แอลกอฮอล์ เป็นสารชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านเชื้อจุลินทรีย์ (antimicrobial agent) โดยสามารถฆ่า (microbicide) หรือหยุดยั้งการเจริญเติบโต (microbiostasis) ของเชื้อได้ แอลกอฮอล์มีสามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้หลากหลาย (disinfectant) และไม่จำเพาะเจาะจง ใช้กำจัดเชื้อจุลินทรีย์บนพื้นผิวสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่มีชีวิต เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อ
แอลกอฮอล์ กับการเป็น disinfectant (ยาฆ่าเชื้อโรค)
กลไก: ขับน้ำออกจากเซลล์ รบกวนเยื่อหุ้มเซลล์โดยละลายไขมันที่อยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ และทำให้โปรตีนตกตะกอน
ข้อดี: ใช้ง่าย ราคาถูก
ข้อเสีย: ระคายเคืองผิวหนัง ระเหยเร็ว จุดเดือดต่ำ ติดไฟง่าย ทาให้โลหะเป็นสนิม เลนส์มัว พลาสติกแข็งหรือพองตัว
แอลกอฮอล์สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและลบ รวมทั้งเชื้อวัณโรค เชื้อรา และไวรัสบางชนิด โดยเฉพาะเชื้อที่มีโครงสร้างไขมันหุ้มอยู่ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์ละลายไขมัน ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เปลี่ยนสภาพ (protein denaturant) แต่ไม่มีผลต่อสปอร์
สารกลุ่มนี้สามารถใช้ได้ทั้งเป็น disinfectant และ antiseptic ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อน แต่สามารถติดไฟ ได้ดี ระเหยได้ง่ายทำให้ติดบนพื้นผิวและออกฤทธิ์เป็นระยะเวลานานไม่ได้ เมื่อละลายกับน้ำจะสามารถแพร่ ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ดีขึ้น จึงทำให้โปรตีนเสียสภาพและยังทำให้เยื่อหุ้มเซลล์แตกและเข้าไปรบกวนระบบ metabolism ได้ด้วย
แต่ถ้าเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์จะทำให้โปรตีนด้านนอกของเยื่อหุ้มเซลล์เสียสภาพได้ อย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเข้มข้นของแอลกอฮอล์น้อยลงการออกฤทธิ์ก็จะลดลง ความเข้มข้นปกติที่นิยมใช้กัน จะอยู่ในช่วง 70−90% v/v หรือ 65-85% w/w (ถ้าความเข้มข้นมากกว่านี้จะไม่สามารถเข้าเซลล์ได้) เช่น แอลกอฮอล์ผสมความเข้มข้นสูงของ 80% ethanol ร่วมกับ 5% isopropanol จะสามารถยับยั้งไวรัสที่มีเยื่อหุ้มเป็นลิปิดได้ด้วย (HIV ไวรัสตับอักเสบ B และ C) ส่วนการ disinfect บนพื้นผิวเปียกจะ
ต้อง
ใช้ความเข้มข้นมากขึ้น
นอกจากนั้นประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์จะเพิ่มขึ้นได้อีกเมื่อผสม wetting agent เช่น dodecanoate (coconut soap) เช่น ของผสม 29.4% ethanol กับ dodecanoate จะออกฤทธิ์ได้ดี กับทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส
แอลกอฮอล์ขนาดเล็กอย่าง ethanol และ isopropanol ใช้เป็น disinfectant อย่างแพร่หลาย
แต่ methanol ไม่ใช้เป็น disinfectant เพราะมีพิษอย่างยิ่งต่อคน ถ้าได้รับเกิน 10 mL ไป เมื่อย่อยเป็น formic แล้วจะมีผลทำลายประสาทตาจนตาบอดถาวรได้ และถ้าได้รับเกิน 30 mL อาจถึงตายได้
โดยทั่วไป ethanol ออกฤทธิ์ต่อไวรัสได้ดีกว่า isopropanol และนิยมใช้กันอย่าง กว้างขวางมากกว่า สามารถฆ่าเชื้อวัณโรคและไวรัสพวก herpes, influenza, rabies ได้ แต่พวกไวรัสตับอักเสบและ AIDS ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด โดยปกติจะไม่ใช้แช่เครื่องมือ เพราะจะทำให้เป็นสนิม แต่หากเติม NaNO2 (sodium nitrite) 0.2% จะช่วยป้องกัน การเกิดสนิมได้
ถ้าฉลากผลิตภัณฑ์ระบุความเข้มข้นของแอลกอฮอล์เป็น % โดยน้ำหนัก (%w/w) จะทราบได้อย่างไรว่าฆ่าเชื้อโรคได้?
