ลมพิษ รักษาแบบง่ายๆ ได้ลองหรือยัง?

โรคลมพิษ
การดูแลด้วยตนเอง มีหลายวิธี เลือกใช้กันได้เลย

1. ใช้ใบพลูสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาว (ถ้ามีการบูรใส่สักนิดก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น) ทาบ่อยๆ (ถ้าแพ้เหล้าควรหลีกเลี่ยง) วิธีนี้ได้ทดลองด้วยตัวเองแล้วเห็นผลทันตา โดยเอาเหล้าและใบพลูตำที่ผสมกันแล้ว หยิบขึ้นมาทาบนผิวหนังที่เป็นผื่น เมื่อเหล้าระเหยและผิวหนังที่ทาเริ่มแห้งก็เอามือลูบใบพลูออก แล้วค่อยทาใหม่อีก โดยทาวันละ 3-4 ครั้ง ทาไม่เกิน 2-3 วัน ตุ่มผื่นยุบและหายปลิดทิ้ง อาการคันก็ไม่มี จากที่ได้ใช้วิธีนี้ที่คุณแม่ได้บอกมา ทาเพียง 2 วันเท่านั้นก็หาย ทาวันแรกตกเย็นก็เห็นผลแล้ว อาการคันไม่มี ตุ่มเริ่มนิ่งไม่ลุกลาม เป็นตำราชาวบ้านๆ จริงๆ ครับ
ขอแนะนำวิธีแรกนี้เลยนะครับ..เด็ดมาก..

2. หัวข่าแก่ นำมาตำให้ละเอียด ผสมเหล้าขาวแล้วทาบริเวณที่เป็นลมพิษ

3. ใบเสลดพังพอน ตำใบหรือต้น ผสมเหล้าขาว แล้วใช้ทาบริเวณที่เป็นลมพิษ
วิธีที่ 1 ใช้ได้ดีทีเดียวสูตรแบบบ้านๆ 2-3 วัน ดีขึ้นทันตา
วิธีที่ 3 เคยทำแล้วแต่หายช้า ประมาณ สัปดาห์หนึ่ง
ส่วนวิธีที่ 2 ใครเคยทำบอกหน่อยนะเป็นอย่างไรบ้าง
4. กินยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีน ครึ่ง ถึง ๑ เม็ด ซ้ำได้ทุก ๖ ชั่วโมง
5. ประคบด้วยน้ำเย็น หรือน้ำแข็ง
6. ทาด้วยยาแก้ผดผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น)
7. หาสาเหตุที่แพ้ เช่น ยา อาหาร เหล้า เบียร์ แมลง ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ เป็นต้น แล้วหลีกเลี่ยงเสีย
ถ้าไม่ทุเลา มีอาการหายใจลำบาก หรือเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ควรไปพบแพทย์
เรามารู้จักลมพิษมากขึ้นกันดีกว่านะ

ลมพิษ หรือ ผื่นลมพิษ (Urticaria, Hives) เป็นกลุ่มอาการที่ไม่ใช่โรค (แต่มักเรียกว่าเป็นโรค) โดยเป็นอาการที่เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ทำให้มีผื่นบวมนูนแดงสีออกขาว ล้อมรอบไปด้วยผื่นสีแดง
ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันถึงคันมากในตำแหน่งที่เกิดผื่น ถ้าเป็นมากก็จะรู้สึกแสบร้อน แต่โดยทั่วไปแล้วผื่นมักจะหายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมงโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ
ลมพิษเป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้มากที่สุดในช่วงอายุ 20-40 ปี และพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 3 ต่อ 2 ส่วนใหญ่มักจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วันก็หายไปได้เอง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด
แต่ในบางรายอาจเป็นเรื้อรังแบบเป็น ๆ หาย ๆ ก็ได้ และผู้ป่วยอาจมีประวัติเคยเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน หรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ร่วมด้วย
จากการศึกษาพบว่า ในผู้ใหญ่ประมาณ 25% จะเคยมีอาการของลมพิษอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต แต่จะมีเพียงประมาณ 3% เท่านั้นที่เป็นลมพิษชนิดเรื้อรัง และประมาณ 35% ของลมพิษมักมีสาเหตุมาจากสาเหตุทางกายภาพ
ส่วนการศึกษาของนักศึกษาแพทย์โรงพยาบาลศิริราชจำนวน 428 คน พบว่า 51.6% เคยเป็นลมพิษมาก่อน, 19.6% เคยเป็นแองจิโออีดีมา (Angioedema) และพบร่วมกันใน 13.6% และในกลุ่มที่เป็นลมพิษจะแบ่งเป็นลมพิษชนิดเฉียบพลัน 93.2% และลมพิษเรื้อรัง 5.4%
ส่วนข้อมูลจากผู้ป่วยนอกหน่วยตรวจผิวหนังโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อปี พ.ศ.2550 ที่มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 71,053 คน ในจำนวนนี้ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นลมพิษ 2,104 คน หรือคิดเป็น 2.96%
