ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (novel coronavirus 2019, 2019-nCoV) ที่ ก่อโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ในเมืองอู่ฮั่น (Wuhan) มณฑลหูเป่ย (Hubei) ประเทศจีน เริ่มจากช่วงปลายปี ค.ศ. 2019
เปรียบเทียบความรุนแรง

โรคซาร์ (severe acute respiratory syndrome, SARS) ที่ระบาดในช่วงปี ค.ศ. 2002-2003 ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ SARS-CoV ที่เป็นไวรัสโคโรน่าข้ามสปีชีส์จากค้างคาวผ่าน civet cat (ชะมด) มาติดเชื้อในคน โดยเริ่มระบาดจากประเทศจีนและกระจายไปทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อกว่าแปดพันคน อัตราการตายร้อยละ 10 และเพิ่มเป็นร้อยละ 50 ในผู้สูงอายุ
ต่อมาในปีค.ศ. 2012-2014 ก็มีการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ชื่อ Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) ที่เป็นไวรัสโคโรน่าข้ามสปีชีส์จากค้างคาวผ่านอูฐมาติดเชื้อในคน เริ่มจากผู้ป่วยในประเทศซาอุดิอาราเบีย

ไวรัสโคโรน่า เป็นไวรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีสารพันธุกรรมเป็นอาร์เอ็นเอ และมีเปลือกหุ้มด้านนอกที่ประกอบด้วยโปรตีนคลุมด้วยกลุ่มคาร์โบไฮเดรทเป็นปุ่มๆ (spikes) ยื่นออกไปจากอนุภาคไวรัส ทำให้เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จะเห็นเป็นเหมือนมงกุฎ (ภาษาลาติน corona แปลว่า crown หรือ มงกุฎ) ล้อมรอบ

จึงเป็นที่มาของชื่อเชื้อไวรัสในกลุ่มนี้ที่มีสมาชิกหลากหลาย ติดเชื้อก่อโรคได้ทั้งในคน และสัตว์หลายชนิด เช่น สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (ม้า วัว แมว สุนัข ค้างคาว กระต่าย หนู อูฐ และสัตว์ป่าอื่นๆ) และสัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู ดังนั้น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ก่อโรคในสัตว์ทั้งระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร อาจแพร่มาสู่คนและก่อโรคในคนได้ (zoonotic infection)

ไวรัสโคโรน่าถูกแบ่งเป็น 4 ยีนัสคือ Alphacoronavirus, Betacoronavirus, ammacoronavirus และ Deltacoronavirus โดยไวรัสโคโรน่าที่ก่อโรคในคนที่ทำให้มีอาการของระบบทางเดินหายใจที่ไม่รุนแรง และมักมีการติดเชื้อแบบไม่มีอาการ จัดอยู่ในยีนัส Alphacoronavirus ส่วนไวรัสโคโรน่าที่ก่อโรครุนแรงในคนและข้ามสปีชีส์มาจากสัตว์ เช่น SARS-CoV และ MERS-CoV จัดอยู่ในยีนัส Betacoronavirus

ไวรัสโคโรน่ามีสารพันธุกรรมเป็นอาร์เอ็นเอจึงมีโอกาสกลายพันธุ์สูง และสามารถก่อการติดเชื้อข้ามสปีชีส์ได้มากขึ้นในสถานที่ที่นำสัตว์เหล่านี้มาอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น ดังเช่น ในตลาดค้าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อ SARS-CoV จาก civet cat สู่คน
เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีระยะฟักตัว 2-10 วัน (บางคนอาจพบ 24 วัน) ซึ่งทางการจีนเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการสามารถจะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างในช่วงระยะฟักตัวนี้ได้ เหมือนกับการแพร่เชื้อไข้หวัดโดยทั่วไป

รู้จักไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์เก่า-สายพันธุ์ใหม่
ข้อมูลพื้นฐาน 9 ข้อต่อไปนี้ ซึ่งอ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางน่าจะทำให้รู้จักไวรัสโคโรน่า

