1. ตาเหลือง แต่ตัวไม่เหลือง ร่างกายแข็งเเรงดี
โดยที่ตัวไม่เหลือง อาจเกิดจากเป็นต้อลม ซึ่งจะเห็นมีลักษณะเป็นก้อนนูนเล็กน้อยสีเหลืองอ่อน หรือขาวเหลือง โดยจะเห็นอยู่เป็นบางบริเวณของตาขาว ไม่ได้เห็นทั่วทั้งตาขาว มักพบที่หัวตามากกว่าหางตา เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น การถูกลม ฝุ่นละออง แสงแดด อดนอน ร่างกายอ่อนเพลีย อาจทำให้ต้อลมนูนเป็นก้อนสีเหลืองเห็นได้อย่างชัดเจน อาจเห็นมีสีแดงของเส้นเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยงมากผิดปกติร่วมด้วย และอาจมีอาการระคายเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล เจ็บเล็กน้อยได้
หากตาดูเหลืองทั่วทั้งตาขาว อาจเกิดจากอาการตาแห้ง การโดนฝุ่นละออง สิ่งสกปรกต่างๆ จึงทำให้ดวงตาดูขุ่นเหลือง ไม่ขาววาวได้
ลองสังเกตดูว่ามีลักษณะของต้อหรือไม่ หากไม่ใช่ แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ ล้างตาด้วยน้ำสะอาด หมั่นกระพริบตาบ่อยๆ ลดการใช้มือถือและการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ และมักเป็นสาเหตุทำให้ตาแห้ง หลีกเลี่ยงการอดนอนและนอนดึก เป็นต้น
2. ผิวเหลือง ตาไม่เหลือง

เกิดจากการที่มีสารแคโรทีนในร่างกายปริมาณมาก ซึ่งเกิดจากการทานอาหารที่มีแคโรทีนเป็นจำนวนมาก เช่น ฟักทอง มะละกอ มะม่วง กล้วยไข่ แคนตาลูป มะยงชิด สับปะรด แครอต ส้ม ทุเรียน มะเขือเทศ ตำลึง ผักบุ้ง สาหร่าย เป็นต้น รวมถึงอาหารเสริมที่มีแคโรทีนด้วย
3. ตาเหลืองและตัวเหลือง หรืออาการดีซ่าน

อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ตับอักเสบจากสาเหตุต่างๆ ท่อน้ำดีอักเสบหรืออุดตันจากสาเหตุต่างๆ เช่น
นิ่ว
มะเร็ง
ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน
ตับแข็ง
มะเร็งตับ
โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายโรคธาลัสซีเมีย
โรคติดเชื้อต่างๆ เช่น ไข้จับสั่น โรคฉี่หนู
โรคดีซ่านเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง อาการตาเหลืองตัวเหลืองนี้เป็นเพียงอาการของโรค แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดจากอะไร

ดีซ่านมีกลไกเกิดจาก มีปริมาณสาร บิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งมีสีเหลือง ในเลือดสูงเกินปกติมาก สารบิลิรูบินในเลือด จะเป็นสารบิลิรูบินชนิดไม่ละลายน้ำ (Unconjugated bilirubin) แต่เมื่อผ่านเข้าไปในตับ ตับจะสังเคราะห์ให้บิลิรูบินชนิดไม่ละลายน้ำนี้ เปลี่ยนเป็นบิลิรูบินที่ละลายน้ำ(Conjugated bilirubin) และตับขับสารนี้ออกจากร่างกายโดยปนมากับน้ำดี (Bile) ที่ขับออกทางท่อน้ำดี และผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ และถูกขับออกโดยปนมากับอุจจาระ สีเหลืองของอุจจาระจึงเป็นสีที่ได้จาก บิลิรูบิน เมื่อเลือดมีสารบิลิรูบินสูงมากกว่าปกติมาก สารบิลิรูบินจะเข้าไปจับในเนื้อเยื่อต่างๆ ก่อเกิดมีสีเหลืองขึ้นตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย จะเหลืองมากหรือน้อย ขึ้นกับปริมาณบิลิรูบินในเลือด ซึ่งการมีสีเหลืองผิดปกติทั่วร่างกาย เรียกว่า โรคหรืออาการดีซ่าน บริเวณที่เราพบได้บ่อยได้แก่ บริเวณผิวหนังทั่วตัว ตาขาว
บิลิรูบิน (Bilirubin) เป็นสารที่เกิดจากการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดง ปกติจะมีอายุประมาณ 120 วัน แต่ถ้ามีความผิดปกติก็อาจจะแตกตัวตายเร็วกว่าอายุของมัน ทำให้ในร่างกายจะมีการผลิตสารตัวนี้สูงขึ้น ยิ่งถ้าระบบการทำงานของตับแปรปรวนจนไม่สามารถกำจัดสารตัวนี้ออกจากร่างกายผ่านน้ำดีได้ พอสารสีเหลืองมีการสะสมมากขึ้นทุกวัน ก็จะกระจายไปตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ผิวหนังและเยื่อตา ทำให้มีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองตามมานั่นเอง นอกจากนี้ มักจะมีอาการคันตามร่างกาย เบื่ออาหาร มีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมได้

