ขมิ้นชัน หรือ ขมิ้น ชื่อสามัญ Turmeric
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ขมิ้น เป็นพืชล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีตั้งแต่สีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดจัด โดยถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีชื่ออื่น ๆ อีก เช่น ขมิ้นชัน ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละภาคและจังหวัดนั้น ๆ นิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหาร แต่งสี แต่งกลิ่นอาหาร เช่น แกงไตปลา แกงกะหรี่ เป็นต้น
สมุนไพรพื้นบ้านที่สารออกฤทธิ์สำคัญสีเหลืองที่ทำให้ ขมิ้น มีเอกลักษณ์ชัดเจนก็คือ เคอร์คูมิน ( curcumin ) เป็นสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ ( curcuminoid ) ที่พบมากในพืชวงศ์ขิง อย่างเช่น ขิง ขมิ้น ว่านนางคำ เป็นต้น อันที่จริงในขมิ้นชันจะมีอยู่ 3 ตัวหลักได้แก่ เคอร์คูมิน ( curcumin ) ดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน ( demethoxycurcumin ) และบิสดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน ( bisdemethoxycurcumin ) ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่ดีทั้งหมด แต่ตัวที่โดดเด่นมากกว่าเพื่อนก็คือ เคอร์คูมิน ( curcumin ) ซึ่งเป็นสารประเภทโพลีฟีนอล ( polyphenolic phytochemical ) มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการของกรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ดี ช่วยเรื่องอาหารไม่ย่อย ต้านการเกิดมะเร็ง แก้ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และต้านปรสิตบางกลุ่มได้ นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนช่วยในการคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งจากอาการปวดต่างๆ ได้ด้วย
ขมิ้นชันอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่าง ๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นต้น และขมิ้นชันมีสรรพคุณทางยาที่รักษาอาการและโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด มีประวัติในการนำมาใช้ในการรักษามากกว่า 5,000 ปี สำหรับขมิ้นชันที่จะนำมาใช้ประโยชน์นั้น การเก็บเกี่ยวไม่ควรเก็บในระยะที่ขมิ้นเริ่มแตกหน่อ เพราะจะทำให้สารที่มีประโยชน์อย่างเคอร์คูมินในขมิ้นมีน้อย ส่วนเหง้าที่เก็บมาต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป และไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นจะหมดไปเสียก่อน
เมื่อได้เหง้ามาแล้ว หากจะนำไปรับประทานเพื่อใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ควรล้างให้สะอาดก่อน และไม่ต้องปอกเปลือก แต่หั่นเป็นแว่นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปตากแดดสัก 2 วันแล้วนำมาบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย แล้วนำมารับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2-3 เม็ด หลังอาหารและช่วงก่อนนอน หรือจะนำเหง้าแก่มาขูดเอาเปลือกออกแล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด นำมาบดให้ละเอียด เติมน้ำแล้วคั้นเอาแต่น้ำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง หากนำขมิ้นมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อรักษาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำเหง้าขมิ้นมาฝนผสมกับน้ำต้มสุก แล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง หรือจะนำเอาผงขมิ้นมาโรยก็ใช้ได้เช่นกัน
