กลูตาไธโอน (Glutathione) ดีอย่างไร?
กลูตาไธโอน (Glutathione) จัดเป็นสารชีวสังเคราะห์ (Biosynthesis) ที่ร่างกายมนุษย์สามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยใช้โปรตีนจากอาหารที่รับประทานเข้าไปมาเป็นสารตั้งต้น กลุ่มโปรตีนดังกล่าวคือ L-Cysteine, L-Glutamic Acid และ Glycine ในร่างกายมนุษย์สามารถพบสารกลูตาไธโอนที่อยู่ภายในเซลล์ต่างๆได้ โดยเฉพาะในเซลล์ตับจะพบสารนี้เป็นจำนวนมาก
หน้าที่ของกลูตาไธโอน
กลูตาไธโอนกับอาหารเสริม
จากการวิจัยพบว่าการรับประทานสารกลูตาไธโอนโดยตรง ไม่ค่อยจะได้ประโยชน์นัก ด้วยการดูดซึมเข้าร่างกายมีน้อย ดังนั้น ในทางคลินิก/ทางการแพทย์จึงไม่ค่อยใช้กลูตาไธโอนโดยการรับประทาน แต่กลับแนะนำว่า การได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายสร้างสารกลูตาไธโอนได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ร่างกายสังเคราะห์กลูตาไธโอนได้เอง และจะก่อให้เกิดประ โยชน์มากกว่าการรับประทานกลูตาไธโอนโดยตรง
สารอาหารอย่างง่ายๆที่เรารับประทานและสามารถเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนได้ เช่น โปรตีนจากนมที่เรียกว่า หางนม (Whey Protein) ได้มีการวิจัยและพบว่า การได้รับประทาน Whey Protein ในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้เพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนในเซลล์ได้มากขึ้น นอกจาก นั้น อาหารอื่นๆที่ร่างกายนำมาช่วยการสร้างกลูตาไธโอน เช่น ธัญพืช หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำ ผักโขม หอม บรอคโคลิ ขิง อะโวคาโด ไข่ นม โยเกิร์ต และเนื้อสัตว์อื่นๆ
เคยมีผู้ทำการวิจัย โดยเพิ่มสารกลูตาไธโอนเข้าไปในเซลล์ของอวัยวะต่างๆที่ได้ รับบาดเจ็บ พบว่าสามารถเพิ่มระดับการป้องกันการก่อตัวของมะเร็งในอวัยวะนั้นๆ เช่น
ไขกระดูก
เต้านม
ลำไส้ใหญ่กล่องเสียง
และปอด
การศึกษาพบว่า กลูตาไธโอนยับยั้งการสร้างเม็ดสี (Melanogenesis) ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่นผิวหนัง จึงทำให้เนื้อเยื่อต่างๆเหล่านั้นมีสีจางลง
ในบางประเทศแถบเอเชียได้พยายามนำกลูตาไธโอนผสมลงในสบู่ เพื่อวัตถุประสงค์ทำให้ผิวขาว ด้วยความเชื่อว่าสารนี้ไปยับยั้งกระ บวนการสร้างเม็ดสีของร่างกาย ซึ่งผู้บริโภคควรต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า ข้อมูลที่ได้รับทราบมา มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือเพียงใด
กลูตาไธโอนในรูปแบบของยาฉีด ในประเทศไทยยังไม่ได้การรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา อาจพบเห็นได้จากการนำเข้ามาเอง การฉีดต้องอาศัยบุคลากรทางการแพทย์และมีวิธีการที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพ และอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ยาเฉียบพลันรุนแรง ส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลงจนเกิดภาวะช็อก (Anaphylaxis) และเสียชีวิตได้ ดังนั้น การเลือกหรือสรรหาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น ทำให้ผิวขาวขึ้น ควรต้องพิจารณา และมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ผลที่เกิดขึ้นนั้นมีอยู่อย่างถาวรหรือชั่วคราว และมีอัน ตรายอื่นๆแอบแฝงหรือไม่
ข้อจำกัดและข้อควรระวังในการนำ กลูตาไธโอน มาใช้ในรูปแบบของอาหารเสริม และ/หรือ การทำให้ผิวหนังขาว
ปัจจุบัน การศึกษาในเรื่องของการนำกลูตาไธโอนมาใช้ ในรูปแบบของอาหารเสริม และ/หรือทางด้านเวชสำอาง (การทำให้ผิวขาว) ยังมีน้อยมาก จำนวนผู้ที่นำมาศึกษายังมีจำนวนน้อยมากเช่นกัน และเป็นการศึกษาโดยใช้กลูตาไธโอนในระยะเวลาสั้นๆ ในปริมาณไม่สูงนัก ซึ่งติดตามผลการใช้ในระยะเวลาสั้นๆเช่นกัน ดังนั้น ประโยชน์และผลข้างเคียงหรือพิษ ในระยะยาวของกลูตาไธโอน จึงยังไม่ทราบแน่นอน ชัดเจน แต่แพทย์ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า ไม่ควรใช้กลูตาไธโอน ในหญิงตั้งครรภ์และในหญิงให้นมบุตร เพราะอาจก่อผลไม่พึงประสงค์ต่อทารกได้
นอกจากนั้น อันตรายจากการฉีดกลูตาไธโอน โดยเฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ คือการแพ้ยารุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ดังกล่าวแล้ว รวมทั้งการต้านการสร้างเม็ดให้สีในผิวหนัง (ซึ่งเม็ดสีเป็นตัวปกป้องผิวหนังจากพิษของแสงแดด) ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ดังนั้น ผู้ใช้สารกลูตาไธโอน จึงต้องตระหนักถึงผลลัพธ์เหล่านี้ด้วย
รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
กลูตาไธโอน (Glutathione) นับเป็นสารมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ร่างกายคนเราสามารถผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ มีคุณอนันต์ต่อสุขภาพ ผู้ที่แข็งแรงและมีอายุยืนยาว จะสามารถตรวจพบสารกลูตาไธโอนในร่างกายในปริมาณสูง ตรงกันข้ามกับคนป่วยและผู้ที่สุขภาพไม่ดี จะพบว่าปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายต่ำมาก
เรามาทำความรู้จักกับสารชนิดนี้ให้เข้าใจมากขึ้น ทำอย่างไรให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอนได้เองมากๆ ให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากจะช่วยชะลอวัยแล้ว ยังช่วยให้อายุยืนยาวอีกด้วย
สารกลูตาไธโอน คืออะไร
เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยกรดอมิโนที่สำคัญ 3 ชนิดรวมตัวกันอยู่ คือ ซิสเตอิน (Cystein) ไกลซิน (Glycine) และ กลูตาเมท (Glutamate)
เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายสามารถผลิตกลูตาไธโอนได้เอง และถูกผลิตมากที่สุดที่ตับ ปอด ไต ม้าม ตับอ่อน และเลนส์แก้วตา สารมหัศจรรย์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หน้าที่สำคัญ 4 ประการคือ
เรารู้แล้วว่า..กลูตาไธโอน (Glutathione) มีประโยชน์อย่างสูงในร่างกาย..แต่จะเริ่มน้อยลงตั้งแต่อายุ 20 ปี ขึ้นไป..และจะลดลงเรื่อยๆ ร่างกายมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้แล เมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีโรคต่างๆ มาเยือนเป็นนิจ..ก็จะเหลือเพียง..ใครบางคนเท่านั้นที่เห็นทางออกและหาหนทางที่จะป้องกันตัวเอง หรือดูแลตัวเองมากขึ้น..เพื่อจะได้อยูได้นานกว่าคนอื่นๆ..