อาการความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (พบได้เป็นส่วนใหญ่)
ความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ (พบได้เป็นส่วนน้อย)
1. มีระดับความดันโลหิตแกว่งขึ้น ๆ ลง ๆ ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ใจสั่น และเหงื่อออกเป็นพัก ๆ (อาจเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไตฟีโอโครโมไซโตมา)
2. นอนกรนผิดปกติ (อาจเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ)
3. ต้นแขนและขาอ่อนแรงเป็นพัก ๆ (อาจเป็นภาวะแอลโดสเตอโรนสูงชนิดปฐมภูมิ)
4. ปวดหลังร่วมกับปัสสาวะขุ่นแดง (อาจเป็นนิ่วไต)
5. รูปร่างอ้วนฉุ หน้าอูม มีไขมัน (หนอกควาย) ที่หลังคอ
6. มีประวัติการรับประทานยาสเตียรอยด์ ยาชุด หรือยาลูกกลอนมาก่อน (อาจเป็นโรคคุชชิง)
ความดันแต่ละช่วงอายุ ควรอยู่ที่เท่าไหร่?
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง
หากไม่ได้รับการักษาหรือปล่อยให้ความโลหิตสูงเป็นเวลานาน ๆ ผู้ป่วยมักจะเกิดความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญต่าง ๆ ตามมา เช่น สมอง ประสาทตา หัวใจ ไต หลอดเลือดแดงใหญ่ และหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความพิการและเสียชีวิตได้ เนื่องจากความดันโลหิตสูงจะทำให้หลอดเลือดแดงแทบทุกส่วนของร่างกายเสื่อม เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) หลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่ได้ โดยภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญนั้น ได้แก่
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะเกิดขึ้นรวดเร็วหรือรุนแรงเพียงใดนั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะของโรค ถ้าผู้ป่วยสามารถควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ก็อาจป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้หรือทำให้ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นลดความรุนแรงลงได้ ส่วนในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อย หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาการเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อาจใช้เวลานานถึง 7-10 ปี แต่ในรายที่มีความดันสูงมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้รวดเร็ว และผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
(ถ้ารุนแรงมากอาจเสียชีวิตภายใน 6-8 เดือน) นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด มีโรคอื่นร่วมด้วย (เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เร็วยิ่งขึ้น ผู้ป่วยจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและควบคุมโรคเหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย
ข้อมูลจากรายงานการคัดกรองความดันโลหิตในปี พ.ศ. 2554 (ตามโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวง ทรงห่วงใยสุขภาพประชาชน) พบว่าในประชากรที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 19,328,463 คน เป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูง รายเก่า 2,661,954 คน
มีภาวะแทรกซ้อนทางตา 18,255 คน (7.94%), มีภาวะแทรกซ้อนทางไต 46,598 (20.26%), มีภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ 51,840 คน (22.54%), มีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง 32,686 คน (14.21%) และมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ 75,503 คน (ร้อยละ 32.83%)
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่มักไม่มีอาการแสดง ยกเว้นผู้ป่วยในระยะรุนแรงที่อาจมีอาการแสดงได้ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง หายใจสั้น มีเลือดกำเดาไหล ฯลฯ
ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงและบอกไม่ได้ชัดเจน และส่วนใหญ่ของอาการจากโรคก็เป็นอาการจากภาวะแทรกซ้อน เช่น จากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง
หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วนหรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง
จึงทำให้โรคนี้ถูกเรียกว่าเป็น “เพชรฆาตเงียบ” (Silent killer) ที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างไม่ทันได้ระวังตัว
ผู้ป่วยจึงต้องหมั่นตรวจสุขภาพและวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
ความดันโลหิตหมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดงซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ (คล้ายแรงลมที่ดันผนังของยางรถเมื่อเราสูบลมเข้า) ซึ่งสามารถวัดได้โดยการใช้เครื่องวัดความดัน (Sphygmomanometer) วัดที่แขน และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่า คือ
ตารางการแบ่งระดับความรุนแรงของความดันโลหิตสูงในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
ความดันโลหิตสูง,ความดันเลือดสูง,ความดันสูงหรือที่แพทย์บางท่านเรียกว่าภาวะความดันโลหิตสูง(อังกฤษ :HypertensionหรือHigh blood pressure)
หมายถึงภาวะที่ความดันช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 130 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 80 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
ซึ่งโดยมากผู้ป่วยจะมีความดันช่วงล่างสูง (Diastolic hypertension) โดยที่ความดันช่วงบนจะสูงหรือไม่ก็ได้ แต่บางรายอาจมีความดันช่วงบนสูงเพียงอย่างเดียว แต่มีค่าความดันช่วงล่างไม่สูงก็ได้เช่นกัน เรียกว่า “ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว” (Isolated systolic hypertension - ISHT) ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายไม่น้อยไปกว่าความดันช่วงล่างสูงและผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างจริงจัง
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่งในผู้ใหญ่โดยพบได้สูงถึงประมาณ 25-30% ของประชากรโลกที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และจะพบได้สูงขึ้นในผู้สูงอายุ (ในบางประเทศพบโรคความดันโลหิตสูงได้สูงถึง 50% ของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป) ส่วนในเด็กก็สามารถพบเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน แต่จะพบได้น้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก
องค์การอนามัยโลกรายงานว่าทั่วโลกมีผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากถึง 1 พันล้านคน ซึ่ง 2 ใน 3 ของจำนวนนี้อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 คน ใน 3 คนมีภาวะความดันโลหิตสูง
สถานการณ์ของโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อย (คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 1.56 พันล้านคน) เพราะเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั่วโลกก่อนวัยอันควรถึงเกือบ 8 ล้านคนต่อปี และยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเกือบร้อยละ 50 ด้วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension League) ได้กําหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของโรคนี้กันมากขึ้น
สำหรับในประเทศไทยนั้น ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า จำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ.2550 พบอัตราผู้ป่วยในต่อประชากรแสนคนจาก 1,025.44 เพิ่มขึ้นเป็น 1,561.42 ในปี พ.ศ.2557 และมีอัตราการเสียชิวิตโรคนี้ต่อประชากรแสนคนเป็น 3.64 ในปี พ.ศ.2550 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 10.95 ในปี พ.ศ.2557
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
หมายเหตุ: ปัจจัยเสี่ยงในที่นี้หมายถึงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาให้หายได้ยาก แต่ก็สามารถรักษาควบคุมได้เสมอถ้าเริ่มรักษาตั้งแต่แรก ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รับประทานอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และไม่หยุดยาเอง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมความดันโลหิตสูงและเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด มีดังนี้
สำหรับคนทั่วไปอาจป้องกันไม่ให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังนี้