มีการศึกษาพบว่า การรับประทานขมิ้นตามเวลาที่อวัยวะต่าง ๆ กำลังทำงาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของขมิ้นให้มากขึ้น โดยวิธีกินขมิ้นชันควรรับประทานขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้ตามการรักษา
การหาซื้อขมิ้นมารับประทานเองไม่ว่าจะเป็นแบบผงหรือแบบแคปซูล ควรจะซื้อจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาด ปลอดสารเคมี ไม่มีสารสเตียรอยด์ปลอมปน และในกระบวนการผลิตนั้นต้องไม่ผ่านความร้อนเกิน 65 องศา เพื่อคงคุณภาพของขมิ้น ใส่ใจกันสักนิดเพราะบางคนซื้อมารับประทานเองทุกวัน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย
การรับประทานขมิ้นเพื่อการรักษาโรคใด ๆ ก็ตาม ถ้าหากเรารู้ว่าเราเป็นโรคอะไร แล้วรับประทานไปเรื่อย ๆ จนโรคนั้นหายไปแล้ว ก็ควรหยุดรับประทาน ถึงแม้ขมิ้นจะมีประโยชน์ก็จริง แต่หากร่างกายได้รับมากเกินความต้องการอาจจะกลายเป็นโทษเสียเอง ขมิ้นชันมีผลข้างเคียงคืออาการแพ้ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ดังนั้นหากคุณรับประทานขมิ้นแล้วมีอาการดังกล่าว ควรหยุดรับประทานและหายาชนิดอื่นรับประทานแทน และยังมีความเชื่อเรื่องโทษและข้อเสียของขมิ้นในแถบภาคใต้ว่า การรับประทานขมิ้นที่มากเกินไปและถี่เกินไปนั้นแทนที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง อาจจะเป็นมะเร็งเสียเอง
อย่างไรก็ตาม คุณควรสังเกตอาการของตัวคุณเองด้วย เนื่องจากอาการท้องเสียนั้นเป็นอาการข้างเคียงทั่วไป อาจมีสาเหตุมาจากยาชนิดอื่นหรือจากภาวะของโรคที่เป็นอยู่แล้วร่วมด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นคุณควรสังเกตอาการของตัวคุณเองด้วยว่าเดิมกินยาอื่นแล้วไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ แต่เพิ่งมามีปัญหาเมื่อตอนรับประทานขมิ้นร่วมด้วย ก็ควรสงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นผลข้างเคียงของขมิ้นก็ได้ แต่ทั้งนี้ถ้าคิดว่าเป็นผลข้างเคียงของขมิ้น คุณก็อาจจะรับประทานขมิ้นต่อไปได้ ด้วยการรับประทานซ้ำ และค่อย ๆ ปรับขนาดยา จาก 1 เม็ด เป็น 2 เม็ดต่อครั้ง แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็อาจจะทำให้รับประทานขมิ้นต่อไปได้
การรับประทานอย่างพอประมาณและเหมาะสม รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ งดพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคคือสิ่งที่ถูกต้อง บางสิ่งบางอย่างถึงแม้มันจะมีประโยชน์มากก็จริง แต่ถ้ามันมากเกินไปก็จะเป็นโทษต่อตัวเราได้ จึงไม่ควรหลงละโมภ และรับประทานทานอย่างไร้สติ
1.สูตรขมิ้นสด (ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ)
2.สูตรขมิ้นสด / ดินสอพอง / มะนาว (ช่วยให้ผิวหน้าผ่องใสเนียนเรียบ อ่อนเยาว์ สิวยุบเร็ว)
3.สูตรผงขมิ้น / น้ำมะนาว (ช่วยให้หน้าเนียนใส ช่วยลดอาการบวมแดงจากสิว ช่วยลดสิวและช่วยให้สิวยุบเร็ว)
4.สูตรผงขมิ้น / น้ำนม (บำรุงผิวหน้าให้ผ่องใส อ่อนเยาว์ รักษาสิวเสี้ยน กระชับรูขุมขน รักษาแผลสิว)
5.สูตรผงขมิ้น / น้ำผึ้ง (บำรุงผิวหน้าให้ผ่องใส อ่อนเยาว์ รักษาสิวเสี้ยน กระชับรูขุมขน รักษาแผลสิว)
6.สูตรผงขมิ้น / ดินสอพอง (ช่วยฆ่าเชื้อโรค บรรเทาอาการสิว)
7.สูตรน้ำขมิ้น / นมสด / ดินสอพอง (ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น เปล่งปลั่ง เรียบเนียน ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย แก้อาการผดผื่นคัน)
8.สูตรขมิ้นแห้ง / ว่านนางคำ / ไพล / ดินสอพอง (สูตรบำรุงผิว ลดสิว)
ผลงานทางวิจัยคุณค่าของขมิ้นมีอะไรบ้างมาดูกัน