แอลกอฮอล์เข้มข้น 60-90% โดยปริมาตรในน้ำ (%v/v) เทียบเท่ากับ แอลกอฮอล์ความเข้มข้น 52.1– 85.8% โดยน้ำหนักในน้ำ (%w/w) ดังตาราง ดังนั้นความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องสอดคล้องกับประกาศตามที่กล่าวข้างต้นคือ แอลกอฮอล์เข้มข้น 70 -90% โดยปริมาตรในน้ำซึ่งเทียบเท่ากับ แอลกอฮอล์เข้มข้น 62.4 -85.8 % โดยน้ำหนักในน้ำ
หมายเหตุ
แอลกอฮอล์ 95% ให้ผลฆ่าเชื้อโรคดีกว่าแอลกอฮอล์ 70% หรือไม่?
แอลกอฮอล์ 95% โดยปริมาตรในน้ำ เช่น denature ethyl alcohol 95% (DEB 95) มีปริมาณของแอลกอฮอล์สูงมาก จึงระเหยรวดเร็วมากกว่าแอลกอฮอล์ 70% โดยปริมาตรในน้ำ และมีปริมาณน้ำในส่วนผสมไม่เพียงพอที่จะดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มผนังเซลล์ของเชื้อโรค จึงไม่ใช้แอลกอฮอล์ 95% โดยปริมาตรในน้ำในการฆ่าเชื้อโรค นอกจากนี้ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่สูงนี้จะชะล้างปริมาณไขมันบนผิวทำให้ผิวแห้ง และระคายเคืองได้
ใช้แอลกอฮอล์เจลเป็นทางเลือกเดียวของการล้างมือเท่านั้นหรือ?
แอลกอฮอล์เจลใช้เป็นทางเลือกในกรณีที่ไม่สามารถล้างมือได้ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อโรค อย่างไรก็ตามวิธีการล้างมือด้วยน้ำและสบู่อย่างถูกวิธี นับเป็นวิธีทำความสะอาดที่ดีที่สุด นอกจากแอลกอฮอล์เจลแล้วยังสามารถใช้แอลกอฮอล์สเปรย์แทนได้ ที่สำคัญคือ ความเข้มข้นของเอทิลแอลกอฮอล์และไอโซโพรพิล แอลกอฮอล์ในแอลกอฮอล์เจลและแอลกอฮอล์สเปรย์ต้องอยู่ในช่วง 70 -90% โดยปริมาตรในน้ำ จึงจะมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ทั้งนี้ในสูตรตำรับของแอลกอฮอล์เจล และแอลกอฮอล์สเปรย์ควรมีสารให้ความชุ่มชื้น เช่น glycerin ประมาณ 3-5% ซึ่งช่วยทำให้ผิวไม่แห้งภายหลังการทำความสะอาด
โดยสรุป แอลกอฮอล์เข้มข้น 70-90%โดยปริมาตรในน้ำ (62.4– 85.8% โดยน้ำหนักในน้ำ) เป็นสารฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยสูง ราคาไม่แพง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่ตกค้าง ไม่ว่าจะเลือกใช้แอลกอฮอล์เจล หรือแอลกอฮอล์สเปรย์ควรระมัดระวังความถี่ในการใช้ เพราะอาจทําให้ผิวแห้ง และควรระวังในเรื่องการจัดเก็บให้พ้นแสงสว่างและความร้อน เพราะแอลกอฮอล์สามารถติดไฟได้ อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ผู้ผลิตอาจเติมสี แต่งกลิ่นในตำรับ เช่น เตรียมเป็นสารละลายใสหรือเจลสีฟ้า เพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอกเท่านั้น ห้ามรับประทาน
ที่มา: สารต้านเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข. กลุ่มพัฒนาระบบวัตถุอันตราย สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข, มิถุนายน 2558.
ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์มีมากมีหลายรูปแบบ และมีวัตถุประสงค์การใช้งานแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทการจดแจ้งของผลิตภัณฑ์ต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดังนี้
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการจดแจ้งประเภทวัตถุเสพติด
เจลล้างมือหรือผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดมือแบบไม่ต้องล้างน้ำออก มีทั้งชนิดเจล ของเหลว และสเปรย์ จัดเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางควบคุม มีส่วนประกอบสำคัญคือ แอลกอฮอล์ (alcohol) ในปริมาณน้อยกว่าร้อยละ 70 อาจมีสารฆ่าเชื้อ เช่น ไตรโคลซาน, สารที่ทำให้เกิดสภาพเจล (gelling agent) เช่น carbomer สารให้ความชุ่มชื้นลดการแห้งของผิว (emollients) เช่น ว่านหางจระเข้ (Aloe vera), tea tree oil และกลีเซอรอล, สีและน้ำหอมเป็นส่วนผสม
หากผลิตภัณฑ์มีปริมาณแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป และใช้กับผิวหนังมนุษย์ จะจัดเป็นยา เช่น แอลกอฮอล์ล้างแผล
เจลล้างมือเป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถพกพาไปใช้ได้สะดวก ทดแทนการล้างมือ ด้วยน้ำและสบู่ ลดการน้าเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจากการสัมผัส โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วมใหญ่ปลายปี พ.ศ. 2554 และเมื่อมีการระบาดของโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009, โรคมือเท้าปากเปื่อย เป็นต้น ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่มีเกณฑ์ควบคุมคุณภาพด้านประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เจลล้างมือที่วางจ้าหน่ายทั่วไปในท้องตลาด แต่หากผลิตภัณฑ์ไม่มีประสิทธิภาพในการลดเชื้อได้จริงแล้ว เมื่อน้ามาใช้อาจท้าให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้อีกด้วย
สมบัติทางกายภาพและการออกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
โดยทั่วไป แอลกอฮอล์ที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเจลล้างมือ คือ เอทานอล (ethanol หรือ ethyl alcohol) เป็นของเหลวใสไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และสามารถระเหย ได้ดี
แต่มีแอลกอฮอล์อีกชนิด นั่นคือ เมทานอล (methanol หรือ methyl alcohol ) ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ที่มีพิษ ห้ามใช้กับร่างกาย ใช้ในสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ใช้เป็นเชื้อเพลิงจุดให้แสงสว่าง หรือปนกับทินเนอร์ สำหรับผสมแลคเกอร์ เมทานอลสามารถดูดซึมได้ทางผิวหนัง ลมหายใจ หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากจะท้าให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ หลอดคออักเสบ กรณีที่มีการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาอาจส่งผลท้าให้เยื่อบุตาอักเสบ หากสูดดมเข้าไปมากๆจะท้าให้เกิด การปวดท้อง เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก หายใจล้าบาก การมองเห็นจะผิดปกติจนอาจท้าให้ตาบอดได้
การออกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะไปยับยั้งการเจริญของเซลล์แบคทีเรียหลากหลายชนิด รวมถึง ไวรัส และเชื้อรา จึงนิยมใช้ในการฆ่าเชื้อผิวหนังและพื้นผิวทั่วไป แอลกอฮอล์เป็นสารที่ท้าให้เกิดการคายน้ำ (strong dehydrating agent) ออกจากเซลล์ แล้วดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าไปท้าให้เซลล์เมมเบรนถูกท้าลายและโปรตีนเปลี่ยนสภาพอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องไปรบกวนเมตาบอลิซึมและท้าให้เซลล์ถูกท้าลายในที่สุด
โดยนิยมใช้สารละลายแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้น 70% เนื่องจากระเหยไม่เร็วเกินไปและมีปริมาณน้ำเพียงพอที่จุลินทรีย์จะดูดซึม และออกฤทธิ์ท้าลายเซลล์