ยาลดความดันหมายถึงยาที่มีคุณสมบัติอะไร?
ยาลดความดัน หรือยาลดความดันเลือดสูง หรือยาลดความดันโลหิตสูง (Antihyperten sive drug) เป็นยาที่ใช้ลดความดันโลหิตที่สูงเกินปกติโดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตให้เข้าสู่ภาวะปกติมากที่สุด เพื่อชะลอความรุนแรงของโรค และเพื่อลดอัตราการตายเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดกับหัวใจ ตา ไต สมอง และกับหลอดเลือดขนาดเล็กๆทั่วร่างกาย
แบ่งยาลดความดันตามกลไกการออกฤทธิ์ของตัวยาได้ดังนี้
1. ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
1.1 ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide diuretics) เช่น ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์(Hydrochlorothiazide, HCTZ), อินดาพาไมด์ (Indapamide), คลอธาลิโดน (Chlorthalidone)
1.2 ยาขับปัสสาวะกลุ่มลูปไดยูเรติก (Loop diuretics, ยาที่ออกฤทธิ์ที่หน่วยไต) เช่น ยาฟูโรซีไมด์ (Furosemide), เอทธาครินิคแอซิด (Ethacrynic acid), ทอร์ซีไมด์ (Torsemide)
1.3 ยาขับปัสสาวะชนิดที่ลดการขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายทางปัสสาวะ(Potassium-sparing diuretics) เช่น ยาอะมิโลไรด์ (Amiloride), ไตรแอมเทรีน (Triamterene), สไปโรโนแล็กโทน (Spironolactone), อีพลีรีโนน (Eplerenone)
1.4 ยาขับปัสสาวะกลุ่มออสโมติก (Osmotic diuretics, ยาที่ลดการดูดซึมกลับของน้ำและโซเดียมจากปัสสาวะกลับเข้าสู่ร่างกาย) เช่น ยาแมนนิทอล (Mannitol), ซอร์บิทอล (Sorbitol)
2. ยาที่ออกฤทธิ์ลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาธีติก (Sympathoplegic agents)
2.1 ยาออกฤทธิ์ปิดกั้นการทำงานของเบต้ารีเซ็ปเตอร์ (Beta adrenoceptor blockers ,Beta blockers) เช่น ยาโพรพราโนลอล (Propranolol), นาโดลอล (Nadolol), พินโดลอล(Pindolol), ทิโมลอล (Timolol), อะทีโนลอล (Atenolol), เมโทโพรลอล (Metoprolol), ไบโซโพรลอล (Bisoprolol), ลาบีทาลอล (labetalol), คาร์วีไดลอล (Carvedilol)
2.2 ยาออกฤทธิ์ปิดกั้นการทำงานของอัลฟ่า 1 รีเซ็ปเตอร์ (Alpha1 adrenoceptor blockers, Alpha1 blockers) เช่น ยาพราโซซิน (Prazosin), ด็อกซาโซซิน (Doxa zosin)
2.3 ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง (Centrally acting agents) เช่น ยา โคลนิดีน(Clonidine), เมทิลโดปา (Methyldopa), รีเซอร์พีน (Reserpine)
3. ยาที่ออกฤทธิ์ลดการทำงานของระบบ Renin-angiotensin-aldosterone system (RAAS, ระบบที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของไตและฮอร์โมน/สารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการคงความดันโลหิตของร่างกาย)
3.1 ยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors, ACEI) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แองจิโอเทนซินคอนเวอร์ติ้ง (Angiotensin converting) ที่ช่วยควบคุมความดันเลือด เช่น ยาอีนาลาพริล (Enalapril), ไลซิโนพริล (Lisinopril), แคปโตพริล (Captopril), รามิพริล (Ramipril), เพอรินโดพริล(Perindopril)
3.2 ยาที่ออกฤทธิ์ปิดกั้นที่ตัวรับ (Receptor) แอนจิโอเทนซิน 2 (Angiotensin II receptorblockers, ARBs) เช่น ยาลอซาร์แทน (Losartan), วาลซาร์แทน (Valsar tan), เออร์บีซาร์แทน(Irbesartan), แคนดิซาร์แทน (Candesartan), เทลมิซาร์แทน (Telmisartan), โอล์มีซาร์แทน(Olmesartan)
4. ยากลุ่มต่างๆที่ขยายหลอดเลือด
4.1 ยากลุ่มปิดกั้นช่องประจุแคลเซียม (Calcium channel blockers, CCBs) เช่น ไนเฟดิปีน(Nifedipine), ฟิโลดิปีน (Felodipine), แอมโลดิปีน (Amlodipine), มานิดิปีน (Manidipine), เวอราปามิล (Verapamil), ดิลไทอะเซม (Diltiazem)
4.2 ยากลุ่มไนเตรท (Nitrate) เช่น ยาไอโซซอร์ไบด์โมโนไนเตรต (Isosorbidemononitrate, ISMN), ไอโซซอร์ไบด์ไดไนเตรต (Isosorbide dinitrate, ISDN), ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin)
4.3 ยาขยายหลอดเลือดชนิดอื่นๆเช่น ไฮดราลาซีน (Hydralazine), ไมนอกซิดิล(Minoxidil)
ยาลดความดันมีข้อบ่งใช้อย่างไร?