ภาวะคอเลสเตอรอลสูง งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรับประทานขมิ้นหรืออาหารเสริมจากขมิ้นที่มีสารเคอร์คูมินในปริมาณที่เหมาะสมต่อวันอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันรวมและเพิ่มระดับไขมันชนิดดีในเส้นเลือด จากการศึกษาประสิทธิภาพสารเคอร์คูมินต่อระดับไขมันรวม ไขมันชนิดไม่ดี ไขมันชนิดดี และไตรกลีเซอไรด์ในผู้ป่วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 75 คน โดยให้รับประทานสารเคอร์คูมิน 3 ขนาด แบ่งรับประทาน 3 ครั้งต่อวัน ได้แก่ ปริมาณน้อย 15 มิลลิกรัมต่อวัน ปริมาณปานกลาง 30 มิลลิกรัมต่อวัน และปริมาณสูง 60 มิลลิกรัมต่อวัน ผลพบว่าการรับประทานสารเคอร์คูมินในปริมาณน้อยต่อวันช่วยลดระดับไขมันชนิดไม่ดีและไขมันรวมได้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการรับประทานสารเคอร์คูมินในปริมาณปานกลางและมาก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดีสูงสุดเช่นกัน
ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาสารเคอร์คูมินต่อการลดระดับไขมันในผู้ป่วยภาวะอ้วนลงพุง 65 คน เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก ระดับน้ำตาลในเลือด และระดับไขมัน เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยได้ผลในทิศทางเดียวกัน ผู้ป่วยกลุ่มแรกรับประทานสารสกัดเคอร์คูมิน 630 มิลลิกรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับผู้ป่วยอีกกลุ่มที่รับประทานยาหลอก โดยแบ่งรับประทาน 3 ครั้งต่อวันทั้ง 2 กลุ่ม นาน 12 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า กลุ่มที่รับประทานสารสกัดเคอร์คูมินมีระดับไขมันชนิดไม่ดีและไตรกลีเซอไรด์ลดลง ส่วนไขมันชนิดดีเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ส่งผลต่อน้ำหนักตัวและระดับน้ำตาลในเลือด
ผลการศึกษาบางส่วนนี้ชี้ให้เห็นว่าการรับประทานสารเคอร์คูมินเป็นประจำอาจเป็นอีกวิธีช่วยลดระดับไขมันในเลือดของผู้ป่วยภาวะอ้วนลงพุง และโรคอื่น ๆ ทั้งนี้ กลุ่มการทดลองมีขนาดเล็ก จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในระยะยาว
โรคข้อเสื่อม อีกคุณสมบัติทางยาของขมิ้นอาจช่วยบรรเทาอาการจากโรคข้อเข่าเสื่อม เนื่องจากมีสารเคอร์คูมินที่มีฤทธิ์ต่อต้านกระบวนการอักเสบ โดยมีการศึกษาถึงประสิทธิภาพของสารเคอร์คูมินเปรียบเทียบกับยาไดโคลฟีแนคต่อการหลั่งเอนไซม์ Cyclooxygenase-2 (COX-2) ในน้ำไขข้อของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม 80 คน กลุ่มแรกรับประทานสารเคอร์คูมิน วันละ 30 มิลลิกรัม และอีกกลุ่มรับประทานยาไดโคลฟีแนค วันละ 25 มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทาน 3 เวลาเช่นเดียวกันทั้ง 2 กลุ่ม เมื่อครบ 4 สัปดาห์ จึงเจาะน้ำในข้อเข่าออกมาตรวจ เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการรับประทาน ผลพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสารเคอร์คูมินและยาไดโคลฟีแนคในการยับยั้งการหลั่ง COX-2 ซึ่งเป็นเอมไซม์ที่หลั่งเมื่อเกิดการอักเสบ ปวด และบวม จึงเชื่อว่าสารเคอร์คูมินอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมได้ดีเช่นเดียวกับยา
