โรคหัวใจที่เป็นแต่กำเนิด คือเป็นติดตัวมาตั้งอยู่ในครรภ์มารดา มักจะเป็นชนิดที่มีรูรั่วที่ผนังหัวใจ หรือมีลิ้นหัวใจต่าง ๆ ตีบหรือรั่ว หรืออาจจะเป็นรวม ๆ กันหลายอย่างในคนคนเดียวกันก็ได้ เด็กเหล่านี้ถ้าเป็นน้อย ๆ จะไม่มีอาการใด ๆ นอกจากฟังได้เสียงผิดปกติที่หัวใจ แต่ถ้าเป็นมากอาจเติบโตไม่สมอายุ เหนื่อยหอบ ไอ บวม หรือมีอาการเขียวก็ได้ ปัจจุบันการแพทย์ได้เจริญก้าวหน้าไปมาก จนสามารถผ่าตัดรักษาโรคหัวใจเหล่านี้ได้เกือบทุกชนิด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กที่มีอาการดังกล่าวได้รับการตรวจจากแพทย์โดยละเอียด เพื่อจะได้ให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป
โรคหัวใจที่เป็นหลังเกิด แบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ได้แก่
2.1 โรคหัวใจรูห์มาติก
เป็นโรคหัวใจซึ่งเกิดตามหลังการเจ็บคออันเนื่องมาจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง (B streptococcus group A) ในผู้ป่วยที่เจ็บคอจากเชื้อโรคตัวนี้ ถ้าได้รับการรักษาถูกต้องก็จะไม่เกิดโรคนี้ แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้องหรือไม่นานพอ ก็จะเกิดโรคนี้ขึ้นได้ ทำให้ส่วนต่าง ๆ ของหัวใจ ได้แก่ เยื่อหุ้มหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจ เกิดการอักเสบทั่วไปและเกิดลิ้นหัวใจรั่ว ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคหัวใจทั่ว ๆ ไป คือ
เหนื่อยง่าย
ไอหอบ
บวมเท้า
มีการอักเสบของหัวใจมาก ๆ ผู้ป่วยอาจถึงแก่ชีวิตได้ แต่ถ้าเกิดการอักเสบไม่มาก ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แต่ถ้าเป็นนาน ๆ เข้า ผู้ป่วยบางรายจะมีเนื้อเยื่อพังผืดไปเกาะต่อตรงลิ้นหัวใจที่เคยอักเสบ ทำให้เกิดลิ้นหัวใจตีบขึ้นและมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นใหม่ ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการข้ออักเสบ หรือมีอาการเคลื่อนไหวผิดปกติของแขน ขา มือ เท้า ร่วมไปกับอาการทางโรคหัวใจด้วย
จะเห็นได้ว่าโรคหัวใจชนิดนี้เป็นโรคที่ป้องกันได้ถ้าได้รับการรักษาอาการเจ็บคอที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง จึงไม่ควรละเลยอย่างยิ่งหากมีอาการเป็นไข้เจ็บคอเกิดขึ้น ผู้ป่วยเหล่านี้ที่หายจากอาการหัวใจอักเสบ แพทย์จะนัดไปฉีดยาจำพวกเพนิซิลินชนิดออกฤทธิ์นานทุก 4 สัปดาห์ เป็นเวลาหลาย ๆ ปี เพื่อป้องกันการติดเชื้อชนิดนี้อีก ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการฉีดยาดังกล่าว ถ้ามีการติดเชื้อนี้ที่คออีกจะทำให้ลิ้นหัวใจที่เคยอักเสบและรั่วอยู่แล้วรั่วมากยิ่งขึ้น จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
2.2 โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากเชื้อไวรัส เชื้อโรคคอตีบ
พบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็ก ทำให้มีอาการเหนื่อย หอบ ไอ บวม ซึ่งเป็นอาการของหัวใจวายดังกล่าว การรักษาเป็นการรักษาตามอาการซึ่งผลไม่ค่อยดีนัก สำหรับโรคคอตีบถ้าเด็กได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเป็นระยะก็จะสามารถป้องกันโรคนี้ได้
2.3 โรคหัวใจเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง
โรคนี้พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ หรือในวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ ซึ่งเกิดจากโรคไต แต่ในผู้ใหญ่มักเกิดขึ้นเอง เมื่อร่างกายมีความดันโลหิตสูง หัวใจก็ต้องทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถสูบฉีดโลหิตออกไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เมื่อทำไปสักระยะหนึ่งหัวใจก็จะไม่สามารถทำงานหนักได้อีก การสูบฉีดโลหิตของหัวใจก็จะอ่อนตัวลง และมีอาการของหัวใจวาย คือ เหนื่อย หอบ ไอ บวมเกิดขึ้น
โรคความดันโลหิตสูงนี้ในระยะแรกที่หัวใจทำงานดีอยู่ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะ มึนงงบ้าง แต่จะไม่มีอาการของโรคหัวใจ การวินิจฉัยโรคจึงค่อนข้างยาก นอกเสียจากจะได้ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นระยะ ปัจจุบันแพทย์นิยมวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Sphygmomanometer โดยทั่วไปในเด็กโตหรือในผู้ใหญ่ ค่าความดันโลหิตจะประมาณเท่ากับ 120/80 มม.ปรอท ซึ่งหมายความว่ามีความดันโลหิตปกติขณะหัวใจบีบตัว 120 มม.ปรอท และความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว 80 มม.ปรอท ในเด็กเล็กค่าปกติจะต่ำกว่านี้ทั้ง 2 ค่า ถ้าวัดได้สูงเกินเกณฑ์ปกติเมื่อเทียบกับอายุแล้ว ถือว่ามีความดันโลหิตสูง
1. การสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงต่อหัวใจวายมากกว่าคนไม่สูบ 2 เท่า และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจอย่างกะทันหัน 4 เท่าของคนไม่สูบ
2. ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจทำงานหนัก เนื่องจากมีการสะสมไขมันบริเวณบริเวณผนังหลอดเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ จึงทำให้ต้องสูบฉีดโลหิตแรงขึ้นเพื่อนำไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
3. คอเลสเตอรอลสูง ยิ่งมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงมากขึ้นมากเท่าไร ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากขึ้นเท่านั้น
4. ไม่ออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายน้อยจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นหลอดเลือดหัวใจ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-5 วันจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้
โรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงวัยและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดและตำแหน่งปวดที่หลากหลาย หรืออาจจะไม่มีอาการเจ็บเลยซึ่งพบในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะเส้นประสาทนำความรู้สึกสูญเสียการทำงาน จนบางครั้งทำให้คิดว่าเป็นโรคอื่น หรือในทางกลับกัน วินิจฉัยโรคอื่นเป็นโรคหัวใจ
อาการต่อไปนี้ทำให้สงสัยว่าเป็นภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เรียงลำดับจากมากไปน้อย
5 โรคอันตราย เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก
1. หลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด (aortic dissection) เกิดในผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงและผู้สูงอายุ ผนังของหลอดเลือดแดงใหญ่เอออต้าฉีกขาดทำให้ปวดบริเวณหน้าอกแบบทะลุหน้าทะลุหลังและปวดมาก ความดันโลหิตต่ำและซีดเมื่อเกิดอาการเจ็บหน้าอกครั้งแรกในผู้ที่ไม่เคยมีประวัติโรคหัวใจมาก่อนแต่มีความเสี่ยงที่อาจจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้แก่ สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักตัวเกิน มีคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือหลอดเลือดสมองตีบ ผู้ที่มีความเสี่ยงดังกล่าวควรไปพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอกเสมอ แม้ว่าอาการเจ็บหน้าอกอาจจะเป็นไม่นานและหายได้เอง เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจอาจตีบชั่วคราว หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม หลอดเลือดนั้นอาจกลับมาตีบซ้ำในอนาคตได้
วิธีการรักษาโรคหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจนั้นมีอยู่หลายวิธี ซึ่งหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การรักษาโดยการใช้ยาและการรักษาโดยการผ่าตัด
โรคหัวใจนั้นเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นการหมั่นสังเกตอาการของโรค และการป้องกันโดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ได้กล่าวไปในข้างต้นจะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี
โรคหัวใจล้มเหลว เป็นโรคที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นจากภาวะหัวใจล้มเหลว นอกจากจะเกิดความผิดปกติที่หัวใจแล้ว ยังส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายอีกด้วย โดยปกติแล้วโรคหัวใจล้มเหลวอาจเกิดขึ้นและมีผลกระทบเฉพาะหัวใจซีกขวาหรือเฉพาะซีกซ้ายก็ได้ แต่โดยส่วนมากแล้วโรคหัวใจล้มเหลวมักจะมีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจทั้งสองด้าน โดยโรคหัวใจล้มเหลวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้ อ้างอิง
เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจได้ ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจึงลดลง
เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจไม่มีความยืดหยุ่น จึงส่งผลให้เลือดไหลเข้าสู่หัวใจอย่างไม่มีประสิทธิภาพ การสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจจึงน้อยลง
สาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว
โรคหัวใจล้มเหลวอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ที่สร้างความเสียหายให้กล้ามเนื้อหัวใจ ได้แก่
การรับประทานยารักษาโรคหัวใจล้มเหลวอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการของโรคไม่ให้ลุกลามมากยิ่งขึ้น โดยยาที่ใช้บ่อย ได้แก่
ยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสมดุลน้ำและแร่ธาตุ
ยาขับปัสสาวะ
ยาขยายหลอดเลือด
ยาที่ช่วยเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