1. ไวรัสโคโรน่า (Coronavirus) เป็นชื่อไวรัสตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยตั้งแต่โรคไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงโรคที่รุนแรงมาก เช่น โรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) และโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) ก่อนหน้านี้พบเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ติดต่อในมนุษย์แล้ว 6 สายพันธุ์
2. ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (Novel Coronavirus 2019) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า 2019-nCoV (COVID-19) พบการติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรน่าที่ติดต่อในมนุษย์
3. ไวรัสโคโรน่าบางสายพันธุ์เป็น zoonotic infection คือไวรัสที่ติดเชื้อทั้งในสัตว์และคน ก่อนหน้านี้พบการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าจากสัตว์สู่คน เช่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส (SARS) แพร่เชื้อจากชะมดสู่มนุษย์ในประเทศจีนเมื่อปี พ.ศ. 2545
และไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคเมอร์ส (MERS) แพร่เชื้อจากอูฐสู่มนุษย์ในซาอุดีอาระเบียเมื่อปี พ.ศ. 2555 นอกจากนั้น มีไวรัสโคโรน่าอีกหลายตัวที่ระบาดในสัตว์แต่ยังไม่ติดต่อสู่คน
4. ไวรัสโคโรน่าบางสายพันธุ์ติดต่อจากคนสู่คนหลังจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่างสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส โรคเมอร์ส และสายพันธุ์ใหม่ 2019
5. ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ไม่แพร่กระจายทางอากาศ การเดินสวนกันหรืออยู่ในสถานที่เดียวกันไม่ทำให้ติดเชื้อ แต่การสัมผัสระยะใกล้ การอยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการไอ จาม แล้วมีฝอยละอองหรือมีน้ำมูกกระเด็นมาโดนจะทำให้ติดเชื้อได้
"เน้นนะครับ..สัมผัส..ไอ จาม ฝอยละออง หรือน้ำมูก ผู้ป่วย เฉกเช่นเดียวกับติดหวัด"
** ผู้ป่วยเอามือปิดปาก เวลาไอ จาม หรือมีขี้มูก แล้วสัมผัสช้อน ผนัง บันได้เลื่อน โตีะ เตียง ประตู หรือสิ่งของใดๆ แล้วคนอื่นก็ไปสัมผัสสิ่งนั้น โอกาสติดมีสูง
** ผู้ป่วยใช้หน้ากากอนามัย แต่เวลาจะถอดหน้ากากออก มือได้สัมผัสข้างในหน้ากาก แล้วได้เอามือไปสัมผัสสิ่งของ ล้วคนอื่นก็ไปสัมผัสสิ่งนั้น

6. อาการของคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าขึ้นอยู่กับไวรัสแต่ละสายพันธุ์ จะมีอาการไข้ เจ็บคอ น้ำมูกไหล จาม หายใจเหนื่อยหอบ และท้องเสีย เป็นต้น ในเคสที่รุนแรงอาจทำให้เกิดโรคปอดบวม โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ไตวาย และรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิต

ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีอาการที่คล้ายกับการติดเชื้อก็ควรรีบติดต่อแพทย์หรือไม่พื่นที่เสี่ยงก็ต้องกักตัวเอง 14 วัน..

