อาการของเริม
โรคเริมจะมีลักษณะอาการเฉพาะที่สังเกตได้ง่าย
1. เริ่มแรกจะมีอาการแสบๆ คันๆ นำมาก่อนเล็กน้อย
2. มีตุ่มน้ำใสขนาด 2-3 มิลลิเมตรพุขึ้น อยู่กันเป็นกลุ่ม กินบริเวณกว้าง 1/2-1 เซนติเมตร ยาว 1/2-1 เซนติเมตร โดยรอบจะเป็นผื่นแดง
3. ตุ่มน้ำใสจะกลายเป็นขุ่นเหลือง แล้วแตกกลายเป็นรอยแผลถลอก
4. แผลจะตกสะเก็ด หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ (เร็วสุด 3 วัน)
5. อาการของเริมที่ปาก และเริมที่อวัยวะเพศนั้นค่อนข้างคล้ายกัน
บริเวณที่ขึ้นมักจะเป็นอยู่ที่เดียว อาจเป็นบริเวณใดบริเวณหนึ่งบนผิวกายก็ได้ ที่พบได้บ่อยมาก ก็คือ ริมฝีปากกับอวัยวะสืบพันธุ์ (ช่องคลอดหรือองคชาต)
อาการจะกำเริบอยู่ตรงที่เดิมเวลามีไข้ อดนอน ถูกแดดจัด อาหารไม่ย่อย ร่างกายอิดโรย อารมณ์เครียดขณะมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์ ลักษณะพุเป็นตุ่มน้ำใส อาจพบในไข้สุกใส (อีสุกอีใส) กับงูสวัด
ไข้สุกใส จะมีไข้ และตุ่มใสขึ้นกระจายทั่วร่างกาย ตุ่มมักจะคันมาก
ส่วนงูสวัด จะมีตุ่มใสขึ้นเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท ในกรณีที่เป็นเริมที่องคชาตเมื่อเริ่มเป็นครั้งแรกอาจแยกออกจากกามโรคชนิดอื่น (เช่น ซิฟิลิส แผลริมอ่อน)
หากโรคไม่ชัดเจน ควรจะปรึกษาหมอให้แน่ใจ แต่ถ้าเป็นโรคเริมในระยะกำเริบ (เป็นครั้งหลังๆ ที่ตำแหน่งเดิม) ก็อาจสังเกตได้ว่ามักจะเป็นขึ้นเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเที่ยวสำส่อนแต่อย่างใด
ข้อน่ารู้
1. เริมเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง มีลักษณะพุขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสเล็กๆ เกิดจากการติดเชื้อเริม ซึ่งเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง มีชื่อว่า เชื้อเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (Herpes simplex) ติดต่อโดยการสัมผัส ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ ริมฝีปาก แก้ม จมูก หู ตา ก้น อวัยวะสืบพันธุ์ มักจะพุขึ้นตรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น
2. โรคนี้มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นแล้วจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่เชื้อสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนัง เมื่อร่างกายอ่อนแอ อารมณ์เครียด หรือเป็นไข้เชื้อเริมจะโผล่ออกมาที่ผิวหนังตรงตำแหน่งที่เคยเป็นอยู่เดิม เกิดอาการพุเป็นตุ่มน้ำใส กำเริบได้อีก จึงมักเป็นๆหายๆ เรื้อรังเป็นแรมปีจนกว่าร่างกายจะมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้อย่างเต็มที่ก็จะหายขาดไปได้เอง ซึ่งอาจใช้เวลานาน 3-5 ปี
3. โรคนี้ถึงแม้จะเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง แต่โดยทั่วไปจะไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด ยกเว้นกรณีต่อไปนี้
3.1 ถ้าขึ้นที่ตา อาจทำให้กระจกตา (ตาดำ) อักเสบ หากรักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้เป็นแผลเป็น ตาบอดมัวได้
3.2 ถ้าเป็นเริมในช่องคลอดของสตรี (ซึ่งมักติดจากสามี) ก็มีโอกาสทำให้กลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มากขึ้น ควรตรวจเช็กมะเร็งปากมดลูกปีละครั้ง
3.3 ในระยะใกล้คลอด ถ้ามารดามีเริมในบริเวณช่องคลอด จะต้องทำคลอดด้วยการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง หากปล่อยให้คลอดตามธรรมชาติ เด็กอาจได้รับเชื้อขณะผ่านช่องคลอด กลายเป็นโรคเริมชนิดรุนแรง อาจถึงตายได้
4. ผู้ชายบางคนอาจเป็นเริมที่บริเวณองคชาต มักเกิดจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เป็นเริมอยู่ก่อน พุเป็นตุ่มน้ำใสแล้วแตกเป็นแผล เมื่อหายแล้วก็มีโอกาสมีอาการกำเริบซ้ำๆ ซากๆ อยู่เรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปรับเชื้อจากผู้อื่นอีก เพราะเชื้อเริมที่หลบในจะโผล่ออกมาเป็นครั้งคราว จนบางครั้งคนไข้แทบจะประสาทกิน แท้จริงผู้ชายที่เป็นโรคเริมที่องคชาตจะไม่มีโรคแทรกแต่อย่างใด แต่จะแพร่เชื้อให้ภรรยาซึ่งจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากดังกล่าข้างต้น
เนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงจัดเป็น “กามโรค” ชนิดหนึ่ง หรือจะเรียกว่าเป็นโรคแห่งความรักก็ได้
สาเหตุของเริม
เริมมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) เชื้อไวรัสดังกล่าวแบ่งออกเป็น อีก 2 ชนิดย่อย ๆ คือ HSV-1 และ HSV-2 ซึ่งสามารถติดต่อกันได้จากคนสู่คนผ่านการสัมผัสเชื้อโดยตรง ผ่านทางการสัมผัสกับแผล และการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือทางเพศสัมพันธ์และกิจกรรมทางเพศที่ไม่มีการป้องกัน รวมถึงการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้อีกด้วย
เริม (Herpes)
คืออาการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) โดยเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
โดยเชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิดนี้จะก่อให้เกิดอาการ เริมที่ปาก (Herpes Simplex) และเริมที่อวัยวะเพศ (Gential Herpes) และสามารถติดต่อกันระหว่างคนสู่คนได้โดยผ่านทางการสัมผัสอย่างใกล้ชิด ทางน้ำลาย น้ำเหลือง หรือผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้
เริมเป็นโรคผิวหนังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสเหล่านี้จะยังคงอยู่ในร่างกายแม้อาการจะสงบลงแล้ว และกลับมาแสดงอาการอีกหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ
การรักษาเริม
ปัจจุบันโรคเริมยังคงเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วการรักษาโรคเริมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
การป้องกันเริม
วิธีการป้องกันเริมที่ดีที่สุด ก็คือการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ของใช้ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงอย่างการหอมแก้ม และการจูบ นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยด้วยการใช้ถุงยางอนามัยก็สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ได้
1.รักษาด้วยน้ำมันหอมระเหยเลมอนบาล์ม
เป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำมะนาวสามารถใช้ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านได้ ทว่าการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่า น้ำมันหอมระเหยเลมอนบาล์มช่วยฆ่าเชื้อไวรัสเริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรคเริมริมฝีปากนั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อ Herpes simplex virus หรือ HSV
การรักษาใดๆ ก็ตามที่รักษาได้ตรงกับตัวเชื้อไวรัสที่สุดจะทำให้อาการหายเร็วขึ้น วิธีการรักษาเองที่บ้านดังนี้ เมื่อคุณเริ่มมีอาการปวดแสบจากเริม ลองหยดน้ำมันหอมระเหยเลมอนบาล์มประมาณ 2 หยด ลงบนแผลบริเวณที่มีอาการ จากนั้นประคบแผลด้วยน้ำแข็ง 10 นาที น้ำมันบาล์มจะแข็งตัวและเหนียวข้นขึ้นซึ่งสามารถป้องกันแผลจากเชื้อแบคทีเรียและช่วยไม่ให้แผลแห้งแตกได้ สามารถทำซ้ำเช่นนี้ได้หลายครั้งต่อวันจนกว่าอาการจะดีขึ้น
2.แอสไพรินช่วยได้
แอสไพรินไม่ได้มีคุณสมบัติแค่ช่วยบรรเทาอาการปวดเท่านั้น แต่จากการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้แอสไพรินปริมาณ 125 มก. ต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาของการเป็นโรคเริมได้ถึง 50%
3.ยาป้ายแผลจากแป้งข้าวโพด
วิธีการรักษาเริมด้วยยาพอกที่ทำจากแป้งข้าวโพดนั้นเป็นวิธีโบร่ำโบราณที่ใช้กันมาช้านาน วิธีการง่ายๆ คือ ผสมแป้งข้าวโพดกับน้ำสะอาดให้เป็นเนื้อครีม แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ 2-3 ครั้งต่อวัน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เนื่องจากแป้งข้าวโพดช่วยปรับสมดุลค่าความเป็นกรดด่างของแผลได้โดยโรคเริมนั้นเกิดจากสภาพความเป็นกรดสูง ซึ่งจะทำให้อาการปวดและการอักเสบบรรเทาลง และเมื่ออาการเริมของคุณหายแล้วคุณยังสามารถใช้ครีมแป้งข้าวโพดที่เหลือกำจัดคราบสกปรกบนพรมผืนโปรดของคุณได้อีกด้วย
