เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2017 ได้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสาร American Journal of Kidney Disease ชื่อ Kidney Injury and Repair Biomarkers in Marathon Runners ทำการวิจัยโดย Dr.M.D.Chiraq Parikh จากมหาวิทยาลัย Yale ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อและสาธารณชนอย่างมาก เพราะพบว่าหลังจากการวิ่งมาราธอน (44.2 กิโลเมตร)
ไตของนักวิ่ง 82% เสื่อมลงอย่างฉับพลัน (ในงานวิจัยดังกล่าวข้างต้นมีนักวิ่ง 22 คน-ผู้ชาย 9 คน ผู้หญิง 13 คน) กล่าวคือ ก่อนวิ่งค่าครีเอตินินในเลือด (ของเสียที่วัดได้จากการตรวจเลือด) เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 0.81 mg/dl ก่อนวิ่ง (เกณฑ์ปกติต้องไม่เกิน 1.0-1.1 mg/dl) มาเป็น 1.28 mg/dl หลังวิ่งมาราธอนเสร็จสิ้นลง
ก่อนที่หลายคนจะตกใจและอีกหลายคนจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการไม่ยอมวิ่ง ขอให้ตั้งใจอ่านต่อไป เพื่อเข้าใจข้อมูลและข้อสรุปให้ถูกต้องนะครับ เพราะผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำให้เราเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการทำงานของร่างกายในการออกกำลังกาย
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวถึงการตรวจเลือดเพื่อวัดการทำงานของไต ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนทำเป็นประจำทุกปี ว่าจะมีอยู่ 2 ตัวเลข คือ ระดับของครีเอตินิน (creatinine) ในเลือด ตัวที่กล่าวข้างต้น และ blood urea nitrogen (BUN) ซึ่งผมค้นพบว่าผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า ครีเอตินินจะเป็นตัวเลขที่วัดสภาวะของไตได้แม่นยำและถูกต้องกว่า BUN นายแพทย์จึงนิยมดูครีเอตินินในเลือดเป็นหลัก
แต่การวัดครีเอตินินในเลือดนั้นก็ยังเป็นวิธีวัดที่ประเมินการทำงานของไตในทางอ้อม กล่าวคือ เป็นการตรวจดูว่าของเสียในเลือดนั้น ปรับตัวสูงขึ้น หรือสูงกว่ามาตรฐานหรือไม่ โดยหากสูงเกินกว่ามาตรฐานก็จะสรุปเอาว่า เป็นผลมาจากการทำงานที่ด้อยลง หรือการเสื่อมตัวลงของไต
ประเด็นสำคัญ คือ การเพิ่มขึ้นของครีเอตินินนั้นเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุ คือ ไตทำงานได้น้อยลง หรือมีของเสียในเลือดเพิ่มขึ้น และไตยังกำจัดไม่ทันในขณะที่ตรวจเลือด ซึ่งกรณีหลังนี้เกิดขึ้นได้จาก
1.เมื่อมีการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนานจากการวิ่งมาราธอน (ซึ่งใช้เวลาเฉลี่ย 4 ชั่วโมง) ทำให้ครีเอตินินในเลือดเพิ่มขึ้น
2.การลดลงของน้ำในร่างกาย (dehydration) จะทำให้สัดส่วนของครีเอตินินในเลือดเพิ่มขึ้นเช่นกัน
