หน่อไม้ มีประโยชน์มากกว่าที่เข้าใจ และความเชื่อที่ผิดๆ

หน่อไม้ : Bamboo Shoot
หน่อไม้ : Bamboo Sprouts
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bambusa vulgaris
อยู่ในวงค์ : Poaceae
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปัญจาบในประเทศอินเดีย กล่าวว่า การที่จำนวนผู้บริโภคตระหนักถึงสุขภาพเพิ่มขึ้นได้กระตุ้นการเติบโต (ให้ความสำคัญ) กับส่วนผสมสำหรับอาหารที่มีสรรพคุณเป็นยา และกล่าวเสริมว่า หน่อไม้สามารถเป็นหนึ่งในส่วนผสมของอาหารเพื่อสุขภาพ
“หน่อไม้อ่อนไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้น แต่อุดมไปด้วยส่วนประกอบของสารอาหาร มีโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ ใยอาหารมีน้ำตาลและไขมันต่ำ” นักวิจัยซึ่งนำโดย ศาสตราจารย์ไนร์มาลา ชงธรรม (Nirmala Chongtham) แผนกพฤกษศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยปัญจาบเขียนไว้

สารอาหารในหน่อไม้
หน่อไม้สด ครึ่งถ้วยตวง (76กรัม)คาร์โบไฮเดรต 4 กรัม 1 %เส้นใยอาหาร 2 กรัม 8%โปรตีน 2 กรัม 4 %วิตามินซี 6%เหล็ก 2%สังกะสี 6%ไทอะมีน (วิตามินบี 1) 8%ไนอะซิน (วิตามินบี 5) 2%วิตามินบี 6 10%ฟอสฟอรัส 4 %หน่อไม้สด 100 กรัม
ให้พลังงาน 30 กิโลแคลอรี
ไขมัน 0.2 กรัม
แคลเซียม 49 มิลลิกรัม

หน่อไม้ดอง
ให้พลังงาน 47 กิโลแคลอรี
ไขมัน 0.9 กรัม

10 สรรพคุณของหน่อไม้...ประโยชน์ในการรักษาโรค
1. หน่อไม้ช่วยร่างกายผลิตกรดอะมิโน
กรดอะมิโนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ไม่สามารถจะสร้างเองได้ ต้องได้รับจากการกินอาหารเท่านั้น และหน่อไม้ก็เป็นผักที่มีส่วนช่วยในการผลิตกรดอะมิโนหลายชนิดที่ร่างกายต้องการได้
2. ประโยชน์ของหน่อไม้มีเส้นใยอาหารมาก
โดยส่วนของหน่อไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ส่วนเส้นใยอาหารที่เหลือจะไปอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ซึ่งช่วยขับกากและสารพิษที่ตกค้างออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น ทำให้ลดโอกาสจะเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และท้องไม่ผูกด้วย
3. หน่อไม้มีเส้นใยอาหารมาก
ในหน่อไม้นอกจากจะมีเส้นใยอาหารอยู่มากแล้ว ยังมีน้ำตาลอยู่น้อยด้วย ดังนั้นคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรืออยากลดน้ำหนักสามารถกินได้อย่างสบายใจ เพราะน้ำหนักไม่ขึ้นแน่นอน
4. สรรพคุณของหน่อไม้ช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้
ทางการแพทย์แผนจีนถือว่าหน่อไม้เป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นจึงมีสรรพคุณช่วยแก้อาการร้อนต่างๆ ได้ดี หากรู้สึกว่าร่างกายร้อนเกินไปก็ให้กินหน่อไม้จะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายได้ และยังช่วยแก้กระหาย แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงกำลัง
5. หน่อไม้มีโปรตีนสูง (แสลงต่อคนเป็นโรคเกาต์เท่านั้น)
มีคุณค่าทางสารอาหารพอๆ กับเห็ด จึงมักนิยมนำมาใช้ประกอบอาหารสำหรับคนที่กินมังสวิรัติหรือกินเจอีกด้วย
6. ในหน่อไม้อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส
จะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต ซ่อมแซมร่างกายในส่วนที่สึกหรอ และมักอยู่รวมกับแคลเซียมทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
7. หน่อไม้อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก
ที่มีหน้าที่ในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันและรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ร่างกายไม่อ่อนเพลียง่าย
8. หน่อไม้มีวิตามินซีในปริมาณมาก
ซึ่งจะช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก และยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยก่อนวัย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย
9. หน่อไม้มีวิตามินบี 6
มีหน้าที่สำคัญคือช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยในกระบวนการสร้างเฮโมโกลบิน และทำให้ระดับของน้ำตาลในเลือดคงที่
10. หน่อไม้อุดมไปด้วยสังกะสี
ช่วยให้ระบบการทำงานภายในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ และคอยซ่อมบำรุงระบบเอนไซม์และเซลล์ต่างๆ
ข้อควรระวังในการรับประทานหน่อไม้
หน่อไม้มีคุณค่าทางอาหารสูงในตัวของมันเอง ส่วนหน่อไม้ดองก็มีคุณค่าแฝง แต่ไม่แนะนำสำหรับ