ขณะที่แอลกอฮอล์ 95% - 100% จะมีการระเหยรวดเร็วมากและมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอที่จะดูดซึมเข้าไปในเซลล์เมมเบรน แต่จะท้าให้เกิดการคายน้ำ ออกจากเซลล์อย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ฆ่า และเมื่ออยู่ในสภาวะเหมาะสม จุลินทรีย์เหล่านี้ได้รับน้ำเข้าเซลล์ จะสามารถคงสภาพเดิมได้ นอกจากนี้ ยังพบว่าแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า 50% จะมีประสิทธิภาพในการท้าลายจุลินทรีย์ลดน้อยลงมาก
การควบคุมตามกฎหมาย
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สนับสนุนให้กลุ่มแม่บ้านโอทอป รวมทั้งผู้ผลิตทั้งรายย่อยและรายใหญ่ผลิต ผลิตภัณฑ์ เจลล้างมือออกมาจ้าหน่ายในท้องตลาดมากขึ้น โดยก่อนผลิตหรือน้าเข้า ให้ผู้ผลิตหรือผู้น้าเข้าเจลล้างมือจดแจ้งกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือสาธารณสุขจังหวัดได้
เนื่องจากเครื่องสำอางทุกชนิดจัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2551 กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ผู้ประกอบการผลิตหรือน้าเข้าจะต้องมาจดแจ้งกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หากผ่านการตรวจสอบเอกสารว่าส่วนประกอบในสูตรตำรับเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับต่างๆ คือ ไม่มีสารห้ามใช้หรือหากมีสารที่ควบคุมปริมาณการใช้ไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด ผลิตภัณฑ์นั้นก็จะได้ เลขที่รับแจ้ง ซึ่งจะต้องแสดง เลขที่รับแจ้งไว้ที่ฉลากของเครื่องสำอางด้วย และต้องจัดท้าฉลากภาษาไทยมีข้อความตามที่กฎหมายกำหนดอย่างครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์สารที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีใช้ ชื่อ และที่ตั้งแหล่งผลิต เดือนปีที่ผลิต ปริมาณสุทธิ ค้าเตือน และเลขที่รับแจ้ง ในส่วนการแสดงสรรพคุณที่ฉลากหรือโฆษณานั้นสามารถกล่าวอ้างความสะอาดในชีวิตประจ้าวัน ในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่มีเกณฑ์ควบคุมคุณภาพด้านประสิทธิภาพการฆ่า/ ลดเชื้อโรคของผลิตภัณฑ์ เจลล้างมือที่วางจ้าหน่ายทั่วไปในท้องตลาด
การคุ้มครองผู้บริโภค
เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับผลิตภัณฑ์เจลล้างมือที่มีประสิทธิภาพ สำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้พัฒนาวิธีทดสอบประสิทธิภาพของเจลล้างมือในการลดปริมาณเชื้อปนเปื้อน โดยให้ผลิตภัณฑ์เจลล้างมือสัมผัสกับเชื้อ เป็นเวลา 1 นาที อ้างอิงตามวิธีมาตรฐาน BSEN 1276: 2009 ทดสอบกับเชื้อมาตรฐาน 4 ชนิด ได้แก่ Staphylococcus aureus ATCC 6538, Escherichia coli ATCC 10536, Enterococcus hirae ATCC 10541 และ Pseudomonas aeruginosa ATCC 15442 และใช้วิธีที่พัฒนาขึ้นนี้ ทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เจลล้างมือที่วางจ้าหน่ายในท้องตลาดจ้านวน 26 ตัวอย่าง พบว่า มีตัวอย่างที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 8 ตัวอย่าง (ร้อยละ 30.8) ผลจากการศึกษานี้เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรฐานของประเทศไทยในด้านคุณภาพการลดเชื้อของผลิตภัณฑ์ เจลล้างมือ เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และช่วยในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เจลล้างมือต่อไป
การใช้ผลิตภัณฑ์เจลล้างมือ
1. หากใช้เป็นครั้งแรกควรทดสอบการแพ้ก่อน โดยการทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขนและทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง สังเกตความผิดปกติ ได้แก่ ผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อน บวม
2. เทผลิตภัณฑ์เจลล้างมือ 2-3 มิลลิลิตร ใส่ลงในฝ่ามือ ถูให้ทั่วทั้งสองมือเป็นเวลาประมาณ 20 วินาที และปล่อยให้แห้งในอากาศ
3. ควรเก็บผลิตภัณฑ์เจลล้างมือในภาชนะปิดสนิท ในบริเวณที่ไม่ถูกแสงแดด หรือบริเวณที่ร้อน เพราะจะท้าให้แอลกอฮอล์ระเหย และความเข้มข้นของแอลกอฮอล์อาจลดลงได้