เนื่องจากอาการดีซ่านมีสาเหตุได้มากมายการวินิจฉัยโรคจะต้องอาศัย ประวัติครอบครัวว่ามีโรคประจำครอบครัวหรือไม่ เช่นโรคเลือด ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยาทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร การตรวจร่างกายคนไข้ และตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ รวมทั้งถ่ายเอ๊กซเรย์พิเศษบางอย่าง
สาเหตุของดีซ่าน

- โรคติดเชื้อของตับ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบทุกชนิดทั้งเอ บี และซี โรคฉี่หนู
อีกหนึ่งโรคที่หลายคนเป็นกันมาก แต่กลับไม่เคยรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ด้วยซ้ำ เพราะแทบไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาอย่างรุนแรง นอกจากเป็นติดต่อมานานจนอาการเริ่มรุนแรงแล้วนั่นเอง แต่ก็สามารถทราบได้ด้วยการเจาะตรวจเลือด หรือบางคนเวลาไปบริจาคเลือดก็จะมีการตรวจเลือด ทำให้ทราบว่าเป็นโรคนี้ บางครั้งอาจจะมีอาการไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารร่วมด้วย หลังจากนั้น ก็จะเริ่มเกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลืองตามมา ให้ลองสังเกตเวลาปัสสาวะว่ามีสีเหลืองเข้มด้วยหรือไม่ เพราะหากรุนแรงมากขึ้นจนตัวเหลือง ตาเหลืองมากขึ้น ก็จะมีโอกาสที่จะเกิดอาการตับวายและเสียชีวิตในที่สุด

- โรคติดเชื้อ เช่น ไข้มาลาเรีย (โรคไข้จับสั่น) ซึ่งเกิดจากเม็ดเลือดแดงแตก
- โรคตับอักเสบจากยาบางชนิด เช่น จากยาบางชนิดในการรักษา วัณโรค ยาปฏิชีวนะ บางชนิด
- โรคตับอักเสบจาก โรคภูมิแพ้ตนเอง (ภูมิต้านตนเอง)
- โรคจากมีการอุดตันทางเดินน้ำดี น้ำดีเช่น โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งตับอ่อน
ตับทำหน้าที่สร้างน้ำดีเตรียมไว้สำหรับระบบย่อยอาหาร และส่งมาตามท่อน้ำดี เพื่อมาเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี เวลาที่เราทานอาหารจะผ่านการย่อยที่กระเพาะแล้วส่งต่อมาที่ลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กก็จะตรงเข้าไปกระตุ้นให้ถุงน้ำดีบีบตัวให้น้ำดีไหลมาตามท่อน้ำดีไปที่ลำไส้เล็ก เพื่อช่วยย่อยอาหารประเภทไขมันให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ก่อนซึมเข้าสู่กระแสเลือดแต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ท่อน้ำดีมีอาการอุดตัน ซึ่งอาจเกิดจากนิ่วหรือเนื้องอกก็เป็นได้ ก็จะทำให้น้ำดีไม่สามารถส่งต่อมาที่ลำไส้เล็กได้ ไม่ใช่แค่เพียงย่อยอาหารไม่ดี แต่ที่แย่กว่า คือ น้ำดีจะย้อนกลับไปที่ตับเข้าสู่กระแสเลือดและกระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้มีอาการตาเหลือง ตัวเหลืองที่เรียกว่าดีซ่านนั่นเอง หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้ร่างกายติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด การป้องกัน คือ พยายามทานอาหารที่มีประโยชน์ ปรุงสุก และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดท่อน้ำดีอุดตันนี้ได้

