธิ์อื่น ๆ ที่มีอยู่ในกัญชานั้นมีฤทธิ์ทำให้เสพติดได้น้อยกว่านิโคตินค่อนข้างมาก แต่หากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือแม้จะไม่ใช้ทุกวัน หรือใช้เพียงสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง "ก็สามารถทำให้เสพติดได้"
ซึ่งจะเป็นภาวะการเสพติดโดยไม่รู้ตัว หรือที่เรียกว่า "ภาวะสมองติดยา" คือสมองจะค่อย ๆ ปรับตัวและสมดุลของสารเคมีในสมองนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะไม่รวดเร็วหรือรุนแรงเท่าการออกฤทธิ์ของยาบ้า ยาไอซ์ หรือยาอีก็ตาม แต่เมื่อสารเคมีในสมองผิดปกติเป็นประจำ ในที่สุดสมองก็จะไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ทำให้ผู้เสพมีอาการถอนยาเกิดขึ้น และต้องกลับมาเสพอีกในที่สุด
ที่หลายคนพูดว่า กัญชาเป็นยาเสพติด "ที่ไม่เสพติด" ความจริงแล้วเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมากกว่าความเข้าใจผิด ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า ยาเสพติดส่วนใหญ่นั้นส่วนมากร้อยละ 90 จะเป็นสารเคมีหรือสารสังเคราะห์ (ยาบ้า, ยาไอซ์, ยาอี, สารระเหย) และอีกร้อยละ 10 จะเป็นพวกสารเสพติดที่ได้จากพืช (กัญชา, กระท่อม, ฝิ่น, ยาสูบ, เห็ดขี้ควาย) ซึ่งกลุ่มนี้จะต้องใช้ในปริมาณมากกว่ากลุ่มแรก เพราะไม่ได้สกัดเอาเฉพาะสารเคมีที่ออกฤทธิ์มาใช้ ข้อดีคือจะมีฤทธิ์เสพติดรุนแรงน้อยกว่า แต่หาซื้อได้ง่ายและราคาถูกกว่ากลุ่มแรกมาก (ข้อมูลจาก : pantip.com by pinspin)
ลักษณะของกัญชา

- ต้นกัญชา จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกฤดูเดียว มีความสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ตั้งตรง ลักษณะของลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนสีเขียวอมเทาและไม่ค่อยแตกสาขา ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ถ้าปลูกในดินร่วนซุยและมีอาหารอุดมสมบูรณ์จะงอกงามดีมาก พืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย มีเขตการกระจายพันธุ์ในอัฟกานิสถาน ทวีปแอฟริกาเขตร้อน ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือและใต้ และฮาวาย พบปลูกมากในยุโรป ประเทศบราซิล อเมริกันแถบตะวันออก และปลูกมากตามแนวเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย

- ใบกัญชา ใบเป็นใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ ออกเรียงตรงข้าม ลักษณะของใบแตกออกเป็นแฉก ๆ ประมาณ 5-8 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปยาวรี ปลายและโคนสอบ ส่วนขอบใบทุกแฉกเป็นหยักแบบฟันเลื่อย มีขนาดกว้างประมาณ 0.3-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ลักษณะของใบโดยรวมจะคล้าย ๆ กับใบละหุ่ง ใบฝิ่นต้น และใบมันสำปะหลัง ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างท้องใบมีสีเทาอ่อนเล็กน้อย มีขนต่อมกระจายทั่วผิวใบด้านบน ส่วนด้านล่างมีขนอ่อนนาบไปกับแผ่นใบ ก้านใบยาวประมาณ 4-15 เซนติเมตร ในก้านหนึ่งจะมีใบเดี่ยว 3-11 ใบ มีกลิ่นเหม็นเขียว


- ดอกกัญชา ออกดอกเป็นช่อที่ง่ามใบหรือปลายกิ่ง ดอกเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ดอกเป็นแบบแยกเพศ มีทั้งดอกช่อเพศผู้และดอกช่อเพศเมีย ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้น โดยช่อดอกและใบของต้นเพศผู้จะจัดเรียงตัวกันแบบห่าง ๆ (ภาพแรก) ซึ่งต่างจากต้นเพศเมียที่จะเรียงชิดกัน ดอกเล็ก และดอกเพศเมียจะมีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่ (ภาพสอง)