จำกัดปริมาณของโซเดียม
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หยุดสูบบุหรี่
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (โรคหัวใจวาย) "ภัยเงียบ"
โรคหัวใจวายเป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุดของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (ACS) เมื่อเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจถูกปิดกั้นโดยลิ่มเลือดอย่างฉับพลันซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเกิดขึ้นจากการอุดตันของ plaque จากการเป็นโรคหัวใจวาย การถูกปิดกั้นนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนตายและเกิดเป็นแผลเป็นที่เนื้อเยื่อ
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น
เจ็บหรือแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง
อาการปวดอาจส่งผลต่อคอ ไหล่ หรือหลัง
ตกใจจนเหงื่อแตก
ภาวะหายใจตื้น
มีความรู้สึกกลัวว่าสิ่งที่เลวร้ายมาก ๆ จะเกิดขึ้นแต่ไม่ทราบว่าคืออะไร
มีหลายเหตุผลที่ทำไมบางคนอาจเป็นโรคหัวใจวายโดยที่ไม่มีอาการเด่นชัด รวมถึงอาการดังต่อไปนี้
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
สูบบุหรี่
ใช้ชีวิตด้วยพฤติกรรมเนือยนิ่ง
มีน้ำหนักเกิน
มีคอเลสเตอรอลสูง
ความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังทุกรายมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
หลอดเลือดสมองตีบตัน
หลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน
โรคหัวใจวาย
สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. ปัจจัยเสี่ยงทั่วไป ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่ สูงอายุ โรคอ้วน เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้พบเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป
2. ปัจจัยเสี่ยงสัมพันธ์กับโรคไตเรื้อรัง เชื่อว่าเกิดจากของเสียคั่งในร่างกาย (ruemic toxin) และผลแทรกซ้อนต่าง ๆ จากโรคไตเรื้อรัง โดยปัจจัยกลุ่มนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น เมื่อการทำงานของไตลดลง หรือโรคดำเนินเข้าสู่ไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ปัจจัยในกลุ่มนี้ได้แก่
2.1 ภาวะโลหิตจาง เมื่อไตทำงานลดลงจะสร้างฮอร์โมนอีริโธรปัวอิติน (erythropoietin) ที่ใช้ในขบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลงตาม พบว่า ภาวะโลหิตจางเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจโต และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยไตเรื้อรัง โดยเฉพาะเมื่อระดับฮีโมโกลบิน (hemoglobin) น้อยกว่า 9 กรัม/ดล.
2.2 ภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ พบว่าระดับไข่ขาวในปัสสาวะชนิด microalbumin เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เกิดจากเบาหวานและไม่ได้เกิดจากเบาหวาน
2.3 ภาวะความผิดปกติของเกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และภาวะต่อมพาราไธรอยด์ทำงานมาก (hyperparathyroidism) เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจโต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน และอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
พบการเกิดพยาธิสภาพหลักในชั้นกลางของหลอดเลือดหัวใจ และมีการสะสมของแคลเซียมที่เรียกว่าภาวะ coronary artery calcification โดยภาวะนี้จะทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ส่งผลให้ระดับความดันโลหิตซิสโตลิก (systolic) เพิ่มขึ้น ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (diastolic) ลดลง ปริมาณเลือดเลี้ยงหัวใจลดลง และสุดท้ายเพิ่มอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด จากหลายการศึกษาพบปัจจัยเสี่ยงของการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง คือผู้ป่วยสูงอายุ โรคเบาหวาน ระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูง ระดับแคลเซียมในเลือดสูง การเพิ่มขึ้นของไข่ขาวในปัสสาวะ และการทำงานของไตลดลง
2.4 ภาวะอักเสบในร่างกายของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ขบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีผลต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเกิดในกลุ่มอาการที่เรียกว่า malnutrition-inflammation-atherosclerosis (MIA syndrome) เมื่อตรวจเลือดมักพบระดับ ซี-รีแอททีฟโปรตีน (C-re-active protein, CRP) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เกิดพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจ และเพิ่มอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้นตามมา