แต่นักวิจัยพบว่าระดับครีเอตินินที่เพิ่มขึ้นหลังการวิ่งเสร็จนั้น ยังคงระดับสูงต่อไปเมื่อวัดอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล ดังนั้น นักวิจัยจึงตรวจการกรองของไต (glomerular filtration rate-GFR) อย่างละเอียดโดยอาศัยตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น เศษซากของเซลล์ของไต และโปรตีนอื่น ๆ ที่ขับออกมาในปัสสาวะ และพบว่ามีการเสื่อมตัวของไตจากการวิ่งมาราธอนจริง
ทั้งนี้ เพราะเวลาออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง ร่างกายจะนำเลือดไปส่งให้กับกล้ามเนื้อ แขน หัวใจ ฯลฯ ทำให้มีเลือดเหลือไปเลี้ยงไตน้อยลง โดยนักวิจัย กล่าวว่า
ในช่วงที่ออกกำลังกายนั้นเลือดที่ไหลไปให้ไตใช้จะลดลงจากปริมาณเลือดปกติที่ไตจะได้รับ แต่การวัดค่าต่าง ๆ ทำให้พบว่าไตกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วหลังการวิ่งเสร็จสิ้นภายใน 1 วัน หมายความว่าแม้ระดับครีเอตินินในเลือดจะยังอยู่ที่ระดับสูง แต่ไตได้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว เพียงแต่จะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อกำจัดครีเอตินินส่วนเกินให้หมดไป
แต่ก็ยังมีการตั้งคำถามต่อไปว่า การวิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นประจำและเป็นเวลาหลายปี อาจทำให้ไตเสื่อมลงได้หรือไม่ กล่าวคือ สมมุติว่าเดิมไตทำงาน 100% แล้วถูกกดดันและต้องฟื้นตัวบ่อยครั้ง หากแต่ละครั้งฟื้นตัวไม่เต็ม 100% (เช่น 99.5%) ก็เป็นไปได้ว่าไตจะค่อย ๆ เสื่อมตัวทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นได้ ผมคิดว่าผลงานวิจัยนี้มีข้อมูลให้ต้องนำไปคิดประกอบว่า การวิ่งไกล ๆ นาน ๆ (4-5 ชั่วโมง) ติดต่อกันนั้นอาจเป็นการใช้งานร่างกายอย่างหนักหน่วงเกินไปโดยรวมก็เป็นได้
แต่การวิ่งครั้งละประมาณ 8-10 กิโลเมตร (หรือ 1 ชั่วโมง ถึง 1.5 ชั่วโมง) สัปดาห์ละ 4-5 ครั้งนั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด ทั้งนี้ Dr.Parikh สรุปว่า “for most healthy people, implications would be minor”
ผู้ที่ควรระมัดระวัง และไม่วิ่งมากเกินไป คือผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คือโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน และผู้ที่เป็นโรคไตอยู่แล้ว เป็นต้น
อีกประเด็นที่เกี่ยวข้อง คือ ความสำคัญของการดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดน้ำของร่างกายดังที่กล่าวข้างต้น ซึ่งเรื่องนี้นักวิ่งส่วนใหญ่คงจะรับรู้ความสำคัญเกี่ยวกับการดื่มน้ำเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็พึงระวังด้วยว่าการดื่มน้ำมากเกินไป (hyponatremia) โดยมีนักวิ่งที่เสียชีวิตไปแล้วเพราะดื่มน้ำมากเกินไป (exercise-associated hyponatremia-EAH) ในสหรัฐอเมริกาจำนวน 14 คน
การดื่มน้ำมากเกินไปนั้น ทำให้ระดับของโซเดียม (sodium) ในเลือดลดลงต่ำมาก ซึ่งจะกดดันให้ไตต้องทำงานหนักในการขับน้ำในร่างกายให้ออกมา