ข้อควรระวัง
1. เจลล้างมือ มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ในปริมาณมาก สามารถติดไฟไดหากทามือแล้ว ยังไม่แห้ง ควรหลีกเลี่ยงเปลวไฟ โดยเฉพาะ ผู้สูบบุหรี่ ควรระวังเป็นพิเศษ
2. ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์เจลล้างมือกับเด็กทารก และบริเวณผิวบอบบาง เช่น รอบดวงตา และบริเวณที่ผิวอักเสบ มีสิว มีบาดแผล หากสัมผัสแอลกอฮอล์บ่อยๆ อาจท้าให้เกิด การระคายเคือง และผิวหยาบกระด้าง
การนำแอลกอฮอล์ไปใช้งาน
แอลกออฮอล์เป็นสารที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น ด้านอาหารและเครื่องดื่ม ด้านการแพทย์และสาธารณสุข และอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การนำไปใช้เป็นอาหารและเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ถูกนามาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มหลายประเภท เช่น สุรา เบียร์ โดยมีปริมาณ
ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ผสมในเครื่องดื่มแต่ละประเภท
แอลกอฮอล์ที่ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องดื่ม จะเป็นแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากกระบวนการหมัก ส่วนแอลกอฮอล์แปลงสภาพ (Denature Alcohol) ถูกใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มและอาหารบางชนิด เช่น น้าผลไม้ (Soft drink) และน้าส้มสายชูกลั่นขาว (Distilled white vinegar)
นอกจากนี้ยังนำแอลกอฮอล์มาใช้อุปโภคในรูปของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว เช่น น้ำยาบ้วนปาก สเปรย์ฉีดผม ยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด (Astringents) สบู่ล้างมือ สเปรย์กันแดด ยาแก้ไอ เครื่องสาอาง โคโลจน์และน้าหอม ใช้เป็นองค์ประกอบทาง
เคมีและเภสัชกรรม ซึ่งแอลกอฮอล์ที่ทาการแปลงสภาพ มีส่วนผสมระหว่างแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 ดีกรี หรือแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 96 ดีกรี, แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5 ดีกรี เพื่อป้องกันการรับประทาน สารที่ใช้แปลงสภาพแอลกอฮอล์ ได้แก่ Bitrex, DEP เป็นต้น
2. การนำไปใช้ทางการแพทย์ เภสัชกรรม และสาธารณสุข
แอลกอฮอล์ที่ใช้ในทางการแพทย์สามารถใช้ได้ทั้งแอลกอฮอล์แปลงสภาพบางสูตร และแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งใช้ได้ตั้งแต่แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 70 ดีกรี ถึงแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.9 ดีกรี แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ที่ถูกนามาใช้ประกอบด้วยแอลกอฮอล์หลายชนิด เช่น เมทานอล เอทานอล ไอโซโพรพานอลแอลกอฮอล์ที่กล่าวมาข้างต้น จะใช้ผลิตเป็นน้ายาสาหรับล้างแผล ฆ่าเชื้อโรค เป็นตัวทาละลายในยาแก้ไอ
3.การนำไปใช้ในอุตสาหกรรม
แอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมสามารถใช้ได้ทั้งแอลกอฮอล์แปลงสภาพบางสูตร และแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งใช้ได้ตั้งแต่แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 ดีกรี ถึงแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5 ดีกรี
แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ที่ถูกนามาใช้ประกอบด้วยแอลกอฮอล์หลายชนิด เช่น เมทานอล เอทานอล ไอโซโพรพานอล บิวทานอล เพนทานอล
แอลกอฮอล์ที่กล่าวมาข้างต้นสามารถใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตอะซิโทน เป็นตัวทาละลายเช่น การ ผลิตสีหมึกพิมพ์ น้ามัน ขัดเงา สาร เ คลือบผิว สารเคลือบแผ่นซีดีและแผ่นดีวีดี เป็นสารทาความสะอาดชิ้นงาน เช่นการทาความสะอาดชิ้นงานในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องใช้แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 96 ดีกรี และแอลกอฮอล์ 99.9 ดีกรี เนื่องจากเนื่องชิ้นงานต้องสะอาดปราศจากสิ่งปนเปื้อนหลังทาความสะอาดแล้ว