อาการโควิดวันต่อวัน..เป็นอย่างไร?
สัญญาณ Covid-19 สรุปจาก สธ น่าพอจะช่วยกันได้บ้าง?
อาการวันต่อวัน
วันที่ 1-3
1. คล้ายหวัด
2. ปวดในคอเล็กน้อย
3. ไม่มีไข้ ไม่เหนื่อย
4. กิน/ดื่มปกติ
วันที่ 4
1. เจ็บคอเล็กน้อย
2. พูดเริ่มเจ็บในคอ
3. ไข้ดูปกติ 36.5°C
4. รบกวนกับการกิน
5. ปวดหัวเล็กน้อย
6. ท้องเสียออ่อนๆ
7. รู้สึกเหมือนเมา
วันที่ 5
1. ปวดในคอ พูด_เจ็บ
2. อ่อนเพลียเล็กน้อย
3. ปรอทไข้ 36.5° -36.7°C
3. อ่อนเพลีย ปวดข้อต่อ
วันที่ 6
1. ปรอทไข้ 37 ° C+
2. ไอแห้ง
3. ปวดคอขณะกิน/พูด
4. อ่อนเพลีย คลื่นไส้
5. หายใจลำบากเป็นครั้งคราว
6. นิ้วรู้สึกเจ็บปวด
7. ท้องร่วง อาเจียน
🙋♂️วันที่ 7
1. มีไข้ 37.4° -37.8°C
2. ไอต่อเนื่อง มีเสมหะ
3. ปวดร่างกาย/ศีรษะ
4. ท้องร่วงมาก
5. อาเจียน
วันที่ 8
1. ไข้ 38°C+++
2. หายใจลำบาก
3. ไอต่อเนื่อง
4. ปวดหัว ข้อต่อ กล้ามเนื้อ
5. ง่อยและปวดก้น
วันที่ 9
1. ไม่ดีขึ้น และแย่ลง
2. ไข้สูงมาก
3. อาการทรุดลงมาก
4. ต้องต่อสู้เพื่อหายใจ
อาการในวันที่ 9 ต้องตรวจเลือด CT Scan ทรวงอก

จากอาการที่กล่าวมาข้างต้นสำหรับเชื้อโควิด 19 ดั่งเดิมจากอู่ฮั่น และเชื้อกลายพันธ์เป็นเดลต้า..วันที่ 1-5 เหมือนว่าเชื้่อจะอยู่ที่คอเป็นหลัก..คล้ายๆ เป็นหวัด..แต่ถ้านานไป ก็จะลงปอด..แต่ถ้าอาการดีขึ้น..ก็จะเริ่มหายจากโรคนั่นเอง...แต่ก็ควรป้องกันการแพร่เชื้อด้วยนะ..

อย่างไรก็ตามโรคโควิด 19 นี้ มีการกลายพันธ์อย่างต่อเนื่อง ในประเทศที่มีการระบาดหนัก..
โควิด 19 จะมีการกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอดของเชื้อโรค จึงทำให้เชื้อโควิด 19 มีความรุนแรงและแพร่เชื้อได้ไวขึ้นด้วยเช่นกัน..ดังนั้นต้องมีการป้องกันให้ดี ทั้งฉีดวัคซีนโควิด และใส่หน้ากากอนามัย หากเชื้อลงปอดจะอันตรายอย่างมาก

ดังนั้นอาจจะแปลได้ว่าถ้ามีการดูแลหรือทำให้คอไม่อักเสบรุนแรง ในวันที่ 3-5..อาการก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ..ได้เช่นกันด้วยการทาน อาหารเสริม ยาลดไข้ ทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงเพื่อลดอาการรุนแรงของโรค..


>>คลิ๊ก!..ไอ เกิดจากอะไร?
>>คลิ๊ก!..ไข้หวัดธรรมดา ดูอย่างไรว่าธรรมดา!
>>คลิ๊ก!..ไข้หวัดใหญ่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด!




7. เนื่องจาก 2019-nCoV เพิ่งพบการระบาดในมนุษย์จึงยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ณ ตอนแรก แต่ป้จจุบัน ได้มีการทดลองและวิจัยวัคซีนหลายตัว ณ วันนี้ มีวัคซีนบางตัวที่ได้เริ่มใช้งานแล้ว..ด้วยจากมีการอนุมัติแบบฉุกเฉิน ดังนั้นจึงมีบางคนที่มีอาการแพ้รุนแรง (ประมาณ 0.3%)

8. การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังไม่มียาและวิธีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง วิธีการรักษาที่ทำอยู่ คือ รักษาตามอาการหรือเงื่อนไขทางเทคนิคของผู้ป่วยรายนั้น ๆ ซึ่งการรักษาประคับประคองตามอาการก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง สามารถรักษาผู้ป่วยหายแล้วจำนวนมาก
ถ้าภูมิคุ้มกันดีพอ มีหลายคนสามารถหายได้เอง แต่กลุ่มเสี่ยงคือกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำอยู่แล้ว โดยอาจจะเสียชีวิตจากระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือไวรัสกระจายในกระแสเลือด เป็นต้น