4.ยาพอกจากถุงชา
เมื่อคุณรู้สึกว่าเริ่มมีอาการของเริม ให้นำถุงชาที่ใช้แล้วที่ยังเปียกอยู่และเย็นแล้วประคบลงบริเวณที่คาดว่าจะเกิดแผลเริมประมาณ 10 นาที ทำซ้ำเช่นนี้ 3-4 ครั้งต่อวัน จะช่วยลดระยะเวลาและลดความรุนแรงของการแพร่เชื้อได้ นอกจากนี้ยังพบว่าชา Earl Grey นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการนำมารักษาโรคเริม
5.รักษาด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
แผลที่เกิดจากอาการเริมอาจติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นหากคุณสัมผัสแผลบ่อยๆ ดังนั้นฆ่าเชื้อด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์จะสามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียได้ ยิ่งคุณรักษาความสะอาดของแผลมากเท่าไหร่ แผลก็จะยิ่งหายเร็วโดยไม่มีการแพร่กระจายเชื้อโรคเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
6.ยาป้ายแผลจากชะเอม
ชะเอมมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งอาการอักเสบและต้านไวรัสได้ นอกจากนี้ยังพบความเป็นกรดสูงบริเวณรากของต้นชะเอม จากการศึกษาวิจัยพบว่า รากชะเอมมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเริมได้ แม้ว่าการดื่มชาชะเอมอาจช่วยได้แต่วิธีต่อไปนี้จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น วิธีการคือ ผสมผงรากชะเอมหรือรากชะเอมบด 1 ช้อนโต๊ะ กับวาสลีน 1 ช้อนชา แล้วทาบริเวณที่มีอาการโดยสามารถทาทิ้งไว้ได้หลายชั่วโมงหรือทาค้างคืนไว้ได้เลย
7.เช็ดแผลด้วยว่านหางจระเข้
วิธีการคือ เช็ดแผลเริมด้วยเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์หรือว่านหางจระเข้สด 3-4 ครั้งต่อวันจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพราะว่านหางจระเข้จะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนจากแผล ช่วยดูแลผิวที่บอบบาง และช่วยปกป้องแผลจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จากสรรพคุณที่กล่าวมาเป็นเหตุผลว่าทำไมว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยเช่นกัน
8.ทาด้วยทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil)
ทีทรีออยล์มีส่วนประกอบของสารต้านเชื้อรา สามารถฆ่าเชื้อและสามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการเริมได้อีกด้วย ซึ่งดอกวิชฮาเซลก็มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน วิธีการคือ ทาน้ำมันหอมระเหยทีทรีออยล์บริเวณแผลเริม 3-4 ครั้งต่อวัน ทำเช่นนี้จนกว่าอาการจะดีขึ้น
9.เช็ดแผลด้วยวานิลลาสกัด
จริงๆ แล้ววานิลลาสกัดไม่ได้มีประโยชน์แค่เพียงทำให้บ้านของคุณมีกลิ่นหอมสดชื่นเท่านั้น แต่หลายท่านเชื่อว่าแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในวานิลลาสกัดสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสเริมได้ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและการแพร่กระจายของโรค ทันทีที่คุณรู้สึกถึงอาการเริมหรือเริ่มมีแผลเริมเกิดขึ้นให้คุณลองใช้วานิลลาสกัดเช็ดทำความสะอาดแผล
10.ทาแผลด้วยไวน์แดง
หากคุณเป็นนักดื่มไวน์ตัวยงหรือมีไวน์แดงอยู่ที่บ้าน คุณสามารถใช้ประโยชน์จากไวน์เพื่อรักษาโรคเริมได้ โดยเทไวน์แดงลงในถ้วยเล็กๆ ปล่อยทิ้งไว้จนกว่าน้ำของไวน์ระเหยจนมีลักษณะเหนียวข้น จากนั้นทาไวน์แดงบริเวณแผลจะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบได้ จากการศึกษาพบว่าไวน์แดงมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่าสารเรสเวอราทรอล ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระสามารถบรรเทาอาการอักเสบได้
11.โยนแปรงสีฟันเก่าทิ้งซะ!