4.การนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสาหรับเครื่องยนต์อาจเป็นแอลกอฮอล์ที่มีความบริสุทธิ์ 99.5 ดีกรี หรือเรียกว่า Anhydrous Ethanol หรือแอลกอฮอล์ที่มีสารปนเปื้อน ซึ่งต้องผ่านการปรับปรุงคุณลักษณะก่อนโดยการเพิ่มค่าออกเทน หรือลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนตรัสออกไซด์ บางชนิดก่อน แอลกอฮอล์ที่นาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสามารถประกอบด้วยแอลกอฮอล์หลายชนิด เช่น เมทิลแอลกอฮอล์ เอทิลแอลกอฮอล์ โพรพิวแอลกอฮอล์ และบิวทิลแอลกอฮอล์
การผลิตแอลกอฮอล์ในประเทศไทย
ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่มีผลผลิตทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก สามารถนำวัสดุเหล่านั้นมาใช้เป็นวัตถุดิบในการนำไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์จากกระบวนการผลิตทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
จากรายงานสถานการณ์เอทานอลปี พ.ศ. 2558 และแนวโน้มปี พ.ศ. 2559 ของธนาคารแห่งประเทศไทย การผลิตแอลกอฮอล์ของไทยถือเป็นอันดับ 6 ของโลก
มีโรงงานแอลกอฮอล์ที่เปิดดาเนินการแล้ว21 แห่ง กาลังการผลิตรวม 4.4 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีโรงงานที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพื่อเตรียมเปิดดำเนินการอีก 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 1.2 ล้านลิตรต่อวัน สำหรับระยะเวลาการผลิตต่อปีประมาณ 330 วัน และระยะเวลาการซ่อมบำรุงเครื่องจักร 33 วัน ซึ่งส่วนใหญ่จะปิดซ่อมบำรุงในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมดังแสดงในตาราง
จำนวนโรงงานและกาลังการผลิตแอลกอฮอล์ปี พ.ศ. 2558
โดยการผลิตแอลกอฮอล์ของไทยในปี พ.ศ. 2558 มีปริมาณ 1,173.8 ล้านลิตร หรือเฉลี่ย 3.2 ล้านลิตรต่อวัน โดยเป็นแอลกอฮอล์ที่ผลิตจากกากน้าตาล 759.2 ล้านลิตร จากน้ำอ้อย 68.8 ล้านลิตร และจากมันสำปะหลัง 346.0 ล้านลิตร คิดเป็นสัดส่วน 64.7 : 5.8 : 29.5 ตามลำดับ
การใช้งานแอลกอฮอล์ในปัจจุบันมีแนวโน้มการใช้งานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นทั้งภาครัฐและเอกชนจึงมีการผลิตแอลกอฮอล์เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งาน โดยแอลกอฮอล์ที่มีการใช้งานภายในประเทศส่วนใหญ่แล้วได้มาจากกระบวนการผลิตทางธรรมชาติ ทำให้ได้แอลกอฮอล์บริสุทธิ์เป็นผลผลิต และจึงนำแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ไปเติมสารเคมีเพื่อให้เหมาะสมกับการนาไปใช้งานต่างๆ ซึ่งจะเรียกว่า แอลกอฮอล์แปลงสภาพ นั่นเอง
ต้นทุนการผลิตแอลกอฮอล์ของไทยที่ผลิตจากกากน้ำตาลเฉลี่ยประมาณ 24.53 บาทต่อลิตร(ราคาน้าตาลเฉลี่ย 3.59 บาทต่อกิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามราคากากน้ำตาลที่ปรับเพิ่มขึ้น ตามความต้องการการผลิตแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้น
ต้นทุนการผลิตแอลกอฮอล์จากหัวมันสดเฉลี่ย 23.52 บาทต่อลิตร (ราคาหัวมันสาปะหลังเฉลี่ย 2.15 บาทต่อกิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ต้นทุนการผลิตแอลกอลฮอล์จากมันส้นเฉลี่ย 26.43 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ราคาหัวมันสำปะหลังเฉลี่ย 6.81 บาทต่อกิโลกรัม)
การเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตแอลกอฮอล์
1) การผลิตโดยองค์การสุรา
องค์การสุราฯ เป็นผู้ที่สามารถผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์ภายในประเทศแต่เพียงผู้เดียวโดยแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ที่มีการใช้งานภายในประเทศ ได้แก่ แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 ดีกรีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 96 ดีกรี แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.8 ดีกรี แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.9 ดีกรี