อย่างไรก็ตาม มีรายงานบางชิ้นพบผลข้างเคียงเล็กน้อยจากขมิ้น เช่น การศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อการใช้สารสกัดจากขมิ้นเปรียบเทียบกับยาไอบูโปรเฟนในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม จำนวน 367 คน เพื่อดูอาการปวดและสมรรถภาพการใช้งานข้อเข่า ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มแรกรับประทานสารสกัดจากขมิ้น 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มรับประทานยาไอบูโปรเฟน 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ จากนั้นจึงวัดผลด้วยแบบประเมินวัดอาการปวด ผลพบว่า สารสกัดจากขมิ้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาไอบูโปรเฟนในการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม และพบผลข้างเคียงในระบบทางเดินอาหารเล็กน้อยโดยน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ยา จึงอาจต้องมีการศึกษาผลกระทบของการรับประทานขมิ้นต่อร่างกายในระยะยาว
อาการคัน ขมิ้นมีสารเคอร์คูมินที่เชื่อว่ามีส่วนสำคัญในการยับยั้งกระบวนการอักเสบภายในร่างกาย จึงอาจช่วยลดอาการคันในผู้ป่วยบางโรคได้ โดยมีงานวิจัยถึงประสิทธิภาพของขมิ้นต่ออาการคันเปรียบเทียบกับยาหลอกในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 100 คน ผลปรากฏว่า กลุ่มที่รับประทานขมิ้นมีอาการคันลดลงกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ และยังไม่พบผลข้างเคียงทั้ง 2 กลุ่ม จึงคาดว่าขมิ้นมีส่วนช่วยลดอาการคันในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง แต่ยังไม่สามารถยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขมิ้นต่อร่างกายในระยะยาวได้แน่ชัด
นอกจากนี้ การศึกษาอีกชิ้นเรื่องคุณสมบัติของสารเคอร์คูมินด้านการต้านอักเสบในผู้ป่วยผื่นผิวหนังจากสารซัลเฟอร์ มัสตาร์ด เพศชาย 69 คน อายุ 37-59 ปี โดยทดลองทาสารสกัดจากเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับยาหลอก ติดต่อกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ เพื่อดูความรุนแรงของอาการคันเรื้อรังและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ผลพบว่า ฤทธิ์ต้านการอักเสบของเคอร์คูมินในขมิ้นช่วยยับยั้งสารในกระบวนการอักเสบบางชนิดได้มากกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่ไม่พบความแตกต่างในคุณสมบัติด้านการลดอาการคันตามผิวหนังของทั้ง 2 กลุ่ม ทำให้ต้องศึกษาสารเคอร์คูมินเพิ่มเติมในด้านการลดอาการคันและวิธีปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว รวมทั้งข้อจำกัดด้วยขนาดกลุ่มทดลองขนาดเล็กและระยะเวลาติดตามผลสั้น
โรคอัลไซเมอร์ การศึกษาคุณสมบัติของขมิ้นต่อการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ยังมีอยู่จำกัดในปัจจุบัน แต่ผลการวิจัยบางส่วนแสดงให้เห็นว่าขมิ้นอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคนี้ จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ให้ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ จำนวน 3 ราย ที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมและอาการสมองเสื่อมอย่างรุนแรงรับประทานสารสกัดจากขมิ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ จากนั้นจึงวัดผลด้วยแบบประเมินอาการ ผลพบว่า มีผู้ป่วยเพียงรายเดียวที่ได้คะแนนสูงขึ้นในการทดสอบความจำเมื่อเทียบกับผลก่อนการทดลอง ในขณะที่ผู้ป่วยอีก 2 คน ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนจากการทำแบบประเมิน แต่สามารถจดจำบุคคลในครอบครัวเมื่อผ่านไป 1 ปี นอกจากนี้ ผู้ป่วยทั้ง 3 ราย ไม่มีอาการในลักษณะเดิมเมื่อรับประทานสารสกัดจากขมิ้นมากกว่า 1 ปี งานวิจัยนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ขมิ้นอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมและความจำเสื่อม อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยในการทดลองมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งต้องขยายผลการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป เพื่อช่วยยืนยันประสิทธิภาพของการรักษา