เนื่องจากแผลเริมสามารถแพร่กระจายเชื้อโรคได้ง่าย ดังนั้น คุณจึงต้องป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นหรือกลับมาเป็นซ้ำอีก โดยทิ้งสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สัมผัสกับแผลโดยตรง เช่น แปรงสีฟัน ลิปสติก หรือลิปบาล์ม เป็นต้น
12.เสริมด้วยวิตามินบี 12
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคเริมนั้นมีระดับของวิตามินบี12 ค่อนข้างน้อยในร่างกาย ดังนั้นอาการเริมอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณกำลังขาดวิตามินบี12 การทานวิตามินบี12 เสริมในแต่ละวันจะช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคเริมได้ นอกจากนี้วิตามินบี12 ยังพบมากใน อาหารทะเล หอย ปู เนื้อวัว ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น
13.ทานกรดไลซีนเสริม (ป้องกัน)
ไลซีน (Lysine) ถือเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความถี่และป้องกันการเกิดโรคเริมหรือตุ่มใสที่ริมฝีปากได้ จากการศึกษาวิจัยพบว่า กรดไซลีนสามารถขัดขวางการแพร่กระจายของเชื้อเริมโดยทำหน้าที่รบกวนการดูดซับสารอาร์จีนีน (กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่เชื้อเริมต้องการเพื่อแพร่กระจายเชื้อโรค) ดังนั้นการยับยั้งการดูดซับสารอาร์จีนีนดังกล่าวจะช่วยป้องกันและรักษาอาการเริมให้หายเร็วขึ้นได้ วิธีการรักษาคือ แพทย์จะแนะนำให้ทานอาหารเสริมที่มีกรดไลซีน 3,000 มก. ต่อวัน ควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไลซีน เช่น เนื้อสัตว์ปีก ไก่งวง ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเสริมเพื่อคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ที่ถูกต้องและปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกายของคุณ
14.หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีส่วนประกอบของอาร์จีนีนและไลซีน (หยุดทานเมื่อเป็น)
นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ากรดอมิโนนั้นมีความจำเป็นมากต่อร่างกาย โดยเฉพาะในขณะที่คุณมีอาการของโรคเริม และเมื่อมีอาการคุณควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีกรดอะมิโน (อาร์จีนีนและไลซีน) หรืออาหารที่มีปริมาณของกรดอะมิโนน้อย เช่น ช็อกโกแลต ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดเปลือกแข็งต่างๆ ธัญพืช วุ้นเจลาติน เบียร์ และลูกเกด เป็นต้น
15.ทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
อาการของโรคเริมมักเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลง เพื่อให้ระบบภูมิคุมกันทำงานได้อย่างปกติ คุณควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสังกะสีที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสเริม อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ได้แก่ ผลเบอร์รี่ กีวี่ ผลไม้ตระกูลส้ม และผลไม้ประเภทแตง ซึ่งผลไม้ดังกล่าวพบว่ามีปริมาณวิตามินซีมากกว่าส้มเสียอีก ส่วนอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี ได้แก่ ถั่ว เนื้อสัตว์ปีก หอย และเมล็ดธัญพืชต่างๆ นอกจากนี้ การดื่มชาสมุนไพรเอ็กไคนาเชียยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคุณและปกป้องการสูญเสียคอลลาเจนภายใต้ผิวหนังจากการแพร่กระจายของเชื้อโรคเริม
16.หลีกเลี่ยงการแตะและสัมผัสบริเวณแผล
พยายามหลีกเลี่ยงการแตะและสัมผัสบริเวณแผลเริม แม้แผลจะแห้งเป็นสะเก็ดแล้วก็ตาม เพราะมือของคุณอาจมีเชื้อโรคและเป็นสาเหตุทำให้แผลหายช้า นอกจากนี้ แผลเริมนั้นสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ด้วยการสัมผัส การแตะหรือจับที่แผลอาจนำเชื้อไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ดวงตาหรืออวัยวะสืบพันธุ์ และหากเป็นเช่นนั้นคุณก็จะต้องรักษาโรคเริมอยู่อย่างนั้นโดยไม่หายขาดจากโรคเสียที ดังนั้นคุณต้องล้างมือทันทีหลังจากที่คุณสัมผัสแผลหรือหลังจากที่ใช้มือทายาที่แผล และทิ้งผ้า สำลี กระดาษทิชชู หรืออุปกรณ์ ที่สัมผัสแผลทันทีหลังใช้ เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อโรค
17.ตัวการและพฤติกรรมที่กระตุ้นการแพร่กระจายของเชื้อโรคเริม
เนื่องจากโรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HSV ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือตัวการที่กระตุ้นให้เกิดโรคจะช่วยลดระยะเวลาของการติดเชื้อและช่วยลดความรุนแรงของอาการได้ ตัวการและพฤติกรรมที่กระตุ้น ได้แก่ ภาวะความเครียด อาการเหนื่อยล้าของร่างกาย การทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด) การติดเชื้อ ภาวะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และการรับรังสียูวีมากเกินไป เป็นต้น