และสำหรับแอลกอฮอล์แปลงสภาพ อาทิเช่น แอลกอฮอล์หัว-หาง และแอลกอฮอล์ 70 ดีกรี (น้ำยาฆ่าเชื้อโรค) ซึ่งมีจำนวนและปริมาณการจำหน่ายของแอลกอฮอล์ ของปี พ.ศ. 2558 ดังตาราง
ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์การสุราฯ ปี พ.ศ. 2557-2558
อุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ขององค์การสุราฯ ประกอบด้วย 6 อุตสาหกรรม ได้แก่
- อุตสาหกรรมยา เช่น ยาแผนโบราณ ยาแผนปัจจุบัน และกิจการทางการแพทย์
- อุตสาหกรรมอาหาร เช่น น้าส้มสายชู ซอสปรุงรส และอาหารสัตว์
- อุตสาหกรรมเครื่องสาอางค์ เช่นผลิตภัณฑ์ทาความสะอาด
- อุตสาหกรรมเครื่องมือและเครื่องจักร เช่น ผลิตภัณฑ์ทาความสะอาด
- อุตสาหกรรมสุรา เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
- อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมสี ผลิตภัณฑ์ผ้าเย็น
อุตสาหกรรมเครื่องสาอาง และอุตสาหกรรมอาหาร ตัวอย่างลูกค้าที่สาคัญขององค์การสุราฯ ได้แก่ บจก. ขายยาเพ็ญภาค บจก. แอลเอฟ บิวตี้ บจก. จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
ลูกค้าขององค์การสุราฯ ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มการแพทย์ เภสัชกรรม และสาธารณสุข กลุ่ม เครื่องสาอางและผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกาย กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสุรา และกลุ่มอื่นๆ ตัวอย่างลูกค้าสาคัญขององค์การสุราฯ
ลูกค้าสาคัญขององค์การสุราไตรมาสที่ 1-2559
2) การผลิตโดยบริษัทเอกชน
วัตถุดิบที่ใช้สาหรับผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ของบริษัทเอกชนได้แก่ กากน้าตาล กากน้าตาลและอ้อย มันสาปะหลัง และมันสาปะหลังและกากน้าตาล
ประมาณการกาลังผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ของบริษัทเอกชน ปี พ.ศ. 2559
การนำแอลกอฮอล์ไปใช้ ได้แก่ การนำไปผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เรียกว่า แก๊สโซฮอล์แบ่งออกเป็น 2 เกรด ได้แก่
- เกรดอุตสาหกรรม เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 ดีกรี (Hydrous Ethanol)
- เกรดเชื้อเพลิง เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 ดีกรี (Anhydrous Ethanol)
ส่วนในต่างประเทศแบ่งเแอลกอฮอล์เป็น 4 เกรด ได้แก่
- แอลกอฮอล์ที่มีความบริสุทธิ์สูงที่สุด (The Purest) เป็นแอลกอฮอล์สาหรับผลิตเครื่องดื่มผลิตจากการหมัก ข้าวโพด ข้าวสาลี
- แอลกอฮอล์สาหรับผลิตอาหาร (Purer) เป็นแอลกอฮอล์ที่มีโลหะหนักปนอยู่ในปริมาณที่จำกัด ผลิตได้ทั้งกระบวนการหมักและกระบวนการสังเคราะห์
- แอลกอฮอล์สาหรับอุตสาหกรรม (Pure) ผลิตได้ทั้งกระบวนการหมักและกระบวนการสังเคราะห์ และผ่านการกำจัดสารปนเปื้อนออก
- แอลแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณของสารปนเปื้อนมากที่สุด (Not-as-pure) เช่น แอลกอฮอล์ประเภทเชื้อเพลิง
การทำเจลล้างมือด้วยตัวเอง
1. สูตรเจลล้างมือแอลกอฮอล์จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสูตรนี้จะได้เจลล้างมือปริมาณ 500 กรัม
อุปกรณ์
1. เอทิลแอลกอฮอล์ 95% ประมาณ 2 ใน 3 ส่วน หรือ 370 มิลลิลิตร
2. น้ำต้มสุก 1 ใน 3 ส่วน หรือประมาณ 125.5 มิลลิลิตร
3. กลีเซอรีน 2.5 มิลลิลิตร
4. คาร์โบพอล 940 ประมาณ 1 กรัม
5. ไตรเอทาโนลามีน 1 กรัม
วิธีทำ
1. ละลายผงคาร์โบพอลในน้ำต้มสุก คนจนเข้ากันดี จากนั้นตั้งพักไว้ ให้สารพองตัวเต็มที่
2. ค่อย ๆ เติมส่วนประกอบที่เหลือ โดยเริ่มจากแอลกอฮอล์ก่อน แล้วคนทุกอย่างให้เข้ากันดี
3. นำเจลล้างมือบรรจุลงในภาชนะที่สะอาด แห้ง จากนั้นปิดฝาให้สนิท
คนที่หาซื้อเคมีภัณฑ์ไม่ได้ สามารถใช้เอทิลแอลกอฮอล์ 95% ประมาณ 2 ใน 3 ส่วน ผสมกับน้ำต้มสุก 1 ใน 3 ส่วน ให้เข้ากัน แล้วใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับทำความสะอาดมือก็ได้เช่นกัน
2. องค์การเภสัชกรรม ก็ได้แจกสูตรเจลล้างมือแอลกอฮอล์ขนาด 100 กรัม
อุปกรณ์
1. เอทิลแอลกอฮอล์ 95% ปริมาณ 68 กรัม