นอกจากนั้น เซลล์จะต้องรับน้ำเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายบวม ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากมีน้ำเกินมากไปก็จะทำให้สมองบวม ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำนั้นจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้อกระตุก อ่อนล้าหมดแรง ซึมลงและคลื่นไส้อาเจียน
จะสังเกตได้ว่าหลายคนอาจเข้าใจผิดเมื่อเกิดอาการดื่มน้ำมากเกินไป โดยคิดว่าตัวเองดื่มน้ำน้อยเกินไป เมื่อรู้สึกตัวว่าอ่อนแรงลง
งานวิจัยของ Tamara New-Butler แห่งมหาวิทยาลัย Oakland ตีพิมพ์ในวารสาร Medicine & Science in Sports & Exercise เมื่อเมษายน 2013 ตรวจร่างกายของนักวิ่ง Ultramarathon ที่แคลิฟอร์เนีย พบว่าจาก 669 คนที่วิ่งระยะทาง 161 กิโลเมตรนั้น 18.5% ร่างกายขาดน้ำ (dehydrated) แต่อีก 34.9% ร่างกายมีน้ำมากเกินไป (overhydrated)
กลุ่มที่เสี่ยงจะมีปัญหาดื่มน้ำมากเกินไป คือ ผู้หญิงที่ร่างกายเล็กกว่าผู้ชาย (ร่างกายจึงต้องการน้ำน้อยกว่า) และผู้หญิงมักจะทำตามกฎเกณฑ์ (ที่บอกให้ดื่มน้ำมาก ๆ) อย่างเคร่งครัดกว่าผู้ชาย อีกกลุ่มที่มีความเสี่ยง คือ คนที่วิ่งมาราธอนอย่างช้า ๆ (ใช้เวลาวิ่งนาน 4-5 ชั่วโมง) ทำให้มีเวลาดื่มน้ำมากกว่าคนที่ใช้เวลาวิ่ง 3 ชั่วโมง ผมเองไม่เคยวิ่งมาราธอน แต่หากวิ่งก็คงจะใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง
ดังนั้น จึงไม่คิดจะวิ่งมาราธอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ่านงานวิจัยหลายชิ้น และพบว่าการวิ่งเพื่อให้สุขภาพดีและอายุยืนนั้น ควรวิ่งครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง (ซึ่งผมจะวิ่งช้า ๆ ที่ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และประมาณ 4-5 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์
ข้อแนะนำของ Runner”s World (13 มิถุนายน 2014) เกี่ยวกับการดื่มน้ำที่เหมาะสมสำหรับการวิ่ง สรุปได้ดังนี้
1.ควรดื่มน้ำก่อนการออกวิ่ง 2 ชั่วโมง และดื่มอีกเล็กน้อย (1/2 แก้ว) ก่อนออกวิ่ง
2.ผู้หญิงจะต้องการน้ำน้อยกว่าผู้ชาย ประมาณ 30% อย่าดื่มมากเกินไปเพราะจะทำให้ระดับโซเดียมในเลือดต่ำ
3.หากวิ่งไม่เกิน 1 ชั่วโมง ดื่มน้ำเปล่าก็เพียงพอ แต่หากวิ่งไกล ๆ เกิน 10 กิโลเมตร และวิ่งเร็ว ควรดื่มเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาที่เพิ่มโซเดียมและน้ำตาล หรือ maltodextrin (เป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทหนึ่งที่ให้พลังงานอย่างช้า ๆ)
4.การดื่มน้ำนั้นให้ทำเมื่อรู้สึกว่ากระหายน้ำ และดื่มน้ำทีละไม่มาก
5.ตรวจสภาพน้ำในร่างกายจากปัสสาวะ หากสีเหลืองอ่อนก็ถือได้ว่าระดับน้ำในร่างกายมีมากเพียงพอแล้ว หากสีขาวแปลว่ามีน้ำในร่างกายมากเกินไป
ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลังวิ่งมาราธอนอย่างไร?