- ผลกัญชา ผลแห้งขนาดเล็ก เมล็ดล่อน ไม่แตก ลักษณะของผลเป็นรูปไข่กว้าง ผิวผลเรียบเป็นมัน สีน้ำตาลแกมเทาหรือสีเทาเข้ม มีใบประดับหุ้ม ในผลจะมีเมล็ดขนาดเล็ก เมล็ดมีลักษณะกลม

หมายเหตุ : กัญชง และ กัญชา เป็นพืชคนละชนิด แต่มีต้นกำเนิดมาจากพืชชนิดเดียวกัน โดยต้นกัญชา (Marijuana) จะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. Subsp. indica (Lam.) E. Small & Cronquist
ส่วนต้นกัญชง (Hemp) จะมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannnabis sativa L. Subsp. sativa ซึ่งลักษณะภายนอกของพืชทั้งสองชนิดนี้จะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยจนยากแก่การจำแนก

วิธีทำน้ำมันกัญชา
การสกัดตามแนวทางของริค ซิมสัน โดยหลักการที่ทำคือ

1. นำส่วนเฉพาะดอกกัญชาตัวเมีย โดยคัดเอาใบและกิ่งออก
2.นำเอธิลแลกอฮอล์ 95% ขึ้นไป (เอธานอล)มาผสม เพื่อละลายสารละลายในน้ำมันที่อยู่ในดอกกัญชาออกมา ขอย้ำว่าห้ามใช้เมธิลแอลกอฮอล์เด็ดขาด หากปนเปื้อนมามีอันตรายถึงชีวิตได้

3. นำแผ่นกรองกาแฟมากรองกากออกให้เหลือสารละลายแอลกอฮอล์และน้ำมันผสมกัน

4. จากนั้นให้เตรียมนพัดลมมาเป่าในพื้นที่กว้าง เพื่อเป่าไอแอลกอฮอล์ออกไปไม่ให้เข้าตัวและเข้าบ้าน ไม่ควรทำในบ้านเพราะอาจเกิดติดไฟง่าย นำสารละลายที่ไม่มีกากเจือปนจากข้อ 3 ไปใส่ในหม้อหุงข้าวเปิดฝาแล้วกดหุงข้าวไล่แอลกอฮอล์ออกไป กรณีดัดแปลงใช้กระทะห้ามใช้เตาที่มีเปลวไฟโดยเด็ดขาด
5. จากนั้นเมื่อไล่แอลกอฮอล์เกือบหมดแล้ว ให้เทใส่ภาชนะที่เล็กลง อุ่นในเตาไฟฟ้าสำหรับอุ่นกาแฟ อย่างน้อย 12 ชั่วโมง จนไม่เหลือฟองอากาศแล้ว จะให้มั่นใจกว่านั้นคือหยดน้ำลงไปนิดหน่อยซึ่งมีจุดเดือดสูงแกว่าแอลกอฮอล์ จนไม่เหลือฟองอากาศเลย

6. นำไซลิงค์กระบอกฉีดยา (ควรเป็นแก้ว) ดูดน้ำมันกัญชาใส่ภาชนะที่ต้องการ หรือใส่ในไซลิงค์ขนาด 1. มิลลิลิตร พร้อมใช้งาน สภาพจะเป็นยางเหนียวใบ้งานยากจึงมักผสมน้ำมันมะพร้าวร่วมด้วย แต่ผู้ใช้จะรู้ปริมาณที่แท้จริงว่ามีน้ำมันกัญชาอยู่ในปริมาณเท่าไหร่
ข้อดีของวิธีการนี้คือง่ายทำในบ้านได้ แต่ข้อเสีย
1. เปลืองแอลกอฮอล์ ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้
2. กลิ่นกัญชาและแอลกอฮอล์ตลบอบอวลถูกตำรวจจับได้ง่าย
3. ไม่ได้ควบคุมอุณหภูมิอาจทำให้สารสกัดสำคัญบางส่วนหายไป
4. ส่วนใหญ่ไม่รู้ปริมาณสารสกัด THC และ CBD ทำให้ไม่รู้โดสของยาที่ชัดเจนที่จะนำมารักษาผู้ป่วยมะเร็ง
5. ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบได้ ทั้งปริมาณยาและการปนเปื้อนสารพิษอย่างอื่น