9. ไวรัสโคโรน่าเป็นเชื้อโรคที่กลายพันธุ์ง่าย เพราะมีโครงสร้างไม่ซับซ้อน คือมีสารพันธุกรรมประเภท RNA สายเดียว จึงเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ง่าย ส่งผลให้รับมือเชื้อยาก เพราะเชื้อโรคจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา

10. ระยะฟักตัวของโรค โดยทั่วไปโคโรน่าไวรัส จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2 ถึง 7 วัน ในทางปฏิบัติการเฝ้าสังเกตอาการหลังสัมผัสโรค หรือมาจากแหล่งระบาดของโรค เราจึงใช้ 2 เท่า คือ 14 วัน คนที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อโรคไปยังบุคคลอื่นได้


11. การกระจายของโรค จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และอำนาจในการกระจายโรค โรคที่มีความรุนแรงน้อย จะกระจายได้มากกว่า ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้ออีกจำนวนมาก ที่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ไม่ได้เป็นปอดบวมทุกราย ดังนั้นผู้ป่วยจึงสามารถเดินทางไปได้ไกล และสามารถแพร่โรค ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง และสามารถระบาดได้ทั่วโลก pandemic
7 วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัส โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1. โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ป้องกันได้โดยใช้หลักการป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจ ได้แก่ ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย และไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ


2. ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม แนะนำควรสวมหน้ากากอนามัย
3. หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี
4. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น และปฏิบัติตามคำแนะนำ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด
5. ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
6. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
7. รักษาสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรง ภูมิต้านทานจะช่วยให้หายจากโรคได้เร็วขึ้น หรืออาการป่วยไม่รุนแรงมากรศ. นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการโพสต์ข้อความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคโควิด 19 ผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า โรคนี้ไม่กระจอก แม้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 และเข้ารับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ยังคงมีอาการคงค้างอยู่ อาทิ อาการไอ, หายใจลำบาก, อ่อนล้า, เจ็บหน้าอก, อาการผิดปกติจากระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และอาการผิดปกติจากระบบประสาท เช่น ปวดหัว จำอะไรไม่ค่อยได้ ชัก ซึมเศร้า
ข้อมูลวิชาการแพทย์ PubMed จะพบว่ารายงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีจำนวนน้อยมาก
คำถามที่ 1 : ภาวะ Chronic COVID/Long COVID/COVID Long Hauler นี้พบบ่อยมากน้อยเพียงใด ?
คำตอบ : ขณะนี้เชื่อว่า ราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยโควิดที่แม้จะได้รับการดูแลรักษาจนหายแล้ว จะมีอาการคงค้าง เป็นภาวะนี้ได้ ตั้งแต่หลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน และยังไม่รู้ว่าจะยาวนานไปเพียงใด เนื่องจากโรคโควิดนี้เป็นโรคใหม่ไม่ถึงปี ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะนานเป็นปี ๆ หรือนานกว่านั้นได้
คำถามที่ 2 : มีงานวิจัยที่ทำการประเมินโอกาสเป็นภาวะนี้มากน้อยเพียงใด ?
คำตอบ : แรกเริ่มเดิมที ทีมแพทย์จากอิตาลีได้รายงานไว้ว่า มีผู้ป่วยโควิดที่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว มีอาการคงค้างอยู่ถึง 87 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นอ่อนล้า หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก ปวดข้อ ฯลฯ ต่อมา มีทีมจากสหราชอาณาจักร ที่ทำการสำรวจผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ รายงานว่ามีผู้ป่วยโควิดที่มีอาการคงค้างต่าง ๆ อยู่ราว 10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เชื่อว่าการที่สำรวจพบน้อยกว่ารายงานก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นการสำรวจในประชากรทั่วไป ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแต่ไม่ได้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
มีอีกหลายรายงานที่พบว่าโอกาสเกิดอาการคงค้างแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น อเมริกา ได้รายงานว่ามีเพียง 65 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยโควิดที่รักษาแล้วประเมินว่าฟื้นคืนไปสู่สภาวะปกติก่อนป่วยได้
ล่าสุดทีมวิจัยจากเดนมาร์กและหมู่เกาะแฟโร ได้ทำการสำรวจในผู้ป่วยโควิดที่ไม่ได้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 180 คน พบว่ามีถึง 53.1 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอาการคงค้างหลังจากเริ่มมีอาการตอนแรกเกิน 4 เดือน โดยอาการคงค้างแตกต่างกันไป ตั้งแต่อ่อนล้า ปวดข้อ ดมไม่ได้กลิ่น ลิ้นรับรสไม่ได้
แม้ยังไม่สามารถทำการวิเคราะห์อภิมานเพื่อรวมผลการประเมินโอกาสการเกิดอาการคงค้างได้ แต่เชื่อว่ามีผู้ป่วยราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ ที่จะประสบปัญหาอาการคงค้าง
คำถามที่ 3 : อาการคงค้างมีอะไรบ้าง ?
คำตอบ : ไอ, หายใจลำบาก, อ่อนล้า, เจ็บหน้าอก, อาการผิดปกติจากระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, อาการผิดปกติจากระบบประสาท เช่น ปวดหัว จำอะไรไม่ค่อยได้ ชัก ซึมเศร้า เป็นต้น
คำถามที่ 4 : หากเป็นแล้วต้องทำอย่างไร ?
คำตอบ : เนื่องจากโรคโควิดนี้เป็นโรคใหม่ และภาวะอาการคงค้างเหล่านี้ก็เป็นสิ่งใหม่ที่การแพทย์ทั่วโลกเพิ่งได้เจอ จึงยังมีความรู้ที่จำกัดมาก ส่วนใหญ่อาการคงค้างที่เกิดขึ้นก็จะได้รับการดูแลรักษาตามลักษณะของแต่ละอาการไป
ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกก็เริ่มมีแนวคิดที่จะจัดตั้งคลินิกหรือแผนกที่ดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการคงค้างหลังจากติดเชื้อโควิด เนื่องจากมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ คาดว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบในปัจจุบันน่าจะมีมากมายหลายล้านคน
..ภูมิต้านทานที่ดีและแข็งแรงของร่างกาย เป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทั้งหลาย..ดังนั้นเราควรต้องสร้างและเสริมภูมิต้านทานกันนะครับ เพื่อปกป้องตัวเราเองและคนรอบข้าง..สุ้ๆ เป็นกำลังให้เสมอ..