ลมพิษสามารถแบ่งตามระยะเวลาที่เกิดได้เป็น 2 ชนิด คือ
ลมพิษชนิดเฉียบพลัน (Acute urticaria)
คือ มีอาการผื่นลมพิษอย่างต่อเนื่องกันไม่เกิน 6 สัปดาห์ มักพบได้ในเด็กและคนไข้อายุน้อย และส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากการแพ้ เช่น การแพ้อาหาร แพ้ยา การติดเชื้อในร่างกาย แมลงสัตว์กัดต่อย ฯลฯ อย่างไรก็ตามอาจไม่พบสาเหตุได้ถึง 50% ของคนไข้ที่เป็นลมพิษเฉียบพลัน
ลมพิษชนิดเรื้อรัง (Chronic urticaria)
คือ มีอาการผื่นลมพิษอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และเป็นต่อเนื่องติดต่อกันเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป (บางตำราใช้ระยะเวลา 2 เดือนเป็นเกณฑ์ ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง) มักพบได้ในหญิงวัยกลางคน ส่วนใหญ่มักไม่พบสาเหตุหรือสิ่งกระตุ้นที่จำเพาะเหมือนลมพิษเฉียบพลัน แต่สิ่งที่สามารถกระตุ้นให้ลมพิษเรื้อรังเป็นมากขึ้น ได้แก่ ยาแอสไพริน, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, เพนิซิลลิน, ยาต้านเอซ
สาเหตุของลมพิษ
ลมเป็นพิษเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง เมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่แพ้ จะสร้างสารแพ้ที่เรียกว่า "ฮิสตามีน" (Histamine) ออกมาจากเซลล์ในชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว มีพลาสมาหรือน้ำเลือดซึมออกมาในผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นผื่นนูนแดงตามมา โดยสาเหตุการแพ้มักมาจาก
..การแพ้อาหาร เช่น อาหารทะเล กุ้ง ปลา เนื้อสัตว์ ถั่ว ไข่ มะเขือเทศ เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว อาหารรสจัด ฯลฯ..สารที่ผสมอยู่ในอาหาร เช่น ผงชูรส สีผสมอาหาร สารกันบูด ฯลฯ..การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์..ยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin), ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs), เพนิซิลลิน (Penicillin), อีนาลาพริล (Enalapril) ฯลฯ..วัคซีน เซรุ่ม..พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (เช่น ยุง มด ต่อ ผึ้ง ฯลฯ)..ฝุ่น ละอองเกสร พืชบางชนิด ขนสัตว์ ไหม นุ่น (จากที่นอนหรือหมอน)..การสัมผัสสารเคมีหรือสารบางอย่าง เช่น เครื่องสำอาง สเปรย์ ยาฆ่าแมลง ยาง เนื้อดิบ ปลา พืชผักบางชนิด ฯลฯ
..จากการที่ร่างกายมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น เช่น หลังการออกกำลังกายในบางรายสาเหตุของลมพิษอาจเกิดจากโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น ทอนซิลอักเสบ, ฟันผุ, หูอักเสบ, หูน้ำหนวก, ไซนัสอักเสบ, ไตอักเสบ, ท้องเดิน, โรคเชื้อรา, เชื้อแบคทีเรีย, เชื้อไวรัส, โรคพยาธิ ฯลฯในบางรายอาจเป็นลมพิษร่วมกับโรคอื่น ๆ ได้ (ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้น้อย) เช่น โรคมะเร็ง เอสแอลอี โรคของต่อมไทรอยด์ ระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง (ภูมิคุ้มกันในร่างกายไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารเคมีบางชนิดออกมาที่ผิวหนัง และทำให้เกิดผื่นลมพิษขึ้น) เป็นต้นในรายที่เป็นลมพิษเรื้อรัง ส่วนมากจะไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ในส่วนน้อยยังอาจพบว่ามีสาเหตุ ซึ่งนอกจากสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวมาแล้ว (โดยเฉพาะจากการใช้ยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์) ยังอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ อีกด้วย เช่น การแพ้แสงแดด, แพ้ความร้อน, ความเย็น (เช่น น้ำแข็ง น้ำเย็น อากาศเย็น ห้องปรับอากาศ), น้ำ, เหงื่อ (เช่น เหงื่อหลังจากการออกกำลังกาย), การสั่นสะเทือน, แรงดัน แรงกด หรือการขีดข่วนที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง, การยกน้ำหนัก, การออกกำลังกาย, โรคติดเชื้อเรื้อรัง เป็นต้นในบางรายอาจตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แม้ว่าแพทย์จะได้พยายามตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียดแล้วก็ตาม ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันยังมีไม่มากที่จะอธิบายถึงสาเหตุการเกิดได้ทั้งหมดนอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ความเครียด ความวิตกกังวล และอารมณ์ของผู้ป่วย ยังอาจเป็นสาเหตุของลมพิษเรื้อรังได้ด้วย รวมทั้งยังอาจทำให้อาการลมพิษกำเริบขึ้นมาในรายที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ (มีการศึกษาหลายชิ้นพบความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบภูมิคุ้มกันโรค ที่อาจเป็นสาเหตุของลมพิษ
โดยพบว่าเมื่อมีความเครียด ร่างกายจะมีการหลั่งของสารเคมีบางชนิดและสารเคมีนั้น ๆ จะไปกระตุ้นเซลล์ชนิดหนึ่งในร่างกายที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อผิวหนังและในเนื้อเยื่อต่าง ๆ (Mast cell) ทำให้เซลล์นี้แตกตัว แล้วหลั่งสารฮิสตามีนออกมา ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ทำให้เกิดลมพิษ)
อาการของลมพิษ
อาการมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ด้วยอาการขึ้นเป็นผื่นลักษณะวงนูนแดง ขนาดและรูปร่างต่างกัน เช่น วงกลม วงรี วงหยัก ไม่มีขุย เนื้อภายในวงจะนูนและซีดกว่าขอบเล็กน้อย จึงทำให้เห็นเป็นขอบแดง ๆ คล้ายเอาลิปสติกผู้หญิงมาขีดเป็นวงไว้ โดยอาจเกิดขึ้นได้ที่หน้า ลำตัว แขนขา หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก็ได้ และมักขึ้นกระจายตัวไม่เหมือนกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย ผู้ป่วยจะรู้สึกคันมาก พอเกาตรงไหนก็จะมีผื่นแดงขึ้นตรงนั้น
ในบางรายอาจมีไข้ขึ้นเล็กน้อยหรือรู้สึกร้อนผ่าวไปตามผิวกาย ส่วนผื่นนูนแดงมักจะคงอยู่ไม่นาน โดยมากมักจะไม่เกิน 24 ชั่วโมง ประมาณ 3-4 ชั่วโมงผื่นนั้นก็จะยุบหายไปโดยไม่มีร่องรอย แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นใหม่ในตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งอื่น ๆ ได้อีกภายในวันเดียวกันหรือวันต่อมา หรือในเดือนต่อ ๆ มาก็ได้ ในบางรายอาจขึ้นติดต่อกันนานเป็นวัน ๆ ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะยุบหายไปเองภายใน 1-7 วัน
ในรายที่เป็นลมพิษชนิดเรื้อรัง มักจะมีผื่นลมพิษขึ้นแบบเป็น ๆ หาย ๆ ติดต่อกันแทบทุกวันเป็นเวลานานกว่า 2 เดือน และอาจเป็นอยู่นานเป็นปี ๆ กว่าจะหายขาดไปได้เอง (หายภายใน 12 เดือน คิดเป็น 50%, หายภายใน 5 ปี คิดเป็น 20% ของผู้ป่วย แต่ยังมีอีก 10-20% ที่เป็นเรื้อรังนานถึง 20 ปี)

ในรายที่เป็นลมพิษชนิดรุนแรง หรือที่เรียกว่า "ลมพิษยักษ์" หรือ "แองจิโออีดีมา" (Angioedema, Angioneurotic edema) ผู้ป่วยจะมีอาการบวมของเนื้อเยื่อชั้นลึกของผิวหนัง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-3 นิ้ว หรือมากกว่า กดแล้วไม่บุ๋ม
อาการบวมมักขึ้นบริเวณริมฝีปาก หนังตา หู ลิ้น หน้า มือ แขน หรือตามส่วนอื่น ๆ และอาจเป็นอยู่นานเกิน 24 ชั่วโมง (โดยทั่วไปมักจะเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงแล้วจะยุบหายไปเอง)
ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บหรือแสบร้อนมากกว่ารู้สึกคัน แต่ถ้ามีอาการบวมของกล่องเสียงร่วมด้วย อาจทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก แน่นหน้าอก ตัวเขียว และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ (แต่ก็พบได้น้อยมาก) ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการแพ้อาหารหรือยาบางชนิด เช่น แอสไพริน, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยาต้านเอซ (ACE inhibitors)

การวินิจฉัยลมพิษ
แพทย์สามารถตรวจหาสาเหตุได้จากการซักถามประวัติอาการ ประวัติการแพ้สิ่งต่าง ๆ และจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยจะตรวจพบผื่นลมพิษตามร่างกาย ในลักษณะเป็นวงนูนแดง มีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ ในบางครั้งอาจพบรอยเการ่วมด้วย ส่วนในรายที่เป็นลมพิษยักษ์ อาจพบอาการหายใจลำบาก ตัวเขียวร่วมด้วย
นอกจากนี้ ในบางรายอาจจำเป็นต้องทำการตรวจอื่น ๆ เพื่อหาสาเหตุและปัจจัยกระตุ้น เช่น การตรวจเลือด (เพื่อดูความเข้มข้นของเลือดและปริมาณของเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ ตรวจเลือดเกี่ยวกับโรคทางภูมิต้านทาน ตรวจเพื่อดูโรคไทรอยด์), การตรวจอุจจาระ (เพื่อหาพยาธิ), การตรวจปัสสาวะ, เอกซเรย์, ทำการทดสอบผิวหนัง (Skin test) เพื่อหาสารก่ออาการ, เจาะเลือดส่งตรวจภาวะแพ้อาหาร (Food allergy) หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ ตามแต่สาเหตุที่สงสัย โดยขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์
วิธีรักษาลมพิษ
1. พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ แล้วหลีกเลี่ยงหรือกำจัดเสีย (ถ้าทำได้) เช่น ถ้าแพ้ยาหรืออาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็ให้หยุดยาหรือเลิกกินอาหารชนิดนั้น ๆ ถ้าสาเหตุของลมพิษมาจากโรคพยาธิลำไส้ ก็ให้ยาถ่ายพยาธิ เป็นต้น
2. การให้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด หลายกลุ่ม มีทั้งออกฤทธิ์สั้นและออกฤทธิ์ยาว ทั้งแบบกินแล้วง่วงและไม่ง่วงนอน การจะต้องใช้ยาตัวใดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ การตอบสนองของผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยแต่ละรายจะตอบสนองต่อยาแตกต่างกันไป บางรายใช้ยาเพียงตัวเดียวก็ได้ผลดี แต่บางรายแพทย์อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ยาแก้แพ้ในกลุ่มอื่นหรือใช้ยาหลายตัวร่วมกันเพื่อควบคุมอาการ โดยตัวยาหลักที่แพทย์เลือกใช้ ได้แก่ คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine), ไดเฟนไฮดรามีน(Diphenhydramine), ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine) หรือไซโปรเฮปตาดีน (Cyproheptadine) โดยให้กินครั้งละ 1-2 เม็ด (ในเด็กให้ลดปริมาณลงตามอายุ) ถ้ายังมีอาการให้กินซ้ำได้ทุก 4-8 ชั่วโมง ตามแต่ชนิดของยา (ยากลุ่มดังกล่าวมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอน ซึม และปากคอแห้ง) แต่ถ้าเป็นมากหรือกินยาไม่ได้ ให้ใช้ยาแก้แพ้ดังกล่าวชนิดฉีดครั้งละ 1/2-1 หลอด
2.1 ในรายที่เป็นลมพิษเฉียบพลัน โดยไม่มีโรคอื่นร่วมด้วย หรือในกรณีที่เป็นมาก ถ้าใช้ยาแก้แพ้แล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจให้เพรดนิโซโลน (Prednisolone) วันละครั้ง หลังอาหารเช้า เป็นเวลา 10 วัน โดยวันแรกจะให้ในขนาด 40-60 มิลลิกรัม (ส่วนในเด็กจะเริ่มด้วยขนาด 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน) แล้วจะค่อย ๆ ลดปริมาณลงจนวันสุดท้ายเหลือขนาด 5-10 มิลลิกรัม แล้วผื่นลมพิษมักจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในรายที่หาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน ผื่นอาจขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นลมพิษเรื้อรัง