การสกัดน้ำมันกัญชาของคุณเดชานั้นมี 2 วิธี คือ
วิธีการสกัดโดยใช้แนปทา(naptha)
และวิธีสกัดโดยใช้น้ำมันมะพร้าว
สกัดเอาน้ำมันจากกัญชามาละลายให้เข้มข้นเหลือแค่ ๓ เปอร์เซ็นต์ เราใส่แคปซูลไว้แค่ ๑๐ หยด ถ้า ๓๐ หยดเท่ากับ ๑ ซีซี ผมกินก่อนนอนแคปซูลเดียวไม่ถึงซีซี ถือว่าน้อยมาก ๆ แค่นี้มันก็ทำงานแล้วไม่ต้องกินเยอะหรอก แล้วเราเว้นบ้างสักเดือนละ ๒ วัน ติดต่อกัน เพราะมีคนวิจัยว่าถ้าเว้น ๔๘ ชั่วโมง ร่างกายจะไม่ดื้อ ไม่ต้องเพิ่มขนาด เหมือนร่างกายมันรีเซตใหม่ให้เรากินเท่าเดิมไปได้เรื่อย ๆ

คุณเดชาบอกว่า วิธีสกัดน้ำมันกัญชาด้วยน้ำมันมะพร้าวตามสูตรของตนนั้นเป็นวิธีโบราณที่เรียกว่า “ทอด” โดยนำดอกกัญชาตัวเมียไปต้มในน้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการสกัดเย็น และต้มจนกระทั่งสารสีเหลืองที่ออกมาจากดอกกัญชาอิ่มตัว
ซึ่งวิธีนี้แม้จะไม่ได้สารสกัดกัญชาถึง 100% เหมือนกับการสกัดด้วยแนปทา แต่ก็ได้สารสกัดกัญชาถึง 50% ซึ่งมากกว่าการสกัดด้วยแอลกอฮอล์ซึ่งได้สารสกัดกัญชาเพียง 10% น้ำมันกัญชานั้นต้องใช้ดอกกัญชาตัวเมียถึง 200-300 กิโลกรัม ต่อผู้ป่วย 5,000 คน

กระบวนการปรุงยาของหมอพื้นบ้านไม่ได้เน้นที่ความเข้มข้นของสารใดสารหนึ่งดังเช่นการผลิตยาแผนปัจจุบัน แต่เน้นการรักษาแบบองค์รวม และให้ความสำคัญกับผลของการรักษาเป็นสำคัญ
มีวิธีสกัดน้ำมันจากกัญชาของคุณเดชา
ต้นกัญชามีน้ำมันมากที่สุดที่ดอกตัวเมีย ภาษาคนสูบเขาเรียกว่ากะหลี่ ที่เพชรบุรีเรียกว่ากะเต็นคือตัวเดียวกัน กัญชาจะมีต้นตัวผู้ คือต้นที่มีแต่ดอกตัวผู้ กับต้นตัวเมียคือมีแต่ดอกตัวเมีย ต้นกะเทยก็มีเหมือนกันนะแต่หายาก ดอกตัวผู้เป็นดอกเล็ก ๆ สีขาว ชันโรงจะเป็นตัวช่วยเอาเกสรมาผสมกับดอกตัวเมียให้ ถ้าผสมแล้วจะได้เมล็ด ถ้าไม่ผสมก็ไม่มีเมล็ด แต่น้ำมันที่เราใช้ไม่ได้มาจากเมล็ดนะ น้ำมันจากเมล็ดกัญชาเป็นอาหารให้คนกินมีโอเมก้าสาม แต่ไม่ใช่ยา น้ำมันเป็นยาจะมาจากดอกตัวเมียที่เป็นช่ออยู่ตรงยอดมันมีน้ำมันเหนียวเกาะอยู่รอบดอกตัวเมียเลย เขาสันนิษฐานว่ามันมีน้ำมันไว้ป้องกันเชื้อราหรือแมลงมาทำลายเมล็ด บังเอิญว่าเป็นยาของเราด้วย
สารสกัดกัญชา
สมัยก่อนอินเดียไม่มีเทคนิค พอออกดอกก็เอามือลูบ เหนียวหนึบติดมือเยอะเข้าก็เอามีดขูดเป็นก้อน ๆ มาใช้สภาพแข็งหน่อยแต่ข้างในจะเหลว สมัยใหม่ทั่วไปจะใช้สารละลายเอาดอกตัวเมียที่มีน้ำมันเยอะใส่ในสารละลาย เช่น แอลกอฮอล์ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ น้ำมันก็จะละลายในแอลกอฮอล์ พอละลายหมดก็กรองเอาดอกออกแล้วระเหยแอลกอฮอล์ออกไปก็จะเหลือน้ำมันกัญชาที่ระเหยยากกว่า วิธีนี้จะได้น้ำมันเยอะ ถ้าไปบีบไปลูบดอกกัญชาน้ำมันแทบจะไม่ออกได้น้อยมาก แต่แอลกอฮอล์มีข้อเสีย เราทดลองมาหมดแล้ว เพราะมันจะละลายอย่างอื่นมาด้วย เช่น สี ดอกมีคลอโรฟิลล์เขียว ๆ ก็จะมีเขียวออกมาทำให้น้ำมันมีสีเขียว หรือยางไม้ขม ๆ ก็ออกมาด้วย เลยได้น้ำมันกัญชาที่เขียวกับขม ขมปี๋เลย เราก็เลยไม่ใช้
ผมใช้พวกน้ำมันปิโตรเลียมเพื่อละลายได้น้ำมันกัญชาอย่างเดียว ไม่เอาสีกับรส สองตัวที่ใช้หลัก ๆ คือเฮกเซน (hexane) กับแนฟทา (naphtha) เฮกเซนปรกติใช้สกัดน้ำมันจากถั่วเหลือง ราคามันแพงกว่า เราใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าต้มไม่มีเปลวไฟ มีแต่ความร้อนอย่างเดียว เพราะถ้ามีเปลวอาจทำให้เฮกเซนติดไฟ วิธีนี้เปลืองหน่อย แต่จะได้น้ำมันกัญชาที่บริสุทธิ์กว่า ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีอะไรปนเปื้อนตอนหลังผมมาใช้แนฟทาที่เป็นสารชนิดเดียวกับน้ำมันรอนสันใส่ไฟแช็ก แนฟทาราคาถูกกว่าและดีกว่าเฮกเซน ผมดูจากยูทูบที่เขาทดลองก็มาทดสอบทำซ้ำ ๆ หลายครั้ง