ยาลดความดันมีข้อบ่งใช้ดังนี้เช่น
1. ยาขับปัสสาวะ
นอกจากใช้เป็นยาลดความดันโลหิตยังใช้ขับปัสสาวะเพื่อรักษาภาวะบวมน้ำจากโรคต่างๆเช่น หัวใจล้มเหลว ตับแข็ง ไตวาย น้ำท่วมปอด/ปอดบวมน้ำ และยังมีข้อบ่งใช้อื่นๆดังนี้เช่น
ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ ใช้รักษาโรคนิ่วในไต โรคกระดูกพรุน โรคเบาจืดที่ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของไต (Nephrogenic diabetes insipidus) และลดปริมาณน้ำในหูชั้นในในผู้ป่วยโรคเมเนียร์ (Meniere's disease, โรคเวียน ศีรษะเรื้อรังที่เกิดจากหูชั้นใน)
ยาขับปัสสาวะกลุ่มลูปไดยูเรติก ใช้รักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperka lemia) แคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia) โซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatre mia) และใช้ขับสารพิษที่เกินขนาดในเลือด เช่น โบรไมด์ (Bromide), ฟลูออไรด์ (Fluoride) และไอโอไดด์ (Iodide)
ยาขับปัสสาวะชนิดที่ลดการขับโพแทสเซียม ใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะชนิดอื่นหรือใช้แทนเมื่อผู้ป่วยเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ รักษากลุ่มอาการคอนน์ (Conn’s syndrome, กลุ่มอาการมีความดันโลหิตสูงร่วมกับมีโพแทสเซียมในเลือดต่ำ) หรืออีกชื่อคือ ไฮเปอร์อัลโดสเตอโรนิสซึม (Hyperaldosteronism) ยาแมนนิทอล (Mannitol) ใช้ลดความดันลูกตาในผู้ป่วยโรคต้อหินมุมปิด
2. ยาที่ออกฤทธิ์ลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาธีติก
นอกจากใช้เป็นยาลดความดันโลหิตแล้วยังมีข้อบ่งใช้อื่นๆดังนี้
ยาในกลุ่ม Beta blockers ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นเร็ว หัว ใจล้มเหลวกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม
ยาในกลุ่ม Alpha1 blockers ใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโต
3. ยาที่ออกฤทธิ์ลดการทำงานของระบบ Renin-angiotensin-aldosterone system (RAAS)
ใช้เป็นยาลดความดันโลหิตและมีข้อบ่งใช้อื่นๆดังนี้เช่น
ยากลุ่ม ACE inhibitors ใช้รักษาโรคหัวใจล้มเหลวและป้องกันภาวะไตวายจากโรคเบาหวาน
4. ยาขยายหลอดเลือดกลุ่มต่างๆ
นอกจากใช้เป็นยาลดความดันโลหิตยังมีข้อบ่งใช้อื่นๆ ดังนี้เช่น
ยาในกลุ่ม Calcium channel blockers ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต (Hypertensive emergency) รักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน
ยากลุ่มไนเตรท ใช้รักษาภาวะหัวใจล้มเหลวและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
มีข้อห้ามใช้ยาลดความดันอย่างไร?
1. ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยานั้นๆหรือแพ้ส่วนประกอบอื่นๆของยา
2. ห้ามใช้ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์และฟูโรซีไมด์ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยาซัลฟา (Sulfa drug)
3. ห้ามใช้ยาขับปัสสาวะปริมาณมากในผู้ป่วยโรคตับแข็ง ไตวาย และหัวใจล้ม เหลว
4. ห้ามรับประทานยาขับปัสสาวะหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนเพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะตอนกลางคืนจึงรบกวนการนอนหลับ
5. ห้ามใช้ยาในกลุ่ม Beta blockers ในผู้ป่วยโรคหืด โรคหัวใจล้มเหลวชนิดรุนแรง โรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง และภาวะหลอดเลือดส่วนปลาย (มือเท้า แขน ขา) ตีบ
6. ห้ามใช้ยาในกลุ่ม ACE inhibitors ในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดไตตีบตัน เพราะอาจทำให้ไตวายได้
7. ห้ามบดเคี้ยวหรือหักยาเม็ดรูปแบบที่เป็นยาออกฤทธิ์เนิ่นนาน เพราะทำให้ยาเสียคุณสมบัติในการออกฤทธิ์นานเป็นพิเศษ และอาจทำให้ร่างกายได้รับยาในปริมาณมากเกินไปจนทำให้ความดันโลหิตตกลงอย่างรวดเร็วจนหน้ามืดหรือหมดสติได้
มีข้อควรระวังการใช้ยาลดความดันอย่างไร?