2.2 ในรายที่เป็นลมพิษเรื้อรัง ซึ่งส่วนมากจะไม่ทราบสาเหตุและไม่มีอันตรายร้ายแรง อาจเป็นอยู่แรมปี แล้วหายไปได้เอง ผู้ป่วยควรกินยาแก้แพ้เป็นประจำจนกว่าจะหาย มีเพียงผู้ป่วยส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีโรคร้ายแรงร่วมด้วย (แต่ในกรณีที่ตรวจพบสาเหตุ เมื่อแก้ไขไปตามสาเหตุแล้ว ผื่นลมพิษมักจะหายได้เช่นเดียวกับผู้ที่เป็นลมพิษชนิดเฉียบพลัน) อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นลมพิษเรื้อรังก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัดเสียก่อน โดยในการรักษานั้นแพทย์จะให้ยาแก้แพ้ เช่น ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine) ขนาด 10-20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งจะใช้ได้ผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่แพ้แดด แพ้เหงื่อ หรือแพ้รอยขีดข่วน
2.2.1 ในรายที่แพ้ความเย็นหรือน้ำ อาจให้ยาแก้แพ้ที่มีชื่อว่า ไซโปรเฮปตาดีน (Cyproheptadine) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า เพอริแอคติน (Periactin) ให้กินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นอยู่ประจำ ให้กินยานี้ก่อนจะสัมผัสน้ำหรือถูกความเย็นประมาณ 30-60 นาที เพื่อปองกันไม่ให้เกิดอาการ
2.2.2 ในรายที่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้เป็นประจำและจำเป็นต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือการขับรถ แพทย์จะให้ยาแก้แพ้ที่กินแล้วไม่ง่วง เช่น ลอราทาดีน (Loratadine), เซทิไรซีน (Cetirizine), เลโวเซทิริซีน (Levocetirizine), เดส-ลอราทาดีน (Desloratadine) วันละครั้งแทน
2.2.3 เมื่อกินยาแก้แพ้แล้วอาการทุเลาลง อาจลดยาเหลือเพียงวันละ 1 ครั้ง ในขนาดต่ำสุด (1/2-1 เม็ด) ก่อนนอนทุกวัน ประมาณ 2-3 เดือน แล้วลองหยุดยา ถ้าอาการกำเริบขึ้นมาใหม่ ก็ให้กินยาใหม่ เพราะในบางรายอาจต้องกินยานานเป็นปี ๆ หรืออาจนาน 3-5 ปี กว่าจะหายขาดและหยุดยาได้
2.2.4 ในรายที่ให้ยาแก้แพ้ดังกล่าวใช้ไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ยาแก้ซึมเศร้าที่มีชื่อว่า ดอกซีพิน (Doxepin) ซึ่งมีฤทธิ์แก้แพ้ (ส่วนขนาดที่ใช้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร)
2.3 ในรายที่เป็นลมพิษยักษ์ มีอาการหายใจลำบาก ตัวเขียว แพทย์จะให้ยาฉีดอะดรีนาลีน (Adrenaline) ร่วมกับยาแก้แพ้ สเตียรอยด์ และรานิทิดีน (Ranitidine) ชนิดฉีด แบบเดียวกันกับที่ใช้รักษาภาวะช็อกจากการแพ้ และอาจจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจด้วย
2.4 เมื่อใช้ยาแก้แพ้เพียงอย่างเดียวแล้วไม่ได้ผลในการรักษา แพทย์จะให้ยาต้านเอช 2 (H2) antagonists เช่น รานิทิดีน (Ranitidine) ขนาด 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับยาแก้แพ้ ซึ่งยาที่ให้เพิ่มมานี้จะช่วยเสริมฤทธิ์ของยาแก้แพ้ โดยการระงับอาการบวมแดงของลมพิษ
2.5 ในกรณีที่ตรวจพบโรคที่เป็นร่วมด้วย เช่น โรคมะเร็ง เอสแอลอี โรคติดเชื้อ โรคพยาธิ ฯลฯ แพทย์จะให้การรักษาโรคเหล่านี้ร่วมกับการรักษาอาการลมพิษ
3. รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง และควรพกยาติดตัวไว้เสมอ เมื่อเกิดอาการจะได้ใช้ได้ทันที
4. ไม่แกะหรือเกาที่ผิวหนัง เนื่องจากอาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบได้
