ในบางครั้งจะมีการหลั่งน้ำลายออกมาได้น้อย เช่น ขณะนอนหลับภาวะทุพโภชนาการ ดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ความเครียด การเจ็บป่วยด้วยโรค ตลอดจนอาชีพที่ใช้เสียงมากๆ หรือไม่ค่อยพูด ก็จะส่งผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้
1. โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็งที่โพรงกระดูก
2. โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอดหรือมะเร็งปอด โรคของระบบขับถ่าย
นิ่วทอนซิล ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีกลิ่นปากแรงได้เหมือนกัน
นิ่วทอนซิล (Tonsillolith) หรือที่หลายคนอาจจะเรียกเป็นภาษาปากว่า ขี้ทอนซิล
มีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ ที่มีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเทาคล้ำมีลักษณะขุ่นและมีกลิ่นเหม็นรุนแรง โดยจะอยู่ที่บริเวณต่อมทอนซิลข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างพร้อมกัน อาจจะมีเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อนก็ได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับช่องว่างของต่อมทอนซิลกับอวัยวะในบริเวณใกล้เคียง
อาการของผู้ที่มีนิ่วทอนซิล หรือขี้ทอนซิล
1.มีกลิ่นปาก
2.รู้สึกเหมือนมีก้างปลาติดคอ
3.เจ็บคอ
4.เมื่อรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ จะรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรติดคอ
“ในแง่ของการมีกลิ่นปากนั้น เมื่อลมหายใจผ่านก้อนนิ่วนี้ออกมา ก็จะส่งกลิ่นเหม็น จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ เพราะเจ้าก้อนนี้จะทำให้คุณมีกลิ่นปาก
และที่สำคัญ สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก แม้ว่าคุณจะกดเจ้าก้อนนี้ออกไปแล้วก็ตาม ซึ่งพบได้ประมาณ 3-4 คน จาก 10 คน” นายแพทย์จาก รพ.ตา หู คอ จมูก กล่าว
วิธีการกำจัดนิ่วทอนซิล หรือขี้ทอนซิลนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 วิธี ดังต่อไปนี้
1.กดบริเวณที่มีขี้ทอนซิลด้วย ก้านสำลี แปรงสีฟัน ไม้แคะหูพันสำลี หรือของที่ไม่มีความคม และกดด้วยความเบามือ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
2.ให้แพทย์เป็นผู้เอาขี้ทอนซิลออกให้ และ 3.รักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งการตัดต่อมทอนซิลออก วิธีนี้จะเป็นการรักษาที่หายขาดที่สุด.