มะเร็งชอบอะไรบ้าง
อีกวิธีที่ฝรั่งไม่มีคือเราไปสอบถามพระที่ท่านมีฌาน พระท่านบอกว่าเทวดาสร้างพืชนี้มาเพื่อรักษาโรค เวลาใช้รักษามะเร็งให้กินระดับที่พอดีฆ่ามะเร็งได้และไม่ถึงกับเมา อย่างที่ ๒ ที่พระท่านบอกคืออย่าไปเพิ่มปริมาณมะเร็งให้โตไว โดยไม่กินของแสลงอาหารที่มะเร็งชอบ คือพวกสัตว์เลือดอุ่นทุกชนิด เนื้อ นม ไข่ทั้งหลายทำให้มะเร็งโตไว ถ้ายังกินอยู่รักษาเท่าไรโอกาสหายยากหายช้า สัตว์เลือดเย็นกินได้มีกุ้ง ปู ปลา พวกนี้ไม่แสลง ยกเว้นหอย แล้วก็ยังมีของหมักดองซึ่งมีสารกระตุ้นมะเร็งด้วย
โรคอะไรบ้างที่ได้ลองใช้รักษา
ที่มารักษามีโรคหลายโรค เป็นคนป่วยมะเร็งสัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ อันที่ ๒ เบาหวาน อันที่ ๓ ไมเกรน อันที่ ๔ โรคตา พวกตาแห้ง ตามัว พวกต้อทั้งหลาย นอกจากนั้นยังมีโรคอื่น ๆ อีกนับสิบโรค
รักษาต้อได้ด้วยหรือ?
ผมเคยเป็นต้อเนื้อ มันจะออกจากหัวตาแล้วลามจนบังตาดำก็ไปให้หมอเขาลอกออก หมอบอกว่าไม่หายขาดหรอกนะเดี๋ยวก็ต้องลอกใหม่ ถ้าดูแลดีก็นานหน่อย หมอให้ผมใส่แว่นตาดำเวลาออกเเดด อย่าให้โดนลม ผมก็ไม่ทำเพราะรำคาญ สองเดือนก็กลับมาเป็นใหม่แล้วขึ้นแดงเลย คันยิบ ๆ ต้องหยอดตา ปรากฏว่าบังเอิญผมหยิบขวดผิด เอาขวดน้ำมันกัญชาไปหยอดแทน หยอดเสร็จทำไมมันเหนียว ๆ เพราะธรรมดาน้ำยาหยอดตามันไม่เหนียว สักพักแสบ รู้ว่าไม่ใช่ยาหยอดตาแล้ว ก็ตกใจรีบเช็ดกลัวจะตาบอด พักเดียวหายแสบหายคัน พอรุ่งเช้าตาหายแดงอีก พอเป็นใหม่ผมก็หยอดอีกจนหาย ก็หยอด ๒-๓ วันต่อเนื่องจนตอนนี้ผมหายขาดเลยนะ ไปหาหมออีกทีหมองง
ตอนหลังผมแนะนำใครที่เป็นต้อเนื้อหยอดเลยหายทุกคน ต้อหินก็ช่วยได้แล้วมันสร้างประสาทตาใหม่ เรื่องนี้ผมรู้เพราะว่าสายตาผมไม่ดีแล้ว อายุกว่า ๖๐ สายตายาว แล้วตอนหลังไกล ๆ ก็ไม่ชัด ระยะชัดสั้นลงมาเรื่อย ๆ มีวุ้นตาลอยไปลอยมา ทีนี้พอผมหยอดต้อแล้วหายก็เลยลองหยอดต่อเนื่องคิดว่ามันไม่มีอันตรายอะไรเพราะว่าเราใช้สายตาเยอะกลางคืนจะแสบ พอหยอดทุกคืนตาเราไม่เสื่อม ปรากฏว่าสายตาผมเริ่มดีขึ้น มองเห็นอะไร ๆ ชัดแจ๋วไม่มีวุ้นตาลอยแล้ว คือถ้าไม่ลองเองก็ไม่รู้ สายตาผมดีกว่าเก่า
ข้อมูลเพิ่มเติม
เฮกเซน (hexane)
ในทางการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์หากต้องการแยกสารหลายๆชนิดที่ผสมกันอยู่ออกจากันนั้นทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสาร หากต้องการแยกต้องการแยกสารอินทรีย์ออกจากสารผสมมักจะใช้วิธีการสกัด (Extraction) ซึ่งจะใช้ตัวทำละลายที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องละลายสารอินทรีย์ที่ต้องการสกัดได้ดี ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกับสารละลายของของผสมและไม่ควรละลายสิ่งเจือปนหรือสารที่ไม่ต้องการ ตัวทำละลายชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ คือ เฮกเซน (Hexane) เฮกเซนถือว่าเป็นตัวทำละลายที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ใกล้ตัวหลายๆชนิด เช่น ใช้ผสมสีหรือกาวในงานเฟอร์นิเจอร์ งานพ่นหรืองานทาสี งานทากาวรองเท้า สำหรับโรงงานที่ใช้เฮกเซนได้แก่โรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันพืช และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
เฮกเซน (hexane)
เป็นสารที่ผลิตได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบหรือการแยกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่ถูกนำมาใช้งานสำหรับเป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การสกัดสารอินทรีย์จากสมุนไพร หรือใช้เป็นส่วนผสมเพื่อเป็นตัวทำละลายสี เป็นต้น
ลักษณะเฉพาะ
ชื่ออื่นที่เรียก: Naphtha (petroleum), hydrotreated light, diproply, gettysolv-b และhex
สถานะ: เป็นของเหลวใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน
สูตรโมเลกุล: C4H14
สูตรโครงสร้างโมเลกุล: CH3-CH2-CH2-CH2-CH2-CH3
น้ำหนักโมเลกุล: 86.1766
จุดหลอมเหลว: -100 ถึง -95 องศาเซลเซียส
จุดเดือด: 69 องศาเซลเซียส
ความถ่วงจำเพาะ: 0.660
การละลายน้ำ: 10.5 มก./ลิตร
ดัชนีหักเหแสง: 1.375
จุดวาบไฟ: -27 องศาเซลเซียส
ความไวไฟ: จัดเป็นวัตถุอันตรายที่เป็นของเหลว และไอระเหยที่มีความไวไฟสูง
สารที่เข้ากันไม่ได้: สารออกซิไดซ์, แมกนีเซียมเปอร์คลอเรท, คลอรีน, ฟูลออรีน, พลาสติก