ภาวะตาอักเสบ ด้วยสรรพคุณต้านการอักเสบของสารเคอร์คูมินในขมิ้นอาจเป็นประโยชน์ในการรักษาภาวะตาอักเสบและโรคทางดวงตา แต่ก็ยังขาดผลการศึกษาระยะยาวในหลายส่วน เช่น งานวิจัยที่ศึกษาถึงประสิทธิภาพของสารเคอร์คูมินในผู้ป่วยโรคยูเวียอักเสบ 32 คน เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งให้กลุ่มแรกรับประทานเคอร์คูมิน 375 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง และอีกกลุ่มรับประทานเคอร์คูมินควบคู่กับยารักษาวัณโรค หลังผ่านไป 2 สัปดาห์แรก พบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดในกลุ่มแรกที่รับประทานขมิ้นมีอาการดีขึ้น ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มที่ 2 มีอาการดีขึ้นประมาณ 86% นอกจากนี้ หลังติดตามผลระยะยาวในช่วง 3 ปีหลัง กลับพบว่าอัตราการกลับมาเป็นโรคและภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นของผู้ป่วยในกลุ่ม 1 สูงกว่ากลุ่มที่ 2 เล็กน้อย จึงยังไม่สามารถบอกประสิทธิภาพของขมิ้นในการรักษาภาวะตาอักเสบได้อย่างชัดเจน อีกทั้ง ข้อมูลด้านความปลอดภัยและผลข้างเคียงของขมิ้นยังมีอยู่จำกัด
การศึกษาอีกชิ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารเคอร์คูมินในรูปแบบไฟโตโซม (Curcumin Phosphatidylcholine Complex) ในผู้ป่วยโรคยูเวียอักเสบที่กลับมาเป็นซ้ำ 106 คน ในการทดลองแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่มตามสาเหตุของโรค กลุ่มแรกเป็นยูเวียอักเสบจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง กลุ่มที่ 2 ยูเวียอักเสบจากการติดเชื้อ และกลุ่มที่ 3 ยูเวียอักเสบจากสาเหตุอื่น ๆ โดยให้ผู้ป่วยรับประทานวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 12 เดือน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารเคอร์คูมินในรูปแบบไฟโตโซมช่วยลดอาการไม่สบายตาและการมองเห็นมากกว่า 80% หลังเข้ารับการรักษาไม่กี่สัปดาห์ จึงเชื่อว่าสารเคอร์คูมินน่าจะมีบทบาทต่อการรักษาโรคทางดวงตาหรือสภาวะอื่น ๆ ของดวงตา เช่น ตาแห้ง โรคของจอตา โรคต้อหิน ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา เป็นต้น
อาการจุกเสียดท้อง สารเคอร์คูมินมักถูกอ้างถึงคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร และเป็นประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน จึงมีงานวิจัยบางส่วนที่ค้นคว้าเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารเคอร์คูมินเปรียบเทียบกับยาตัวอื่นที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะในผู้ที่ติดเชื้อเอชไพโลไรและมีอาการจุกเสียดท้อง จำนวน 25 คน โดยให้รับประทานสารเคอร์คูมิน 30 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรด้วยวิธีเป่าลมหายใจ ตรวจดูความรุนแรงของอาการต่าง ๆ ในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ตรวจเลือด และตรวจหาสารภูมิต้านทานจากเชื้อเอชไพโลไร ผลพบว่าสารเคอร์คูมินช่วยลดอาการจุกเสียดท้องและลดการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่มีผลต่อการกำจัดเชื้อเอชไพโลไรในผู้ป่วย จึงยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนมากพอว่าขมิ้นช่วยได้จริงหรือไม่ และอาจต้องรอผลการศึกษาอื่นในอนาคต