การวิ่งมาราธอน เป็นกีฬาอย่างหนึ่ง ที่ต้องใช้ทั้งพลังกายและพลังใจอย่างมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ระยะ ฮาล์ฟมาราธอน 21 กิโลเมตร และฟูลมาราธอน 42.195กิโลเมตร
เป็นกีฬา ที่ต้องใช้ความแข็งแรง ความทนทานของกล้ามเนื้อ รวมทั้งระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวซ้ำๆเป็นเวลานาน ใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถวิ่งได้ในระยะทางและระยะเวลาที่กำหนด การฝึกซ้อมเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งพอเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะทำให้สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้แล้ว ยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการวิ่งได้อีกด้วย
นักวิ่งหน้าใหม่หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่าการวิ่งมาราธอนมีผลในด้านลบต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมที่ถูกต้อง
ระบบกล้ามเนื้อ
การวิ่งระยะยาวมีผลทำให้เกิด อาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อล้า รวมทั้งกล้ามเนื้ออักเสบ
อาการบาดเจ็บที่สำคัญ เช่น ปวดเข่า เอ็นข้อเข่าอักเสบจากการวิ่ง เอ็นรองฝ่าเท้าอักเสบ เอ็นด้านข้างต้นขาอักเสบ กล้ามเนื้อหน้าแข้ง และเอ็นร้อยหวายอักเสบ ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการฝึกซ้อม
โดยปกติคนที่เคยวิ่งมาราธอนมาก่อน จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ในการซ้อม แต่สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อาจจะต้องใช้เวลา 4 เดือน หรือมากกว่านั้น ด้วยการเพิ่มระยะเวลาวิ่ง และความเร็วอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อสัปดาห์ เพื่อให้กล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆ เพิ่มความคุ้นชินกับการลงน้ำหนัก และการเคลื่อนไหว รวมทั้งการบริหาร เพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเนื้อสะโพก และกล้ามเนื้อขา ซึ่งช่วยป้องกันการบาดเจ็บ
ในการวิ่งที่มีระยะเวลาที่ยาวนานนั้น นอกจากอาจเกิดการบาดเจ็บหลักๆที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อาการบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อล้า ซึ่งมีผลมาจากการที่ร่างกายใช้ไกลโคเจน ที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อจนหมดไป ก็สามารถพบได้บ่อยๆ โดยปกติหากร่างกายออกกำลังกายที่ความหนักระดับปานกลาง เป็นเวลา 90-180 นาที หรือ ระดับหนัก 15-30 นาที จะมีการสลายไกลโคเจนเพื่อมาเป็นพลังงาน
เพราะฉะนั้นทั้งก่อนและขณะวิ่งต้องมีการรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานที่เพียงพอ โดยการโหลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตสำหรับการวิ่ง เพื่อป้องกันการวิ่งแล้วหมดพลังงาน หรือที่นักวิ่งรู้จักกันว่า “ วิ่งชนกำแพง” และป้องกันอาการกล้ามเนื้อล้าหลังจากวิ่ง