การผลิต
เฮกเซนสามารถผลิตได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ผลพลอยได้จากการกลั่นจะเกิดเฮกเซนหลายไอโซเมอร์ และจะเข้าสู่กระบวนการแยกให้ได้ n-hexane ที่บริสุทธิ์
การใช้ประโยชน์
เฮกเซนเป็นสารอินทรีย์ระเหยชนิดหนึ่งที่นิยมใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ
– การสกัดน้ำมันจากเมล็ดธัญพืชต่างๆ อาทิ ถั่วเหลือง เมล็ดฝ้าย ทานตะวัน เมล็ดข้าวโพด เป็นต้น
– ใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมสี สีย้อม หมึกพิมพ์ กาว เป็นต้น
– ใช้เป็นตัวทำละลายหรือสกัดสารในสมุนไพรต่างๆ
การรับสารของมนุษย์
– ค่า RfDo ของเฮกเซน (Reference dose โดยการกิน) เท่ากับ 6.0 x 10-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน
– ค่า RfDi ของเฮกเซน (Reference dose โดยการหายใจ) เท่ากับ 5.71 x 10-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน
ข้อมูลความปลอดภัย
มีการทดสอบความอันตรายของสารเฮกเซน โดยมีการทดสอบด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการใช้แบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวของมนุษย์ พบไม่จัดเป็นสารก่อการกลายพันธุ์
ความเป็นพิษของเฮกเซนต่อระบบประสาท พบอาการที่สำคัญ คือ มีอาการแขน ขาอ่อนแรง และอาจเป็นอัมพาตได้ โดยพบอาการอ่อนแรงที่ขาก่อน และเกิดอาการที่แขนตามมา ร่วมด้วยกับอาการปวดศรีษะ วิงเวียนศรีษะ มึนงง หายใจลำบาก มีอาการเบื่ออาหาร อาการเหล่านี้มักเกิดในคนที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารตัวทำละลายต่างๆ เช่น คนงานประกอบรองเท้า คนงานทำสี เป็นต้น
ฤทธิ์ของเฮกเซนที่มีต่อ ระบบประสาทที่เกิดอาการวิงเวียนศรีษะ เซื่องซึม จะเกิดขึ้นบริเวณ cerebellum เกิดการกดระบบควบคุมการหายใจ ร่วมด้วยการออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้มีอาการเคลิบเคลิ้ม และหากได้รับสารพิษในปริมาณมากหรือเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการทำลายระบบ ประสาทส่วนกลางได้ ส่งผลทำให้เกิดควบผิดปกติของการทรงตัว เดินเซ มีอาการความจำเสื่อม

