รู้เท่าทันมะเร็ง?
นับวันสถานการณ์ผู้ป่วย " โรคมะเร็ง" ในประเทศไทยดูจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อัตราการตายของผู้ป่วยจากโรคมะเร็ง สูงเป็นอันดับต้นๆ ไม่ต่างไปจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ อาจเพราะโรคมะเร็งส่วนใหญ่ไม่มีอาการบ่งชี้ ผู้ป่วยมักทราบอาการในระยะสุดท้าย ผลการสำรวจพบว่า โอกาสการหายของผู้ป่วยโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ มีเพียงร้อยละ 30-40
โรคมะเร็ง เป็นโรคของผู้ใหญ่ แต่พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบได้สูงในอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ส่วนในเด็กพบน้อยกว่าในผู้ใหญ่ประมาณ 10 เท่า
ส่วนในเด็กมีโอกาสหายจากโรคมะเร็งสูงกว่าคือร้อยละ 70 ทว่าโอกาสหายก็มิใช่หายขาด เพราะผู้ป่วยมะเร็งบางส่วนยังต้องเผชิญกับ "ภาวะโรคกลับ" หากภูมิต้านทานไม่แข็งแรง ขณะที่วิธีการใช้รูปแบบเดิมก็ยากที่จะเยียวยาได้
โรคมะเร็งมีกี่ระยะ
ระยะโรคมะเร็ง คือ ตัวบอกความรุนแรงของโรค/การพยากรณ์โรค คือบอกถึง การลุกลามและแพร่กระจาย บอกแนวทางการรักษา และแพทย์ใช้ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง
โดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1-4 ซึ่งทั้ง 4 ระยะ อาจแบ่งย่อยได้อีกเป็น เอ (A) บี (B) หรือ ซี (C) หรือ เป็น หนึ่ง หรือ สอง เพื่อแพทย์โรคมะเร็งใช้ช่วยประเมินการรักษา
**ส่วนโรคมะเร็งระยะศูนย์(0) ยังไม่จัดเป็นโรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะเซลล์มีเพียง ลักษณะเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกราน(Preinvasive)ออกนอกเยื่อบุผิว เรียกอีกชื่อว่า Carcinoma in situ ย่อว่า CIS
โรคมะเร็งมีอาการอย่างไร
ไม่มีอาการเฉพาะของโรคมะเร็ง แต่เป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบของเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง โดยที่แตกต่างคือ มักเป็นอาการที่เลวลงเรื่อยๆและเรื้อรัง ดังนั้นเมื่อมีอาการต่างๆนานเกิน 1-2 สัปดาห์ จึงควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม อาการที่น่าสงสัยว่าเป็นมะเร็ง ได้แก่
โรคมะเร็งที่พบบ่อยของชายไทย เรียงจากลำดับแรกลงไป 10 ลำดับ ได้แก่
โรคมะเร็งตับ
โรคมะเร็งปอด
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
โรคมะเร็งช่องปาก
โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
โรคมะเร็งหลอดอาหาร
และโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
โรคมะเร็งพบบ่อยของหญิงไทย เรียงจากลำดับแรกลงไป 10 ลำดับ ได้แก่
โรคมะเร็งเต้านม
โรคมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งตับ
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคมะเร็งปอด
โรคมะเร็งรังไข่
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์
โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคมะเร็งมดลูก
และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
โรคมะเร็งพบบ่อยในเด็กไทย เรียงจากลำดับแรก 4 ลำดับ ได้แก่
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคเนื้องอก/มะเร็งสมอง
และโรคมะเร็งนิวโรบลาสโตมา/Neuroblastoma (มะเร็งของประสาทซิมพาทีติก)
พบว่าผู้ป่วยมะเร็งบางส่วนที่ผ่านการใช้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด และการฉายแสง มายาวนานได้ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอยู่ในภาวะต่ำมากเกินไป ร่างกายจึงต้องอาศัยระยะเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาใหม่ ไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่แฝงอยู่ได้ทันที ดังนั้นเมื่อใดที่ผู้ป่วยอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำเซลล์มะเร็งที่แฝงอยู่ในร่างกายก็สามารถเจริญเติบโตและเข้าทำลายเซลล์มะเร็งในร่างกายผู้ป่วยจึงมีโอกาสกลับมาเป็นโรคมะเร็งอีกครั้ง
" ดังนั้นการทำอย่างไรให้ภูมิต้านทานในร่างกายซึ่งมีอยู่ต่ำนั้นสามารถกลับมาทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ให้หมดไป ก็เท่ากับเป็นการช่วยผู้ป่วยมะเร็งให้รอดพ้นจากโรคมะเร็งอย่างแท้จริง "