1. ระวังการใช้ยาขับปัสสาวะชนิดที่ลดการขับโพแทสเซียมร่วมกับการใช้ยาในกลุ่ม ACE inhibitors เพราะอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง
2. ระวังการใช้ยาในกลุ่ม Beta blockers ในผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง เพราะยาทำให้ระดับไขมันดี (HDL) ลดลง และระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานเพราะยานี้ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเพิ่มขึ้น
3. ระวังการใช้ยาในกลุ่ม Beta blockers ร่วมกับยาขับปัสสาวะเนื่องจากยาทั้งสองกลุ่มนี้ มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจึงอาจเกิดภาวะเบาหวานได้
4. ผู้ป่วยที่ได้รับยาในกลุ่ม Alpha1 blockers ในครั้งแรกๆอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็วทำให้หน้ามืดหรือเป็นลมได้
5. ระวังการใช้ยาเวอราปามิล (Verapamil) และยาดิลไทอะเซม (Diltiazem) ในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเพราะยาดังกล่าวมีผลกดการทำงานของหัวใจ
1. ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide)
ทำให้เกิดการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ได้แก่ภาวะโพเทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) โซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatramia) น้ำ ตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) กรดยูริคในเลือดสูง (Hyperuricemia) และการเสื่อมสมรรถ ภาพทางเพศในผู้ชาย/นกเขาไม่ขัน (Impotence)
2. ยาขับปัสสาวะกลุ่มลูปไดยูเรติก
ยาในกลุ่มนี้มีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาคล้ายกับยาปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ และยามีความเป็นพิษต่อหูชั้นในจึงมีผลต่อการได้ยินได้ (Ototoxicity)
3. ยาขับปัสสาวะชนิดที่ลดการขับโพแทสเซียม
ทำให้เกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง(Hyperkalemia) และภาวะเต้านมโตในเพศชาย (Gynecomastia) เช่น จากการใช้ยาสไปโรโนแล็กโทน (Spironolactone)
4. ยาในกลุ่ม Beta blockers
อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติ (Bradycardia) ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจากภาวะร่างกายไวต่อน้ำตาลกลูโคส (Glucose intolerance) ส่งผลในระบบประสาทส่วนกลางเช่น ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ฝันร้าย และภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ(ชาย)
5. ยาในกลุ่ม Alpha1 blockers
ทำให้เกิดภาวะความดันเลือดต่ำจากการเปลี่ยนท่าทาง (Posturalhypotension) ปวดศีรษะและอ่อนเพลีย
6. ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
อาจทำให้หดหู่/ซึมเศร้า ฝันร้าย ง่วงซึม ปากแห้ง
7. ยาในกลุ่ม ACE inhibitors
มีอาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยคือ ไอแห้งๆ/ไอไม่มีเสมหะ อาการอื่นๆเช่น อาการบวมใต้ชั้นผิวหนัง/แองจิโออีดีมา (Angioedema) โพแทสเซียมในเลือดสูง ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเมื่อเริ่มใช้ยาครั้งแรกๆ (First dose hypotension)
8. ยาในกลุ่ม ARBs (Angiotensin II receptor blockers)
มีอาการไม่พึงประสงค์คล้ายกับ ยาในกลุ่มACE inhibitors แต่ทำให้เกิดอาการไอแห้งๆและอาการบวมใต้ชั้นผิวหนัง (Angio edema) น้อยกว่าอย่างเด่นชัด
9. ยาในกลุ่ม Calcium channel blockers เช่น
ไนเฟดิปีน (Nifedipine) ฟิโลดิปีน (Felodi pine) แอมโลดิปีน (Amlodipine) อาจทำให้เกิดอาการเท้าบวม (Peripheral edema) ปวดศีรษะ และหน้าแดงได้ส่วนเวอราปามิล (Verapamil) และดิลไทอะเซม (Diltiazem) ทำให้ท้องผูกได้
การใช้ยาลดความดันในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นดังนี้เช่น
1. หญิงตั้งครรภ์ควรหยุดยาลดความดันในกลุ่ม ACE inhibitors, กลุ่ม ARBs/Angiotensin IIreceptor blocker และยาขับปัสสาวะทันที เพราะยาเหล่านี้อาจทำให้เกิดความผิด ปกติกับทารกในครรภ์ได้
2. ยาลดความดันที่แพทย์มักเลือกใช้เป็นอันดับแรกในหญิงตั้งครรภ์คือ เมทิลโดปา (Methyldopa) ซึ่งพบว่ามีความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์มากที่สุด ส่วนยาที่เป็นตัว เลือกต่อมาได้แก่ เมโทโพรลอล(Metoprolol) ไฮดราลาซีน (Hydralazine) และไนเฟดิปีน (Nifedipine)
3. ถ้าผู้ป่วยเกิดภาวะความดันโลหิตสูงหลังจากตั้งครรภ์/ครรภ์เป็นพิษ (Pre-eclamsia) สามารถใช้ยาไฮดราลาซีน, ไนเฟดิปีน และยา Beta blockers เช่น ลาบีทาลอลในการรักษาได้
การใช้ยาลดความดันในผู้สูงอายุควรเป็นดังนี้เช่น
1. ควรติดตามระดับความดันโลหิตของผู้สูงอายุในท่านั่งหรือท่านอนเปรียบเทียบกับท่ายืน เพราะผู้ป่วยมักมีภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนอิริยาบถ อาจทำให้หน้ามืดเกิดการล้มกระ ดูกหักได้