1. เฮกเซนจัดเป็นสารมีพิษ ห้ามรับประทานหรือสูดดม และควรใช้ในสถานที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี
2. สารละลายเฮกเซน และไอระเหยมีความไวไฟสูง ต้องหลีกเลี่ยงความร้อน และประกายไฟขณะใช้งาน
3. เป็นอันตรายต่อผิวหนัง และทางตา ทำให้เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ควรสวมหน้ากากหรือผ้าปิดจมูก สวมถุงมือ รองเท้า และสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดขณะใช้งาน4. เมื่อสัมผัสกับผิวหนังหรือตา ให้ล้างด้วยน้ำสะอาด หากมีอาการรุนแรงให้รีบพบแพทย์ทันที
5. การสูดดมหรืออยู่ในสถานที่ที่มีไอระเหยจะทำให้เกิดอาการวิงเวียน ร่างกายอ่อนเพลีย แขน ขาชา ให้รีบออกห่างหรือนำผู้ป่วยออกจากสถานที่ดังกล่าวทันที6. การกลืนกินจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศรีษะ แขนขา ชา จึงรีบปฐมพยาบาล และนำส่งแพทย์ทันที
7. เมื่อใช้งานเสร็จ ควรปิดฝาให้แน่น8. ควรเก็บในที่มิดชิด อุณหภูมิระหว่าง 0 ถึง 40 องศาเซลเซียส ห่างจากแสงแดด ปะกายไฟ และแหล่งความร้อนต่างๆ รวมถึงสารที่เข้ากันไม่ได้ในข้างต้น
โรคภัยไข้เจ็บส่วนหนึ่งเกิดจากภูมิต้านทานที่ลดลง และสมองที่สั่งการให้ระบบส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานผิดปกติ..ดังนั้นสุขภาพดีได้ต้องดูแลทั้ง 2 ส่วน..
Cr. medthai.com, kapook.com, thepeople.co, mgronline.com, sarakadee.com