1. โรคเกาต์ ไม่ควรรับประทาน เพราะในหน่อไม้มีสารพิวรินสูง ซึ่งสารตัวนี้อาจจะทำให้กรดยูริกที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกาต์สูงขึ้น ซึ่งกรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญของพิวรีน มีมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ และพืชผักอ่อนโดยเฉพาะหน่อไม้

2. ไตเสื่อม โดยปกติกรดยูริกจะถูกขับออกทางปัสสาวะของคนเรา หากร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไปหรือไตขับยูริกได้น้อยลง เนื่องจากไตเสื่อมลง กรดยูริกก็จะตกผลึกตามข้อ ผนังหลอดเลือด ไต และอวัยวะต่างๆทำให้เกิดอาการปวดข้อและโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ เช่น ข้อพิการ นิ่วในไต กระดูกพรุน เป็นต้น
ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า การซื้อหน่อไม้มาปรุงอาหารเองต้องใส่ใจเรื่องความสุก สะอาด ปลอดภัย โดยล้างให้สะอาดและนำมาต้มให้สุก
โดยนำหน่อไม้สดมาต้มในน้ำเดือดอย่างน้อย 20 – 30 นาที จำนวน 1 ครั้ง
สำหรับหน่อไม้ดองต้ม 15 – 20 นาที จำนวน 2 ครั้ง จากนั้นจึงเทน้ำต้มทิ้งก่อนนำมาปรุงประกอบอาหารเพื่อป้องกันการได้รับเชื้อ โบทูลินั่ม และยังสามารถลดปริมาณสารไซยาไนด์ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย

3. เชื้อโบทูลินั่ม สามารถพบได้ในเครื่องกระป๋องทุกชนิด
ผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้อสินค้าที่มีเครื่องหมาย อย. และอ่านฉลากข้างกระป๋องที่มีชื่อ สถานที่ผลิต วัน เดือน ปีที่ผลิตและหมดอายุ ชื่อปริมาณวัตถุเจือปนในอาหาร น้ำหนักสุทธิ และลักษณะกระป๋องต้องไม่บวม ไม่บุบ ไม่เป็นสนิม ตะเข็บกระป๋องต้องไม่มีรอยแตกรั่ว เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
เชื้อโบทูลินั่มมีฤทธิ์ในการทำลายระบบประสาทมองเห็นภาพซ้อน
ตาพล่ามัวมองเห็นภาพได้ไม่ชัด
หนังตาตก
พูดไม่ชัด
กลืนอาหารลำบาก
ปากแห้ง
กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ซึ่งอาการจะแสดงให้เห็นภายใน 2-4 ชั่วโมง หรือ 12-36 ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจเสียชีวิตด้วยระบบหายใจล้มเหลว ดังนั้นหากพบอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

4. สารไซยาไนต์
ที่มีอยู่ในหน่อไม้สามารถกำจัดได้ด้วยความร้อน
ผักบางประเภทที่คนไทยนิยมกินนั้น อาจมีสารประกอบไซยาไนด์ที่เรียกว่า ไซยานิคไกลโคไซด์ ด้วย สารพิษนี้พบได้ใน

ผักเสี้ยน

ผักหวาน
มันสำปะหลัง
หน่อไม้
และมีในพืชจากต่างประเทศ เช่น

almonds

millet sprouts

Lima beans

sorghum

พืชตระกูลพรุน

เมล็ดพลัม
เมล็ดพืชตระกูลถั่วบางชนิด
จากการรายงานของ Food Standards Australia New Zealand (FSANZ) ปี 2004 พบว่า หน่อไม้มีประมาณ 1200 พันธุ์ แต่ที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร มีไม่กี่พันธุ์หน่อไม้ แต่ละพันธุ์มีระดับไซยาไนด์ตามธรรมชาติแตกต่างกัน บางพันธุ์พบว่ามีปริมาณไซยาไนด์สูงถึง 8000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม พันธุ์ที่ใช้บริโภคได้มีรายงานว่าพบไซยาไนด์โดยเฉลี่ยถึง 1000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ปริมาณไซยาไนด์ที่มีอยู่ในธรรมชาติภายหลังการเก็บเกี่ยวจะลดลง ขบวนการหมัก การทำหน่อไม้กระป๋องหรือขั้นตอนในการเตรียมหรือปรุงอาหาร สามารถลดปริมาณไซยาไนด์ลงได้ สำหรับประเทศไทยหน่อไม้ที่บริโภคมีอยู่หลายชนิด ได้แก่

หน่อไม้ซาง

หน่อไม้บ่ง,

หน่อไม้ไร่,

หน่อไม้รวก,

หน่อไม้ตง,
แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดศึกษาไซยาไนด์ที่อยู่ในหน่อไม้ไทยแต่ละพันธุ์ ไซยาไนด์เมื่อเข้าสู่ร่างกายปริมาณน้อยจะถูก detoxify โดย enzyme rhodanese เปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ thiocyanate ซึ่งมีพิษน้อยกว่าไฮโดรเจนไซยาไนด์และจะถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าได้รับปริมาณมากจะไปเกาะกับ hemoglobin ซึ่งเป็นสารตัวที่ร่างกายใช้ขนส่งออกซิเจนไปตามร่างกายจะทำให้เกิดอาการ
ขาดออกซิเจน
ทุรนทุราย
หมดสติ
ถ้าช่วยเหลือไม่ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้เนื่องจากขาดออกซิเจน

ปัญหาที่พบเป็นประจำในประเทศไทยคือ การรับประทานมันสำปะหลังดิบของเด็กเล็กที่ตามผู้ปกครองไปทำงานในไร่มันสำปะหลังชนิดที่เรียกว่า bitter cassava ซึ่งปลูกไว้ทำอาหารสัตว์ (ที่ต่างจากมันสำปะหลังที่ใช้ทำอาหารคนซึ่งเรียกว่า sweet cassava) อาการพิษจากการได้รับสารไซยาไนด์อาจเกิดแบบสะสม
ทำให้เกิดความผิดปกติทางสมอง
มีอาการทางจิต
ประสาทตาเสื่อมหรือฝ่อไปได้
ส่วนผู้ที่ได้รับไซยาไนด์ปริมาณสูงจะเกิดอาการพิษเฉียบพลัน
เซลล์ของร่างกายโดยเฉพาะสมองใช้ออกซิเจนไม่ได้
ผู้ป่วยจะมีอาการชักหมดสติ
การหายใจผิดปกติ
หากแพทย์ให้การรักษาไม่ทันจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นจะเห็นว่าไซยาไนด์นั้นมีอันตรายเป็นอย่างมาก
ไซยาไนด์สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทางปาก ผิวหนังและทางการหายใจ ในขั้นตอนการหมักหน่อไม้ ในสภาพที่เป็นกรดสามารถทำให้ เกิดแกสไฮโดรเจนไซยาไนด์ ทำให้ปริมาณที่พบในส่วนเนื้อหน่อไม้ลดลง การผลิตหน่อไม้ปี๊บซึ่งจะต้องมีขั้นตอนการต้ม การปรับกรดก็สามารถลดไซยาไนด์ที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ การให้ความร้อน เช่น การเผา การต้ม การนำหน่อไม้ไปปรุงอาหารซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการให้ความร้อน ก็จะทำให้ปริมาณไซยาไนต์ในหน่อไม้ลดลงได้ เช่นกัน

ดังนั้นจึงไม่ควรบริโภคหน่อไม้ดิบ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้เช่นเดียวกับการบริโภคมันสำปะหลังดิบและไม่ควรตกใจและเลิกรับประทานหน่อไม้เพราะสารพิษในหน่อไม้ไม่เสถียรและจะลดลงได้เมื่อผ่านขั้นตอนการปรุงอาหาร หน่อไม้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้ดอง หรือหน่อไม้ปี๊บ โดยเฉพาะหน่อไม้สดซึ่งมีไซยาไนด์มากกว่าหน่อไม้ชนิดอื่น เพื่อความปลอดภัยก่อนบริโภคควรนำมาต้มน้ำทิ้งเพื่อลดปริมาณ ไซยาไนด์ซึ่งอาจยังหลงเหลืออยู่ แล้วจึงนำมาปรุงอาหาร
สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ดำเนินการสำรวจปริมาณไซยาไนด์ในหน่อไม้ที่จำหน่ายใน
ท้องตลาดในช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2550 จำนวน 3 ชนิด ๆ ละ 16, 18 และ 15 ตัวอย่าง
ตรวจพบค่าเฉลี่ยของไซยาไนด์ใน
หน่อไม้สด 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
หน่อไม้ต้มหรือหน่อไม้ปี๊บ 16.9 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
และหน่อไม้ดอง 22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ปี 2551 สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหารได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการสำรวจปริมาณไซยาไนด์ในหน่อไม้ในประเทศไทยและพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่งผลการดำเนินโครงการจะมีการนำเสนอต่อไป
เอกสารอ้างอิง : Food Standards Australia New Zealand (FSANZ), July 2004. Cyanogenic Glycosides in Cassava and Bamboo Shoots, A Human Health Risk Assessment
ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์เครื่องดื่มทางเคมี
สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รู้ทันอันตรายจากอาหาร
ไม่ควรกินหน่อไม้ดิบเพราะมีสารพิษ หรือไม่กินไข่ดิบเพราะอาจทำให้ติดเชื้อ และสตรีตั้งครรภ์ก็ไม่ควรกินเนื้อดิบ จริงหรือที่ว่าผลไม้นั้นดีต่อสุขภาพ ในขณะที่มันฝรั่งอบกรอบมีอันตรายแอบแฝง แต่ในความเป็นจริงอาหารที่ดีก็สามารถเป็นอันตรายและทำให้ป่วยได้ หากกินอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น การกินเนยกับยาบางชนิดอาจทำให้เกิดโรคหัวใจ
ผู้เชี่ยวชาญรู้ว่าอาหารที่เรากินกันนั้น มีปริศนาซ่อนอยู่และไม่ได้ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับทุกคน อย่างเช่น

1. แอลกอฮอล์
หากดื่มแอลกอฮอล์มากจะทำลายตับ มีปัญหากับระบบกระเพาะและลำไส้ เยื่อบุปาก ตับอ่อน ระบบหัวใจและหลอดเลือด ความจำ กระดูก และหลอดอาหาร โดยเฉพาะผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้โครงสร้างบางอย่างของทารกเปลี่ยนไป เช่น หัวใจ หู และข้อต่อ
2. หน่อไม้ดิบ
ไม่ควรกินหน่อไม้ดิบเป็นอาหาร เพราะมีสาร Cyanogenic Glycoside ที่จะเปลี่ยนเป็นสารพิษเมื่อเข้าไปสู่ระบบย่อยอาหาร แต่เมื่อผ่านความร้อนจากการปรุง ความร้อนจะทำลายสารพิษดังกล่าว หน่อไม้ก็จะกลายเป็นอาหารที่มีประโยชน์เพราะมีสาร Silica ที่จะช่วยบำรงผิว ผม เล็บ และกระดูก 
3. ไข่ดิบอาจได้รับอันตรายจากการติดเชื้อซัลโมเนลลา ทำให้อาเจียน ปวดมวนท้อง ท้องเสีย และเป็นไข้ โดยเฉพาะจะอันตรายมากกับเด็ก ๆ และคนชรา ดังนั้นจึงควรใช้ความร้อนมากกว่า 75 องศาเซลเซียสในการปรุงไข่เพื่อฆ่าเชื้อโรค 
4. น้ำมันร้อนจัดเกินไป หากใช้น้ำมันร้อนจัดเกินไปอาจทำให้เกิดสาร Peroxide ซึ่งสามารถยับยั้งเอนไซม์ที่สำคัญ ๆ ได้ นอกจากนี้ยังเป็นที่ต้องสงสัยว่า จะเกิดเนื้องอกและก่อมะเร็ง ดังนั้น จึงไม่ควรทอดน้ำมันที่ใช้ความร้อนเกิน 80 องศาเซลเซียส 
5. ปลามีสารปรอทสารตะกั่วทั้งปลา หอย และอาหารทะเลอื่น ๆ ได้รับสารอันตรายจากทะเล เช่น สารปรอท , DDT, Dioxin หรือ PCB หากได้รับสารอันตรายเหล่านี้มากเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อเส้นประสาท ทำให้คลื่นเหียน อาเจียน ประสาทหลอน เสียความสมดุล อาจทำให้กล้ามเนื้อ การหายใจ และหัวใจตายด้าน และเพียง 15 นาทีก็จะทำให้เสียชีวิตได้ 
6. เนื้อดิบสตรีตั้งครรภ์ห้ามกินเนื้อดิบ ๆ เพราะแบคทีเรียจากเนื้อดิบอาจเป็นอันตราย หรือหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ต่อตัวอ่อนในครรภ์ หลังจากกินเนื้อดิบอาจก่อให้เกิดอาการคัน ลำไส้อักเสบ หรือน้ำหนักลดซึ่งต้องไปพบแพทย์
ข้อแนะนำ : เพื่อไม่ให้อาหารเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คุณควรให้ความสนใจกับสิ่งที่กิน อาหารอันตรายก็ควรระวังในการปรุง และกินในปริมาณพอควรเท่านั้น หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
Cr. winnews, sukkaphap-d, kapook, kasetporpeang
ถ้าภูมิต้านทานน้อย นอนไม่หลับ เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..