2. ควรเลือกใช้ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide) เป็นกลุ่มแรกในผู้ป่วยสูงอายุเนื่อง จากยามีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆในร่างกาย
3. การเลือกใช้ยาลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุควรพิจารณาถึงโรคร่วม/โรคประจำตัวอื่นๆในผู้ป่วยสูงอายุแต่ละรายเช่น ไม่ควรใช้ยาเมทิลโดปา (Methyldopa) ในผู้ป่วยสูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะอาจทำให้อาการของโรคซึมเศร้าแย่ลง เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล ฝันร้าย
การใช้ยาลดความดันในเด็กควรเป็นดังนี้เช่น
1. ยาลดความดันที่แพทย์นิยมใช้ในเด็กโดยเป็นยาที่สามารถลดความดันได้ดีและปลอดภัยตั้งแต่ในทารกแรกเกิดได้แก่ ยาไฮดราลาซีน (Hydralazine) และยาในกลุ่ม Calcium channel blockers เช่น แอมโลดิปีน (Amlodipine) ไนเฟดิปีน (Nifedipine) นอกจากนี้ยังสามารถใช้ยาในกลุ่ม Beta blockers ซึ่งมีการใช้มานานในผู้ป่วยเด็กได้เช่นกัน
2. ไม่ควรใช้ยาเมทิลโดปา (Methyldopa) เป็นยาตัวเลือกแรกในเด็กเนื่องจากผลข้างเคียงคือทำให้เกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล ฝันร้าย
3. ผู้ปกครองควรดูแลเด็กโดยให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วยกับการใช้ยาลดความดันเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความดันเช่น ลดน้ำหนัก ลดการบริโภคอาหารรสเค็ม รับประ ทานผักและผลไม้ ลดการดูทีวี เล่นเกมส์ และควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาทีอย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์ ี
แพทย์จะทำการรักษาความดันโลหิตสูงได้โดยดูผลวินิจฉัยของโรคเป็นหลัก เพราะโรคความดันโลหิตสูงสามารถรักษาให้หายขาดได้หกาทราบถึงสาเหตุการเกิดโรคที่แท้จริง โดยจะแตกต่างไปแล้วแต่ต้นเหตุที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ทั้งนี้ ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมในแต่ละบุคคลจะขึ้นอยู่กับสุขภาพและอายุของผู้ป่วยดังนี้
เบื้องต้นแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมการรับประทาน โดยเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เน้นผักและผลไม้ เลือกอาหารประเภทปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันอิ่มตัว หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์สีแดง อาหารไขมันสูง มีโซเดียมปริมาณมาก ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป และเลิกสูบหรี่
นอกเหนือจากการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย แพทย์อาจใช้ยารักษาควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยลดระดับความดันโลหิตให้ลดลง ซึ่งยาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงมีหลักการทำงานและออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน อาจเป็นการไปหยุดหรือลดกระบวนการทำงานของร่างกายในบางส่วน โดยจะใช้รักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
สำหรับการใช้ยาเพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต แต่ในบางรายที่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและปรับพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น เลิกสูบบุหรี่หรือลดน้ำหนักส่วนเกินลงได้เป็นระยะเวลานานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป อาจไม่จำเป็นต้องรับประทานยาไปตลอด ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำถึงระยะเวลาในการใช้ยาที่เหมาะสม ทั้งนี้ผู้ป่วยไม่ควรหยุดรับประทานยาเองในกรณีที่เกิดผลข้างเคียงขึ้น แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลข้างเคียงนั้น ๆ โดยแพทย์อาจมีการปรับเปลี่ยนปริมาณยาหรือเปลี่ยนยาชนิดใหม่ให้ทดแทน นอกจากนี้ผู้ป่วยควรมีการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ เพราะความดันโลหิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้แม้อยู่ในช่วงการใช้ยา
ทำไมต้องทานยาลดความดัน
หากไม่ได้รับการักษาหรือปล่อยให้ความโลหิตสูงเป็นเวลานาน ๆ ผู้ป่วยมักจะเกิดความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญต่าง ๆ ตามมา เช่น สมอง ประสาทตา หัวใจ ไต หลอดเลือดแดงใหญ่ และหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความพิการและเสียชีวิตได้ เนื่องจากความดันโลหิตสูงจะทำให้หลอดเลือดแดงแทบทุกส่วนของร่างกายเสื่อม เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) หลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่ได้ โดยภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญนั้น ได้แก่