บางครั้งอาการที่เกิดขึ้นกับหัวใจบางช่วงเวลา ไม่ว่าจะเจ็บจี๊ด ๆ หายใจติดขัด เหนื่อย อาจคิดไปไกลว่ากำลังเป็นโรคหัวใจ จนบางทีเครียดและเป็นกังวล เพราะอาการบ่งชี้ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นโรคหัวใจแน่ ๆ แต่การเจ็บที่บริเวณหัวใจหรือการเต้นของหัวใจแรงและเร็ว ก็ไม่ได้เป็นอาการของโรคหัวใจเสมอไป
1. ภาวะตื่นเต้นตกใจ
หากมีอาการตื่นเต้นหรือตกใจมาก จนเกิดอาการใจเต้นแรงแทบทะลุออกมานอกอก เนื้อตัวสั่น เหงื่อซึมหรือรู้สึกหวิวเหมือนเป็นลม ความจริงอาการเช่นนี้อาจไม่ใช่อาการของโรคหัวใจ เป็นเพียงแค่ความตื่นเต้นตกใจเมื่อเจอบางอย่างกระตุ้นหรือเร้าเท่านั้น หรืออาจกำลังเผชิญกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอันเกิดจากปฏิกิริยาคลื่นไฟฟ้าแตกตัว จนส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วแรงและตามมาด้วยอาการข้างเคียงดังกล่าว
แต่หากมีอาการเช่นนี้บ่อยเกินไปก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด หรือบางคนที่ตกใจเกินเหตุก็อาจปรึกษากับจิตแพทย์และขอรับยาลดความวิตกกังวลมารับประทานร่วมด้วย
2. คาเฟอีนทำให้หัวใจเต้นแรง
หากดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนมาก ๆ อาจทำให้มีผลต่อระบบประสาทออโตโนมิกเกิดทำงานผิดปกติได้ และนั่นอาจเป็นสาเหตุให้หัวใจเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ แต่หากมีอาการเจ็บหน้าอกและหน้ามืด เวียนศีรษะร่วมด้วย นั่นอาจเป็นเพียงเพราะผลข้างเคียงจากคาเฟอีน ซึ่งไม่ใช่โรคหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามควรพบแพทย์เพื่อตรวจอาการอย่างละเอียดเพื่อความแน่ใจเกี่ยวกับโรคหัวใจ
3. ยาลดน้ำมูกทำให้หัวใจเต้นแรง
ยาลดน้ำมูกจำพวกยาซูโดอีเฟดรีน (pseudoephedrine) อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติไป หากรู้สึกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับหัวใจในทุกครั้งที่รับประทานยา ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยาใหม่
4. เกิดภาวะขาดน้ำ
เมื่อร่างกายขาดน้ำเพราะเสียน้ำมาก ดื่มน้ำน้อย ร่างกายจะส่งสัญญาณประท้วงด้วยการทำงานแบบผิดปกติของกล้ามเนื้อ อาจเป็นตะคริว ปากแห้งหรือแตก หน้าซีด ปวดศีรษะ จนอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติได้ ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2.2 ลิตร เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับร่างกายและจะทำให้การทำงานส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นปกติ
5. ได้รับผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
ยาบางชนิดโดยเฉพาะยาที่ใช้ในการรักษาโรคหอบหืดและโรคไทรอยด์ จะส่งผลข้างเคียงในการเร่งอัตราการเต้นของหัวใจได้ด้วย ฉะนั้นก่อนรับประทานยาควรตรวจสอบอาการข้างเคียงของตัวยาด้วยทุกครั้ง และควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองหลังรับประทานยาเข้าไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่แพทย์จ่ายยาตัวใหม่ให้หรือซื้อยามารักษาอาการป่วยเอง หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกายก็ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันที
6. มีภาวะโลหิตจาง
คนที่เป็นโรคโลหิตจางมักเกิดจากร่างกายขาดธาตุเหล็กและไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์ได้ ดังนั้นการขนถ่ายออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อจึงค่อนข้างลำบากและส่งผลกระทบไปถึงการทำงานของหัวใจ อาจต้องเจอกับภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เหนื่อยง่าย และผมร่วง ผู้ป่วยบางคนอัตราการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอแต่มีจังหวะหนักแน่นจนรู้สึกได้ว่าผิดปกติก็มี
7. มีโลหะหนักสะสมในร่างกาย
แคดเมียม ปรอท และโลหะหนักอื่น ๆ เมื่อเข้าไปสะสมในร่างกายนาน ๆ อาจทำให้เกิดอาการอักเสบของหลอดเลือด และแข็งตัวจนเกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจ หรือไปรบกวนการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจได้โดยตรง แถมยังปั่นป่วนคลื่นไฟฟ้าหัวใจจนทำงานผิดปกติ ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเกิดความผิดปกติไปด้วย สำหรับคนที่มีความเสี่ยงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ทำงานในระบบอุตสาหกรรม
... ยามใดที่ร่างกายอ่อนล้า เรามักจะหยุดพักให้หายเหนื่อย... แต่ยามใดที่หัวใจอ่อนแรง มันไม่อาจจะหยุดพักได้ มันยังคงต้องเดินหน้าทำงานต่อไป... ดังนั้น เมื่อรู้ว่า "หัวใจ" ไม่เคยหยุดพัก เราต้องดูแลรักษามันไว้ให้ดี ๆ นะครับ..