นอกจากนี้ในระหว่างการวิ่ง กล้ามเนื้อจะเกิดการบาดเจ็บจากการฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อระดับเซลล์ (micro-tear)ตลอดการวิ่ง ร่างกายของเราจะมีกลไกซ่อมแซมและฟื้นฟูอาการเหล่านี้ได้เองหลังจากได้พัก หยุดการใช้งาน พักผ่อนให้เพียงพอและ รับประทานอาหาร อย่างเหมาะสม ซึ่งร่างกายจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังวิ่งมาราธอนเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ก่อนจะกลับมาทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง
เซลล์
การวิ่งมาราธอนส่งผลระดับเซลล์ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้น ทั้งกล้ามเนื้อที่ใช้ในการวิ่ง รวมทั้งกล้ามเนื้อหัวใจ สามารถตรวจพบเอ็นไซม์ ครีอาตินีนไคเนส ในเลือดของนักวิ่งมาราธอน หลังจากแข่งวิ่งในระดับสูง ซึ่งนอกจากมีผลต่อการอักเสบกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้อล้าแล้ว ยังจะมีผลต่อการกดภูมิคุ้มกัน
ร่างกายจึงต้องการเวลาพักฟื้นโดยประมาณ 7-10 วันเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ
ระบบภูมิคุ้มกัน
การออกกำลังกายอย่างหนัก รวมทั้งการวิ่งระยะยาวอย่างมาราธอน มีผลให้เกิดความเครียดทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ ทำให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนความเครียดเพิ่มมากขึ้น และการเกิดปฏิกิริยาการสร้างอนุมูลอิสระระดับเซลล์ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง
ในระหว่างการซ้อม จึงจำเป็นต้องมีวันพัก ไม่ควรซ้อมวิ่งติดต่อกันทุกวัน การฝึกซ้อมมากเกินไป(Overtraining) จะยิ่งทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง การหยุดเว้นวันซ้อมนอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อได้พักแล้ว ยังช่วยลดความเครียดของร่างกายลงอีกด้วย
หลังจากวิ่งมาราธอน ระดับภูมิคุ้มกันจะลดลงอย่างมาก ทำให้ติดเชื้อทางเดินหายใจและเป็นหวัดได้ง่าย โดยเฉพาะ 3 วันแรกหลังจากวิ่งมาราธอน ควรพักผ่อนอยู่บ้าน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เสริมวิตามิน ยังไม่ควรเริ่มซ้อมวิ่ง เพื่อให้ร่างกายได้พักเต็มที่ และภายใน 2-3 สัปดาห์หลังวิ่งมาราธอนไม่ควรลงแข่งรายการอื่นเพิ่ม
ระบบหลอดเลือดหัวใจ
เมื่อมีการออกกำลังกาย ส่วนต่างๆ ของร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น หัวใจพยายามบีบตัว เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เป็นผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หากไม่ได้รับการฝึกซ้อมที่เหมาะสมทำให้ ความอึด ความทนในการออกกำลังกายมีน้อย โดยเฉพาะนักวิ่งหน้าใหม่ เมื่อร่างกายต้องเจอการออกกำลังกาย ที่หัวใจบีบตัวอย่างหนักและต่อเนื่อง อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้
ในลอนดอน มาราธอน มีการรายงานผู้เสียชีวิตจากการวิ่งแล้วทั้งหมด 11 คน และ 8 คนเสียชีวิตจากหัวใจวาย หรือ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งมักพบในนักวิ่งที่ขาดการฝึกซ้อมที่ถูกต้องและเพียงพอ
“ซ้อมให้พอ พักให้พอ กินให้พอ แล้วค่อยวิ่งมาราธอน”
ถาม-ตอบ ไตวายเฉียบพลันจากการออกกำลังกาย
กรณีคนทำลดน้ำหนักแล้วขาดน้ำ มาจากไตวายเฉียบพลันได้
ส่วนใหญ่จะมาคู่กัน คือ ขาดเกลือแร่ พยายามจะลดน้ำหนัก พยายามไม่ยอมดื่มน้ำ บางคนก็กินยาขับปัสสาวะ บางคนกินยาขับปัสสาวะเพื่อจะลดน้ำหนัก ก็ทำให้ขาดเกลือแร่ด้วย และร่วมกับการที่มีการกระทบกระแทก กล้ามเนื้อโดนชกหลาย ๆ ที่ กล้ามเนื้ออักเสบ ก็ทำให้สารพวกนี้เป็นพิษต่อไต