เพิ่มเติม..เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย

หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จะมีการใช้มากที่สุด ซึ่งจะมี 3 ชั้น หรือ 3 layers

หน้ากากอนามัยทางการแพทย์มีหลากหลายยี่ห้อ..ก่อนซื้อต้องดูอะไรบ้าง?
ฺ
BFE, VFE, PFE (PM 2.5) คืออะไร?

ข้อสังเกต..• ขนาดอนุภาคในการวัด BFE กับ VFE เท่ากัน คือ 3.0 ไมครอน
• ขนาดอนุภาคในการวัด PFE เล็กกว่ามากคือ 0.1 ไมครอน
• Mask ที่ไม่ได้วัด VFE แต่วัด BFE ก็น่าจะกรอง ไวรัสได้ ยิ่งมี PFE 99% ยิ่งน่าจะดี Cr.
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, prachachat.net, kapook.com, pta-satitprasarnmit.com/
บทความที่เกี่ยวข้อง..>> PM 2.5 ฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ ชนิดหน้ากากที่ใช้ได้ และทิชชู่ป้องกันได้จริงหรือ?
>> ปกป้องร่างกาย ภูมิต้านทานแข็งแรง ด้วย..โปร-เอ็กบี Pro-xB
>> รู้จักแอลกอฮอล์ ALCOHOL ดีแค่ไหน?>>คลิ๊ก!..ไอ เกิดจากอะไร?
>>คลิ๊ก!..ไข้หวัดธรรมดา ดูอย่างไรว่าธรรมดา!>>คลิ๊ก!..ไข้หวัดใหญ่ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด!