หากดูจากข้อมูลโดยองค์การอนามัยโลก ครึ่งหนึ่งของผู้สูบบุหรี่ทั้งหมดเสียชีวิตจากพิษบุหรี่ โดยมีผู้เสียชีวิต 6 ล้านคนในแต่ละปี นอกจากนี้ ยังมีคนอีกเกือบ 9 แสนรายที่เสียชีวิตเพราะต้องอยู่ใกล้ชิดกับควันบุหรี่
องค์การอนามัยโลกถือว่า บูหรี่เป็น "โรคระบาด" และ "ภัยสุขภาพร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งที่โลกเคยเผชิญ" และเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ใช้นโยบายต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คนสูบบุหรี่ อาทิ จำกัดโฆษณา การให้เงินสนับสนุนโดยบริษัทผู้ผลิตยาสูบ และขึ้นภาษีบุหรี่
องค์การอนามัยโลก ระบุว่า มีคนสูบบุหรี่น้อยลง ในปี 2016 มีคนสูบบุหรี่คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์จากคนทั้งโลก เทียบกับ 27 เปอร์เซนต์ ในปี 2000 แต่นี่ก็ยังไม่ได้ตามเป้าหมายที่นานาชาติตกลงกันไว้
ขณะนี้มีผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ 1.1 พันล้านคน โดย 80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนจากประเทศที่มีรายรับระดับกลางและต่ำ
การสูบบุหรี่นั้นถือเป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งต่อผู้สูบเองและผู้อยู่ใกล้ชิดที่สูดเอาอากาศที่มีควันบุหรี่เข้าไป เพราะควันบุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และมีสารก่อมะเร็ง ไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารอันตรายที่สำคัญ เช่น
นอกจากนั้นยังพบว่าการสูบบุหรี่ก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล โรคความดันเลือดสูง โรคตับแข็ง โรคปริทันต์ โรคโพรงกระดูกอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคหัวใจ เป็นต้น และยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของผู้สูบบุหรี่อีกด้วย
มาย้อนไปดูหลายศตวรรษก่อน คนเชื่อกันว่ายาสูบเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ ในศตวรรษที่ 16 ต้นยาสูบนิโคเทียนา (Nicotiana) ได้รับการขนานนามว่าเป็น "สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์" และ "การรักษาเยียวยาของพระเจ้า"
ในสมัยนั้น นักวิจัยด้านการแพทย์ชาวดัตช์ ไจลส์ เอเวอร์ราร์ด เชื่อว่าสรรพคุณของต้นยาสูบนิโคเทียนาจะทำให้เราต้องการแพทย์น้อยลง
"ถือกันว่าควันเป็นยาแก้พิษและโรคติดต่อร้ายแรงได้" เอเวอร์ราร์ด เขียนในหนังสือ Panacea; or the Universal Medicine, being a Discovery of the Wonderful Virtues of Tobacco taken in a Pipe จากปี 1587
จากบทความโดย ศ.แอน ชาร์ลตัน ในวารสารราชแพทยสมาคมแห่งสหราชอาณาจักร คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาลี เป็นชาวยุโรปคนแรกที่พยายามใช้ยาสูบเพื่อการแพทย์ ในปี 1492 เขาพบว่ามีการสูบยาสูบบริเวณหมู่เกาะที่ปัจจุบันเป็นประเทศคิวบา เฮติ และบาฮามาส บางครั้งมีการนำใบยาสูบไปใส่คบไฟเพื่อฆ่าเชื้อโรคในบริเวณต่าง ๆ และใช้ป้องกันโรคและความเหนื่อยล้า
นอกจากนี้ ในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นประเทศเวเนซุเอลา มีการนำยาสูบ โดยน่าจะนำไปผสมกับมะนาวหรือชอล์ก ไปใช้เป็นยาสีฟัน ซึ่งยังถือปฏิบัติกันอยู่ในอินเดียมาจนถึงปัจจุบัน
นักเดินสำรวจชาวโปรตุเกส เปโดร อัลวาเรซ คาเบราล์ เดินทางไปถึงบราซิลในปี 1500 และรายงานว่า มีการใช้ betum ซึ่งอีกชื่อที่ใช้เรียกต้นยาสูบ สำหรับรักษาฝีอักเสบและติ่งเนื้อ
ในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นเม็กซิโก แบร์นาดิโน เด ซาอาโกน นักบวชนิกายโรมันคาทอลิกและมิชชันนารีคณะฟรันซิสกัน เรียนรู้จากแพทย์ท้องถิ่นว่าโรคที่ส่งผลต่อต่อมบริเวณคอสามารถรักษาด้วยการกรีดเนื้อและนำใบยาสูบร้อน ๆ บดผสมเกลือไปทา
จากนั้น แพทย์และนักผสมยาชาวยุโรปก็เริ่มสนใจนำใบยาสูบไปทำยามากขึ้น จากข้อมูลโดยพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดด้านสุขภาพ Wellcome Collection ในกรุงลอนดอน ในหลายศตวรรษถัดจากนั้น การสูบยาสูบกลายเป็นองค์ประกอบจำเป็นสำหรับแพทย์ และนักเรียนแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องผ่าศพ
มีการแนะนำให้นักกายวิภาคศาสตร์สูบยาสูบได้ตามสบายเพื่อกลบกลิ่นศพและป้องกันเชื้อโรคจากศพ
ครั้งเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนเมื่อปี 1665 มีการแนะนำให้เด็กนักเรียนสูบยาสูบกันในห้องเรียน โดยเชื่อกันว่าควันสามารถป้องกันกลิ่นหรือไอที่คนเชื่อกันว่าเป็นพาหนะโรค
แม้จะมีความกังวล ยาสูบก็ยังเป็นที่ต้องการ ที่แปลกที่สุดอย่างหนึ่งคือ มีการเป่าควันยาสูบเข้าไปที่ช่องทวารหนักของผู้จมน้ำ โดยแพทย์เชื่อว่า ควันจะบรรเทารักษาความรู้สึกหนาวและความง่วง ช่วยให้ความอบอุ่นและกระตุ้นผู้จมน้ำได้ และก็มีจัดวางชุดอุปกรณ์นี้ไว้ตามริมแม่น้ำเทมส์สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
ในศตวรรษที่ 18 มีการแนะนำให้เป่าควันยาสูบเข้าหูเพื่อรักษาอาการเจ็บหูด้วย
หลังจากมีการสกัดนิโคตินออกจากยาสูบสำเร็จในปี 1828 วงการการแพทย์ก็เริ่มสงสัยในสรรพคุณของยาสูบมากขึ้น แต่ก็ยังมีการใช้ยาสูบในทางการแพทย์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทางทวารหนักเพื่อรักษาอาการท้องผูก ริดสีดวง และพยาธิ
เริ่มมีความกังวลถึงภัยยาสูบจริงจังขึ้นในช่วงปี 20s และ 30s แต่ยี่ห้อบุหรี่อย่าง Camel ก็พยายามจะบอกว่าแพทย์แนะนำให้คนสูบบุหรี่ และแพทย์เองก็สูบบุหรี่ Camel ด้วย บริษัทยังบอกว่านักร้องยังแนะนำให้สูบบุหรี่เพื่อช่วย "ขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกจากเนื้อเยื้ออันบอบบางของลำคอ"
30 ปีที่ผ่านมา เราเข้าใจถึงภัยบุหรี่ดีขึ้น หลายประเทศห้ามไม่ให้มีการสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะที่ไม่มีอากาศถ่ายเท เริ่มมีการรณรงค์ให้คนตระหนักรู้ถึงโทษบุหรี่มากขึ้น
บางประเทศบังคับให้ติดรูปคนไข้ระยะสุดท้ายจากพิษบุหรี่บนซองบุหรี่ ในอังกฤษมีการใช้ตุ๊กตาชื่อ Smokey Sue เพื่อสอนผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ถึงโทษบุหรี่ต่อทารก
ในช่วงที่ผ่านมา บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีสารทาร์และคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่อันตรายที่สุดของบุหรี่ อย่างไรก็ตาม สำนักบริการสาธารณสุขแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ก็บอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ปลอดภัยเสียทีเดียว
Philip Morris International ผู้ผลิตยาสูบรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเริ่มเจาะตลาดบุหรี่ไฟฟ้า และผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้า Juuls ถูกฟ้องร้องในสหรัฐฯ ว่าพวกเขาพยายามโฆษณาทางโซเชียลมีเดียให้วัยรุ่นมาใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น
Cr. sanook, bbc,