ในแง่ของการลดน้ำหนัก ลดน้ำหนักเร็ว ๆ เยอะ ๆ ทำไมถึงมีเรื่องของไตวาย
ส่วนใหญ่คือขาดเกลือแร่ ขาดน้ำ และบางคนก็กินยาขับปัสสาวะ อันนั้นก็เป็นอันที่อันตราย
สำหรับนักวิ่ง วิ่งแล้วดื่มเกลือแร่เข้าไป มันช่วยได้ไหม
ถ้าวิ่งเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไป แนะนำให้ดื่มเกลือแร่เมื่อหิวน้ำ แต่ไม่ใช่ว่าหิวปั๊บดื่มตลอดแบบนี้ไม่ได้ เวลาหิวน้ำก็ดื่มเท่าที่จำเป็น แต่ถ้าวิ่งไม่เกิน 2 ชั่วโมง ดื่มน้ำเปล่าก็พอ
เราจะลดน้ำหนักอย่างไรที่ไม่ให้เกิดผลเสียกับไต
ทุกอย่างน่าจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป อย่าฝืนทำอะไรที่มันเร็วเกินไป หักโหมเกินไป หักดิบ บางทีก็ทำไม่ได้เพราะขาดเกลือแร่ทันที มันจะทำให้ร่างกายสูญเสียสมดุล แล้วก็หน้ามืดเป็นลม เลือดไม่ไปเลี้ยงไต เลือดข้นต่าง ๆ ปัจจัยเหล่านี้มันทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน บางคนไปกินยาขับปัสสาวะ อันนี้อันตรายมาก
ถ้าเราค่อย ๆ ทำทีละน้อย ๆ ร่างกายมีการปรับตัว การลดน้ำหนักเป็นการลดเฉพาะไขมัน เหลือเฉพาะกล้ามเนื้อและปริมาณน้ำให้พอเหมาะจะดีกว่า ถ้าลดทั้งไขมันด้วย ลดทั้งเกลือแร่ด้วย ลดทั้งน้ำด้วยอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่กี่วันหรือเป็นชั่วโมงนี่ยิ่งอันตราย ค่อย ๆ ลดน้ำหนัก และที่สำคัญคือ ถ้าลดไขมัน ไม่เป็นไร ไม่อันตราย
แนะนำวิธีในการดูแลไตของเรา ให้อยู่ไปนาน ๆ แข็งแรงไปนาน ๆ
ถ้าโรคไตวายเฉียบพลัน ก็คือต้องทำงานให้พอเหมาะ ปริมาณเกลือแร่ให้พอเหมาะ อย่าไปกินมาก อย่ากินเค็มมาก อย่ากินเค็มน้อยเกินไป แต่ถ้าในคนไข้ระยะเรื้อรัง คนไข้เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ต้องกินเกลือให้พอเหมาะ อย่ากินเยอะ อย่ากินเค็ม และอย่าไปซื้อยาที่มีพิษต่อไตมากินเอง แล้วก็ออกกำลังกาย อย่าให้น้ำหนักเยอะ อย่าให้อ้วน ถ้าอ้วน โรคเบาหวาน ความดันจะมา
การกินเค็มส่งผลกับไตอย่างไร
ปกติกินเค็มคือกินเกลือเข้าไป เกลือนี่ต้องขับออกทางไตกว่า 90% เพราะฉะนั้น ถ้ากินเค็มมาก ไตก็ต้องขับมาก ก็ทำงานหนักเหมือนกับเครื่องยนต์ ถ้าเราใช้มาก ๆ เครื่องยนต์ก็จะพังเร็ว แทนที่จะใช้ได้อายุ 80-90 อายุ 60 ก็ไตวายแล้ว เพราะว่ามันทำงานหนักอยู่ 60 ปี
เกลือคือตัวโซเดียม แต่ว่ามีเกลือที่ไม่เค็มบางตัว เช่น ผงชูรส ซุปก้อน ผงปรุงรส อันนั้นเป็นเกลือที่ไม่เค็ม
แล้วดื่มน้ำเข้าไปช่วยไหม
เกลือก็ออกทางปัสสาวะอยู่ดี เกลือก็ต้องขับไปที่ไตอยู่ดี ไตก็ทำงานหนักอยู่ดี แต่ว่ามันจะออกได้เร็วขึ้น มันจะคั่งค้างในตัวได้สั้นลง มันจะเจือจาง ถ้าเกิดเราไม่กินน้ำ มันจะออกในเวลาวันหนึ่งกว่าจะออกหมด แต่ถ้าเรากินน้ำเยอะ ๆ มันอาจจะออกใน 6 ชั่วโมง ออกหมดแล้ว มันก็จะขับเกลือออกไปได้เร็วขึ้น มันช่วยในชั่วคราว คือมันช่วยลดปริมาณเกลือในร่างกายให้ออกไปเร็วขึ้นเท่านั้นเอง เจอบ่อยมาก ไปเที่ยวต่างประเทศ กินเลี้ยงทุกมื้อ ความดันขึ้นเลย เจอบ่อย คือเนื้อสัตว์อะไรที่อยู่ได้เกินวัน มันต้องใส่เกลือ ไม่อย่างนั้นมันเสีย
แนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ แล้วมื้อต่อไปเบาเค็มลง กินให้จืดลงหน่อย เพื่อจะให้ไตได้พักบ้าง