อีกหนึ่งภาวะที่อันตรายมากขึ้นก็คือ เกิดจากมะเร็งนั่นเอง เพราะมะเร็งสามารถทำให้เกิดภาวะตัวเหลือง ตาเหลืองได้เช่นกัน มะเร็งที่ว่านี้ ได้แก่ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งตับ มะเร็งเนื้อเยื่อบริเวณรูเปิดของท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้เล็กดูโอนัม (Duodenum) ส่วนที่สอง และมะเร็งท่อน้ำดีร่วมส่วนปลาย ซึ่งอาการเริ่มต้นที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่าสิ่งอื่นคือ ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง เริ่มสังเกตได้ที่ตาขาวก่อนที่จะมีลักษณะค่อยๆ เหลืองขึ้นเรื่อยๆ หรือหากพบตั้งแต่เนิ่นๆ และมีอาการตัวเหลืองร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์เมื่อพบความผิดปกตินี้
- โรคเลือดบางชนิด เช่น โรคจีซิกพีดี (G6PD) และ โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
การวินิจฉัยโรคดีซ่าน
จึงมักเป็นเรื่องยากและเป็นหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น ท่านไม่ควรวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุของดีซ่าน หรือรักษาตัวเอง เพราะมีอันตรายกับคนไข้ได้มาก ในแง่ของการรักษาโรคนี้ จึงไม่เหมือนกับโรคปวดหัว ปวดท้อง ซึ่งอาจจะลองกินยาแก้ปวดดูก็ได้อาจหายเอง

อาการอื่นที่อาจจะพบร่วมกับอาการดีซ่าน
อาการอื่นๆที่พบร่วมกับอาการดีซ่านมีความสำคัญพอๆกับอาการดีซ่าน เช่น
- อาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดบริเวณชายโครงด้านขวาซึ่งจะเป็นอาการของมะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน
- มีไข้หนาวสั่น ปัสสาวะสีเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น คันตามตัว เกิดจากติดเชื้อ โรคไข้จับสั่น หรือ โรคฉี่หนู
- มีไข้คลื่นไส้อาเจียน เจ็บชายโครงบ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคตับ
- ท้องบวม(ท้องมาน) ขาบวม น้ำหนักลดเป็นต้น ซึ่งอาจจะเกิดจากตับแข็ง
- อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายซึ่งเกิดจากโลหิตจางในผู้ป่วยโรคเลือด
- อาการร่วมเช่นนี้ อาจพบเพียงอย่างเดียว สองอย่าง หลายๆ อย่าง หรืออาจมีอาการอื่นๆร่วมได้อีกแตกต่างกันเป็นรายๆ ไป

การรักษาโรคดีซ่าน
การรักษาโรคดีซ่านขึ้นกับสาเหตุของโรค บางโรคก็รักษาได้ บางโรคก็รักษาไม่ได้
- เช่นแพ้ยาเมื่อให้หยุดยาอาการก็ดีขึ้น
- หากดีซ่านเกิดจากโรคมาราเรียเมื่อรักษามาราเรียอาการก็ดีขึ้น
- สำหรับดีซ่านที่เกิดจากโรคตับอักเสบเมื่อการอักเสบดีขึ้นอาการดีซ่านก็จะหาย
- สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งมักจะไม่หาย
- ผู้ป่วยตับแข็งมักจะมีอาการแย่ลง
- สำหรับผู้ป่วยดีซ่านที่เกิดจากการอุดตันท่อน้ำดี เมื่อผ่าตัดหรือได้แก้ไขอาการอุดตันอาการดีซ่านจะดีขึ้น แต่หากสาเหตุอุดตันแก้ไขไม่ได้เช่นมะเร็ง อาการดีซ่านก้ไม่หาย

การดูแลตัวเองมีอาการดีซ่าน
- เมื่อท่านพบว่าตัวเองตาเหลืองตัวเหลืองควรที่จะรีบพบแพทย์โดยเร็ว ไม่ควรรอดูอาการเพราะอาจจะทำให้โรคลุกลาม เช่นหากตัวเหลืองตาเหลืองเกิดจากแพ้ยา เมื่อหยุดยาอาการก็จะดีขึ้น
- ช่วงที่มีอาการดีซ่านควรพักผ่อนร่างกายให้มากที่สุด งดออกกำลังกาย หยุดทำงาน หยุดเที่ยวเตร่ ก็ควรให้พักผ่อนอยู่กับบ้านเฉยๆ เพื่อลดการอักเสบของตับ หรือ อวัยวะอื่นที่เป็นสาเหตุของดีซ่านในผู้ป่วยนั้น ไม่ควรจะซื้อยารับประทานเอง
- พยายามเลี่ยงอาหารประเภทที่ทำให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ เช่น อาหารมันๆ
- ผู้ป่วยที่มีท้องบวม (ท้องมาน) และเท้าบวมร่วมด้วย ไม่ควรให้กินของเค็มเช่น เกลือ น้ำปลา กะปิ ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค็ม ของเผ็ดและเครื่องเทศ ฯลฯเพราะจะทำให้บวมมากขึ้น ควรให้กินอาหารทุกประเภททั้งผัก เนื้อ ผลไม้ ขนมหวาน เพื่อซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย
- งดดื่ม สุรา เบียร์ และของมึนเมาทุกชนิดโดยเด็ดขาด เพราะสุราทำลายตับ หากผู้ป่วยยังดื่มสุราต่อไปอาจทำให้ตับทรุดเป็นอันตรายมาขึ้นอีกได้
- อย่าซื้อยาให้ผู้ป่วยกินเองเพราะยาหลายชนิด รบกวนการทำงานของตับ หากไม่ทราบผลเสียของยาแล้ว อาจทำให้เกิดอันตรายยิ่งขึ้นไปอีก
- ห้ามฉีดยาเอง การฉีดยาในผู้ป่วยดีซ่านต้องระวังมากหากไม่จำเป็นจริงๆ แล้วไม่ควรทำ เพราะนอกจากผลเสียที่อาจมีต่อตับแล้ว ยังอาจเกิดการติดเชื้อโรค หรือเลือดออกในบริเวณที่ฉีดยาได้ง่าย การให้น้ำเกลือก็ควรเป็นหน้าที่ของแพทย์เท่านั้น หากให้น้ำเกลือผิดชนิดหรือผิดปริมาณอาจเกิดผลเสียกับผู้ป่วยเช่นอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดของผู้ป่วย สารคัดหลั่ง เช่นน้ำลาย อุจาระ เพราะอาจจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลควรรักษาอนามัยด้านการขับถ่ายอย่างดี อุจจาระ ปัสสาวะของผู้ป่วยควรได้รับการกำจัดอย่างสะอาด เข้าส้วมควรล้างมือฟอกสบู่ทุกครั้ง การปรุงอาหารก็ต้องระวังความสะอาด
- ผู้ป่วยดีซานไม่ควรกินอาหารปะปนกับบุคคลอื่นในบ้าน เพราะโรคดีซ่าน บางชนิดอาจติดต่อได้ทางอาหารเช่นตับอักเสบ
- ผู้ที่ป่วยเป็นดีซ่านหรือเคยเป็นมาแล้วในอดีตไม่ควรบริจาคโลหิตเป็นอันขาด โรคไวรัส ซึ่งอาจอยู่ในร่างกายต่อไปได้อีกหลายปี และอาจติดต่อไปยังผู้อื่นได้
การป้องกันโรคดีซ่าน
การป้องกันสาเหตุที่เกิดดีซ่านเช่น
- เมื่อเข้าป่าต้องป้องกันการติดเชื้อมาลาเรียโดยการป้องกันยุงกัด เมื่อต้องย่ำน้ำต้องสวมรองเท้าเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู
- รักษาสุขอนามัยเป็นอย่างดี เช่น รับประทานอาหารที่ร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ล้างมือโดยการฟอกสบู่หลังจากเข้าห้องน้ำ
- ไม่ซื้อยาทั้งยาปัจจุบันหรือสมุนไพร เพราะอาจจะทำให้เกิดดีซ่านทั้งจากแพ้ยา หรือยาทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
Cr. Mthai, pobpad, siamhealth