เข้าใจความถูกต้องกับการรักษามะเร็ง
1. เข้าใจในการรักษา 3 วิธี ดังกล่าวข้างล่าง
2. ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
3. วิธีดูแลอาหารเพื่อลดผลข้างเคียงสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
4. อาหารเสริมที่ส่งผลดีกับการรักษามะเร็ง มีใช้จริงโดยแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ
เพราะใจที่ไม่ยอมแพ้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมจะต่อสู้ ควบคู่กันไป
มะเร็งแต่ละบริเวณของร่างกาย มีวิธีรักษาที่แตกต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าจะรักษาแบบไหน ซึ่งแต่ละวิธีนั้น จะมีผลข้างเคียงจากการรักษาที่แตกต่างกันดังนี้
1. เคมีบำบัด (Chemotherapy)
คือ การรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมหรือทำลายเซลล์มะเร็ง โดยการออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง และอาจมีผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อปกติ
ระยะเวลาการรักษาทั่วไป : ขึ้นกับชนิดและระยะของโรคมะเร็ง และการตอบสนองของมะเร็งต่อตัวยา มักให้เป็นชุด ชุดละ 1-5 วัน ห่างกัน 3-4 สัปดาห์
2. รังสีรักษา (Radiation therapy)
คือ รักษาโดยใช้รังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า หรือ อนุภาคที่มีพลังงานสูง เช่น อิเลคตรอน โปรตอน หรือ นิวตรอน โดยฉายรังสีในบริเวณที่เป็นโรคและครอบคลุมไปถึงต่อมน้ำเหลืองที่อาจมีโรคแพร่กระจายไปด้วย รังสีจะฆ่าเซลล์ที่เติบโตเร็ว เช่น เซลล์มะเร็ง แต่เซลล์ในร่างกายที่แบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุลำไส้ ก็มีโอกาสถูกทำลายด้วย
ระยะเวลาการรักษาทั่วไป : ฉายรังสี วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 5-15 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จนครบได้ปริมาณรังสีตามแพทย์กำหนด (ประมาณ 10-35 ครั้ง)
3. การผ่าตัด (surgery)
มักทำในผู้ป่วยที่โรคมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ตำแหน่งเริ่มต้น (มะเร็งระยะที่ 1) หรือในบางกรณีเพียงกระจายไปเนื้อเยื่อข้างเคียงหรือลุกลามทะลุผ่านอวัยวะที่เป็นโพรง (ระยะที่ 2) เท่านั้น ฉะนั้นจะเห็นว่ามักมีการรักษาเสริมด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ซึ่งมีความสำคัญและเสริมให้ผลการผ่าตัดได้ผลดียิ่งขึ้น
ผลข้างเคียงจากการรักษา ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล จึงไม่ใช่ทุกอาการที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับการดูแลตัวเอง ยาที่ใช้ การเข้ากันของยาที่ใช้ การกินอาหารที่ถูกต้องและเพียงพอ
จะเห็นได้ว่า ผลข้างเคียงจากการรักษาทั้ง 3 วิธี มีผลกับการกินอาหาร เพราะเมื่ออ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ มีแผลอักเสบในปาก ก็จะกินได้น้อยลง เริ่มน้ำหนักลด สูญเสียกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันต่ำ เกร็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ
เซลล์มะเร็งเอง ก็จะมีการการหลั่งสารที่ทำให้มีการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายเพิ่มขึ้นด้วย โปรตีนก็จะถูกดึงจากกล้ามเนื้อออกมาเผาผลาญ
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่เป็นมะเร็งจึงต้องการสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนมากกว่าคนทั่วไป เกิดเป็นความเชื่อที่ว่า “เซลล์มะเร็งกินโปรตีน” จึงมีหลายคนงดโปรตีน ซึ่งในทางการแพทย์ จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะถึงแม้จะไม่กินโปรตีน ร่างกายก็จะไปสลายโปรตีนในกล้ามเนื้อออกมาอยู่ดีในที่สุดจะยิ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรม ขาดสารอาหาร จนไม่อาจทนต่อการรักษาได้ หรือไม่มีโปรตีนเพียงพอจะสร้างเม็ดเลือดขาว
ต้องเลื่อนการรักษา (หากเม็ดเลือดขาวต่ำเกิน แพทย์จะเลื่อนการรักษาออกไป และให้ผู้ป่วยกินอาหารให้เยอะขึ้นเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มสูงขึ้น) ซึ่งหากเลื่อนการรักษา อาจทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตขึ้นระหว่างนั้นได้
มีผลงานวิจัยพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งหลายคน เสียชีวิตเกี่ยวกับโภชนาการดังนี้
สาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็ง
• 50% จากการกินอาหารไม่ได้
• 20% จากการขาดสารอาหารมากกว่าโรคมะเร็ง
กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็ง มักมีน้ำหนักตัวลดลง ส่งผลต่อการรักษา คุณภาพชีวิตและอัตราการรอดชีวิต
อาหารเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยควรรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารเพียงพอและเหมาะสม ก่อน ระหว่างและหลังการรักษาจะช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น ลดอาการแทรกซ้อน และมีความรู้สึกดีขึ้นมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคได้
ผู้ป่วยมะเร็งควรเลือกกินอะไร
มีผลงานวิจัย พบว่า หากผู้ที่เข้ารับการรักษาได้รับอาหารสูตรครบถ้วน ที่มีสูตรเฉพาะ อาจช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่รักษามะเร็งดีขึ้น เพราะจะส่งผลดีดังนี้
2. ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
3. ช่วยลดอาการอักเสบในช่องปาก (mucositis)
มารู้จักการเกิดมะเร็งสักนิดนะ
มะเร็ง หรือทางการแพทย์ว่า เนื้องอกร้าย (อังกฤษ: malignant tumor) เป็นกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ คือ เซลล์จะแบ่งตัวและเจริญอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อเป็นเนื้องอกร้าย และมีศักยภาพในการรุกรานร่างกายส่วนข้างเคียง มะเร็งอาจแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนที่อยู่ห่างไกลได้ ผ่านระบบน้ำเหลืองหรือกระแสเลือด แต่ไม่ใช่เนื้องอกทุกชนิดจะเป็นมะเร็ง เพราะเนื้องอกไม่ร้ายจะไม่ลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงและไม่กระจายไปทั่วร่างกาย
อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็งที่เป็นไปได้รวมถึงมีก้อนเนื้อเกิดใหม่,
มีเลือดออกผิดปกติ,
มีการไอเป็นเวลานาน,
การสูญเสียน้ำหนักที่อธิบายไม่ได้,
และการเปลี่ยนแปลงในการขับถ่ายของลำไส้และอื่น ๆ
แต่อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาอื่น ๆ ได้เช่นกันมีมะเร็งที่ส่งผลต่อมนุษย์ที่ทราบแล้วกว่า 100 ชนิด
สาเหตุของมะเร็งนั้นมีหลากหลาย ซับซ้อนและเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น มีหลายปัจจัยที่ทราบแล้วว่าเพิ่มปัจจัยเสี่ยงมะเร็ง ได้แก่
การสูบบุหรี่ (อัตราการตาย 22%)
ปัจจัยด้านอาหาร กินอาหารประเภทผักผลไม้และธัญพืชน้อย กินเนื้อแดงมากเกินไป
การขาดกิจกรรมการออกกำลังกาย,
โรคอ้วน,
การบริโภคแอลกอฮอล์ (อัตราการตายรวมกัน 10%)
นอกนั้นเป็นการติดเชื้อบางอย่าง,
การสัมผัสรังสี,
และมลภาวะสิ่งแวดล้อม
ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เกือบ 20% ของโรคมะเร็งเกิดจากการติดเชื้อเช่นโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิด B, ชนิด C, และ human papillomavirus.
โดยทั่วไปก่อนที่มะเร็งจะพัฒนาขึ้น การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของยีนจะเกิดขึ้นก่อน
ประมาณ 5–10% ของมะเร็งเกิดจากการติดเชื้อทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ปัจจัยเหล่านี้สามารถทำให้ยีนเสียหายโดยตรง หรืออาจประกอบกับความบกพร่องทางพันธุกรรมที่มีอยู่เดิมในเซลล์ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้
มะเร็งราว 5–10% สามารถติดตามไปยังความบกพร่องทางพันธุกรรมแต่กำเนิดโดยตรง
มะเร็งสามารถตรวจพบได้หลายวิธี รวมทั้งการมีอาการและอาการแสดงบางอย่าง การตรวจคัดกรองโรค จากนั้น จะต้องทำการสร้างภาพทางการแพทย์ เมื่อตรวจพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งแล้ว จะมีการวินิจฉัยเพื่อยืนยันโดยการตรวจตัวอย่างชิ้นเนื้อ (อังกฤษ: biopsy)
การตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ผ่านการตรวจคัดกรองจะเป็นประโยชน์สำหรับโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่
ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองสำหรับมะเร็งเต้านมยังมีความขัดแย้ง โรคมะเร็งมักจะได้รับการรักษาผสมกันของการรักษาด้วยรังสีบางอย่าง, การผ่าตัด, การรักษาด้วยเคมีบำบัด, และการรักษาด้วยการกำหนดเป้าหมาย การจัดการกับการปวดและอาการอื่นเป็นส่วนสำคัญของการดูแล การดูแลแบบประคับประคองเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่โรคมีการพัฒนาไปมาก โอกาสของการอยู่รอดขึ้นอยู่กับชนิดของโรคมะเร็งและระยะของโรคในช่วงเริ่มต้นของการรักษา ในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ที่วินิจฉัยอัตราการรอดตายในช่วงห้าปีใน โลกที่พัฒนาแล้วโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 80% สำหรับโรคมะเร็งในประเทศสหรัฐอเมริกาอัตราการรอดตายห้าปีเฉลี่ยอยู่ที่ 66%
ในปี 2012 มีมะเร็งรายใหม่เกิดขึ้นทั่วโลกประมาณ 14,100,000 ราย (ไม่รวมถึงโรคมะเร็งผิวหนังอื่นที่ไม่ใช่เนื้องอก) มันะทำให้เกิดการเสียชีวิต 8,200,000 รายหรือ 14.6% ของการเสียชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด
ในปี 2012 เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีประมาณ 165,000 คนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามอายุและมะเร็งหลายชนิดเกิดขึ้นได้ทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้ว อัตราเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่อประชาชนมีชีวิตมากขึนและวิถีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงในประเทศกำลังพัฒนา ต้นทุนทางการเงินของโรคมะเร็งอยู่ที่ประมาณ US$ 1.16 ล้านล้านต่อปีในปี 2010
โรคมะเร็งมีกี่ชนิด
โรคมะเร็งมีหลากหลายชนิด ขึ้นกับ เนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เกิดมะเร็ง ทั่วไปแบ่งมะเร็งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. คาร์ซิโนมา(Carcinoma): เป็นมะเร็งกลุ่มใหญ่ที่พบบ่อยสุดของมะเร็งทั้งหมด มักพบเกิดในผู้ใหญ่ โดยเป็นมะเร็งของเนื่อเยื่อบุผิว และของเยื่อเมือก ของเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด (แนะนำอ่านเพิ่มเติมบทความเรื่อง มะเร็งคาร์ซิโนมา แต่ละชนิดย่อยของมะเร็งกลุ่มนี้ได้ในเว็บ haamor.com)
2. ซาร์โคมา(Sarcoma): เป็นมะเร็งกลุ่มพบได้น้อย พบทั้งในผู้ใหญ่และในเด็ก โดยเป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่นมะเร็งกล้ามเนื้อลาย มะเร็งซาร์โคมามดลูก มะเร็งคาโปซิ มะเร็งกระดูก (แนะนำอ่านเพิ่มเติมบทความเรื่อง มะเร็งซาร์โคมาและแต่ละชนิดย่อยของมะเร็งกลุ่มนี้ได้ในเว็บ haamor.com)
3. มะเร็งระบบโลหิตวิทยา/มะเร็งโรคเลือด(Hematologic malignancy) อีกชื่อ คือ Non-solid tumor เป็นมะเร็งในเนื้อเยื่อระบบโลหิตวิทยา เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งมัลติเพิลมัยอีโลมา (แนะนำอ่านเพิ่มเติมบทความแต่ละชนิดย่อยของมะเร็งกลุ่มนี้ได้ในเว็บ haamor.com)
4.เนื้องอกเจิมเซลล์ มะเร็งเจิมเซลล์(Germ cell tumor) คือมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ตัวอ่อน(Germ cell)ของอวัยวะเพศ คือ อัณฑะในเพศชาย และรังไข่ในเพศหญิง เช่น มะเร็งอัณฑะ มะเร็งรังไข่ชนิดเจิมเซลล์ (แนะนำอ่านเพิ่มเติมบทความเรื่อง เนื้องอกเจิมเซลล์ มะเร็งเจิมเซลล์ และบทความแต่ละชนิดย่อยของมะเร็งกลุ่มนี้ได้ในเว็บ haamor.com)
5.มะเร็งบลาสโตมา(Blastoma) หรือ บลาสท์(Blast): คือมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ตัวอ่อนที่เคยมีอยู่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์(Embryo) เป็นมะเร็งที่มักพบในเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก พบน้อยมากๆๆในผู้ใหญ่ เช่น มะเร็งจอตา มะเร็งนิวโรบลาสโตมา มะเร็ง/เนื้องอกวิมส์/มะเร็งไตในเด็ก
โรคภัยไข้เจ็บไม่มีใครรู้ได้ทันที เมื่อรู้ว่าเป็น..สู้..สู้..ครับ กำลังใจเป็นส่วนสำคัญยิ่ง..ที่โรคร้ายกลัว..
Cr. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, haamor.com, nestlehealthscience-th.com