2. น้ำสะอาด 28 กรัม
3. กลีเซอรีน 4 กรัม
4. คาร์โบพอล 0.4 กรัม
5. ด่างไตรเอทาโนลามีน ปริมาณ 2 หยด
วิธีทำ
1. เทน้ำสะอาดลงในภาชนะผสม แล้วค่อย ๆ โรยผงคาร์โบพอลลงไปละลายในน้ำทีละน้อย จนหมด
2. เทกลีเซอรีนลงไปผสม คนให้เข้ากัน
3. เติมแอลกอฮอล์ลงไปผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน
4. เติมด่างไตรเอทาโนลามีนเพื่อปรับความหนืดของเนื้อเจล โดยค่อย ๆ คนส่วนผสมทุกอย่างอย่างช้า ๆ จนเข้ากันดี
5. บรรจุแอลกอฮอล์เจลลงในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท แล้วนำไปใช้ได้ทันที
3. สูตรทำเจลล้างมือแอลกอฮอล์จากกรมควบคุมโรค สำหรับประชาชนทั่วไป
อุปกรณ์
1. เอทิลแอลกอฮอล์ 95% ปริมาณ 340 กรัม
2. น้ำสะอาด 140 กรัม
3. โพรไพลีน ไกลคอล 20 กรัม
4. คาร์โบพอล 2 กรัม
5. ด่างไตรเอทาโนลามีน ปริมาณ 10 หยด
วิธีทำ
1. เทน้ำสะอาดลงในภาชนะผสม
2. เติมผงคาร์โบพอล 2 กรัม ลงไป
3. เติมโพรไพลีน ไกลคอลลงไป ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน
4. เทแอลกอฮอล์ลงไปผสม คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
5. เติมไตรเอทาโนลามีน 10 หยด เพื่อปรับความหนืดของเจล จากนั้นคนให้ทุกอย่างเข้ากันดี จนได้เนื้อเจ
6. บรรจุเจลล้างมือแอลกอฮอล์ลงในขวดที่เตรียมไว้ ปิดฝาให้สนิท แล้วใช้ได้ทันที
4. เจลแอลกอฮอล์สูตรนี้เป็นสูตรที่องค์การอาหารและยา (อย.) แนะนำมา โดยดัดแปลงจากสูตรเจลล้างมือขององค์การอนามัยโลก
อุปกรณ์
1. เอทิลแอลกอฮอล์ 95% ปริมาณ 833.3 มิลลิลิตร
2. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ความเข้มข้น 3% ปริมาณ 41.7 มิลลิลิตร
3. กลีเซอรีน 14.5 มิลลิลิตร
4. น้ำต้มสุก
5. ภาชนะความจุ 1,000 มิลลิลิตร
วิธีทำ
1. เทเอทิลแอลกอฮอล์ลงในภาชนะบรรจุ 1,000 มิลลิลิตร
2. เทไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ตามลงไป
3. เติมกลีเซอรีนลงไป
4. เทน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วตามลงไป จนเต็มปริมาณ 1,000 มิลลิลิตร
5. คนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันดี
6. บรรจุลงในบรรจุภัณฑ์ที่เตรียมไว้
5. สูตรนี้มาจากองค์การอนามัยโลกเช่นเดียวกันกับสูตรข้างบน เป็นสูตรสำหรับคนที่หาเอทิลแอลกอฮอล์ไม่ได้ โดยสูตรนี้ทำเสร็จแล้วจะได้เจลแอลกอฮอล์ประมาณ 500 กรัม
อุปกรณ์
1. ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ 75% ปริมาณ 751.5 มิลลิลิตร
2. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ความเข้มข้น 3% ปริมาณ 41.7 มิลลิลิตร
3. กลีเซอรีน 14.5 มิลลิลิตร
4. น้ำต้มสุก
5. ภาชนะความจุ 1,000 มิลลิลิตร
วิธีทำ
1. เทแอลกอฮอล์ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และกลีเซอรีน ลงในภาชนะบรรจุ 1,000 มิลลิลิตร
2. เติมน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วตามลงไปจนเต็มปริมาณ 1,000 มิลลิลิตร
3. คนทุกอย่างให้เข้ากันดี
4. บรรจุลงในบรรจุภัณฑ์ที่เตรียมไว้
*ข้อควรระวัง
1. หลังจากทำเจลล้างมือเสร็จแล้ว ให้ถูมือไป-มาจนกว่าแอลกอฮอล์จะแห้งไปจนหมด หลีกเลี่ยงประกายไฟในกรณีที่แอลกอฮอล์ยังระเหยไม่หมด และอย่าเป่ามือที่ยังมีแอลกอฮอล์บนผิวกับเครื่อง Hand Dryer ในห้องน้ำเพราะการฆ่าเชื้อต้องใช้เวลา
2. ควรใช้เจลล้างมือแอลกอฮอล์ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ทำ เพราะหลังจาก 30 วัน ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อของแอลกอฮอล์อาจจะลดลง จนทำให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคลดน้อยลงไปด้วย
3. ปริมาณแอลกอฮอล์ ต้องมากกว่า 70% ฆ่าเชื้อโรคได้ (ความเข้มข้นแอลกอฮอล์ 70−90% v/v หรือ 65-85% w/w)
บทความที่เกี่ยวข้อง..
- ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (novel coronavirus 2019, 2019-nCoV) รู้เท่าทันหรือยัง?
- ปกป้องร่างกาย ภูมิต้านทานแข็งแรง ด้วย..โปร-เอ็กบี Pro-xB
Cr. liquor.or.th, mahidol.ac.th, kapook.com