5. เมื่อมีอาการคันอาจใช้คาลาไมน์โลชั่น (Calamine Lotion) ทาบริเวณที่เป็นผื่นลมพิษเพื่อช่วยลดอาการคัน ทำให้ผู้ป่วยไม่แกะหรือเกาจนเกิดผิวหนังอักเสบจากการเกา (แต่ยานี้ไม่ได้ช่วยทำให้ผื่นหาย) หรืออาจใช้วิธีประคบด้วยน้ำเย็น น้ำแข็ง (ห้ามใช้ในลมพิษที่เกิดจากความเย็น) หรือทายาแก้ผดผื่นคันอื่น ๆ ทาด้วยเหล้า หรือแอลกอฮอล์ก็ได้ (ถ้าผู้ป่วยไม่แพ้)
6. รักษาโรคอื่นที่เป็นอยู่ให้หาย แม้จะพบได้น้อยแต่ผื่นลมพิษอาจเป็นอาการแสดงทางผิวหนังของโรคทางกายอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ เช่น โรคของต่อมไทรอยด์
7. งดอาหารที่มีวัตถุเจือปนประเภทที่แต่งสี กลิ่น รส (เพราะมีรายงานว่าผู้ป่วยลมพิษประมาณ 30% จะมีอาการดีขึ้นหากหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว[4]) รวมถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ วิตามิน สมุนไพร ยาบำรุง หรือยาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น
8. ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเป็นการขับสารพิษที่เป็นต้นเหตุของผื่นลมพิษออกไปทางไต รวมไปถึงควรระวังไม่ให้เกิดอาการท้องผูก เพื่อเป็นการกำจัดของเสียออกทางอุจจาระได้อีกทางหนึ่ง
9. ควรออกกำลังกายและพยายามหลีกเลี่ยงความเครียดทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ พยายามทำให้จิตใจให้สบาย ไม่วิตกกังวล ซึ่งอาจจะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้
10. ในกรณีที่ให้ยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือยังเป็นลมพิษแบบเป็น ๆ หาย ๆ นานเกิน 2 เดือน หรือสงสัยว่ามีโรคอื่นร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
11. ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เมื่อผื่นลมพิษรุนแรงหรือคันมากขึ้น อาการไม่หายหรือไม่ดีขึ้น (แม้จะดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้วก็ตาม) มีอาการบวมตามเนื้อตัวมาก มีผื่นนานเกิน 1-2 วัน ร่วมกับมีไข้ หรือเมื่อมีความกังวลในอาการ แต่หากมีผื่นร่วมกับอาการบวมของกล่องเสียงหรือลำคอจนหายใจติดขัด รู้สึกหน้ามืด หรือเป็นลม ควรรีบไปพบแพทย์เป็นการฉุกเฉิน

วิธีป้องกันลมพิษ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำให้เกิดลมพิษ (หากทราบสาเหตุ)
2. ผู้ป่วยควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ โดยอาจจะเป็นอาหาร ยา สารกระตุ้น หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แล้วหาทางหลีกเลี่ยง ซึ่งจะช่วยให้หายขาดได้
3. พยายามหลีกเลี่ยงความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำจิตใจให้สบาย ไม่วิตกกังวล
4. ควรระมัดระวังในการเรื่องของการใช้ยาต่าง ๆ เพราะอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดลมพิษได้
5. ผู้ที่เป็นลมพิษบ่อยหรือมีโรคภูมิแพ้อยู่เป็นประจำ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เนื่องจากพบว่ายาเหล่านี้มีฤทธิ์ทำให้โรคภูมิแพ้กำเริบได้
6. ผู้ที่เคยเป็นลมพิษควรแจ้งแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร และเจ้าหน้าที่แผนกเอกซเรย์ก่อนเสมอว่าเคยเป็นลมพิษมาก่อน (การตรวจทางเอกซเรย์บางชนิดอาจมีการฉีดสี ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดลมพิษ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกินยาหรือการตรวจที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดลมพิษได้
ลมพิษไม่เป็นอันตรายมาก แต่บางครั้งก็ไม่อาจหลีกหนีได้ หากถ้าเป็นแล้วมันก็ทรมารนิดๆ นะ อีกอย่างเราจะปิดตัวเองอยู่แต่ในบ้านไม่อยากออกจากบ้านให้ใครเห็นหน้าตากันเลยทีเดียว ถ้ารู้วิธีทำให้มันหายได้ไว ก็ดีมิใช่หรือ
cr. medthai.com, bestchineseherb.com,goodlifeupdate.com
ถ้าภูมิต้านทานน้อย นอนไม่หลับ เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..