ภาวะซึมเศร้า มีความเชื่อว่าสารเคอร์คูมินมีอิทธิพลต่อกลไกทางชีววิทยาหลายประการที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้า จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาภาวะนี้ จากการทดลองการใช้สารเคอร์คูมินในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า 56 คน โดยให้รับประทานเคอร์คูมิน 500 มิลลิกรัม รับประทาน 2 ครั้งต่อวัน เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ได้รับยาหลอก เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ผลในช่วงแรกพบว่า ผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มมีระดับคะแนนด้านอารมณ์ไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4-8 กลับพบว่า กลุ่มที่รับประทานสารเคอร์คูมินมีระดับคะแนนด้านอารมณ์ที่ดีขึ้นมากกว่ายาหลอก ซึ่งผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจได้รับประโยชน์จากการใช้สารเคอร์คูมินในระยะเวลา 4-8 สัปดาห์หลังการเริ่มรักษา อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ควรศึกษาเพิ่มเติม เช่น เพิ่มขนาดของกลุ่มทดลอง ทดสอบปริมาณของสารเคอร์คูมินที่แตกต่างกัน ติดตามผลการศึกษาในระยะเวลาที่นานขึ้น ดังนั้น จึงยากที่จะสรุปผลทันที
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ขมิ้นมีคุณสมบัติที่เชื่อว่าช่วยต่อต้านการอักเสบ จึงมีการศึกษานำร่องทางคลินิกเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้สารเคอร์คูมินเปรียบเทียบกับยาไดโคลฟีแนคในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เรื้อรัง 45 คน ในการทดลองแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานสารเคอร์คูมิน 500 มิลลิกรัมต่อวัน กลุ่มที่ 2 รับประทานยาไดโคลฟีแนค 50 มิลลิกรัม และกลุ่มที่ 3 รับประทานสารเคอร์คูมินร่วมกับยาไดโคลฟีแนค จากนั้นจึงวัดผลด้วยแบบประเมิน 2 ชุด พบว่าผู้ป่วยทั้ง 3 กลุ่มมีอาการของโรคดีขึ้น แต่กลุ่มที่รับประทานสารเคอร์คูมินมีผลคะแนนสูงสุด อีกทั้งยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงจากการรับประทาน ขมิ้นจึงอาจมีความปลอดภัยและเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และข้ออักเสบชนิดอื่น ซึ่งยังต้องค้นคว้าเพิ่มเติมในกลุ่มทดลองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
โรคเบาหวาน ผลจากการวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าสารเคอร์คูมินที่พบในขมิ้นอาจช่วยลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคเบาหวานหรือป้องกันผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงของโรค จากการศึกษาสรรพคุณของขมิ้นต่อการป้องกันโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงโรคเบาหวาน 240 คน เปรียบเทียบกับยาหลอก เป็นระยะเวลา 9 เดือน หลังจบการทดลองพบว่า กลุ่มที่รับประทานสารเคอร์คูมินตรวจไม่พบผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในขณะที่กลุ่มรับประทานยาหลอกวินิจฉัยพบโรคเบาหวานประมาณ 16.4% จึงเชื่อว่าสารเคอร์คูมินในขมิ้นอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคเบาหวาน แต่ยังไม่มีการระบุประสิทธิภาพในการรักษาที่ชัดเจน ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานจึงไม่ควรรับประทานเพื่อวัตถุประสงค์โดยตรงแทนการไปพบแพทย์ จนกว่าจะมีข้อยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน
ข้อควรระวังในการใช้ขมิ้นอย่างปลอดภัย