อาการความดันโลหิตต่ำ
1. เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
2. มองเห็นไม่ชัด ตาลาย
3. คลื่นไส้
4. สับสน
5. ใจสั่น
6. ผิวซีด
7. ผิวหนังเย็นหรือชื้นผิดปกติ
8. เสียการทรงตัว
9. ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลียง่าย
10. ชีพจรเต้นเร็ว
11. เป็นลม หรืออาจเกิดอาการช็อกได้หากภาวะความดันต่ำมีความรุนแรงมาก
12 หูอื้อ
13. ปวดหลัง หรือบั้นเอว
14. สมองล้า ขี้ลืม ไม่มีสมาธิ สมองถูกบีบคั้น
15. มือเท้าเย็น
16. โรคความดันโลหิตต่ำมากก็อาจถึงขึ้นเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
17. ปวดแสบปวดร้อน หรือท้องเดิน ท้องผูก มีแก๊สสะสมในลำไส้ ท้องอืดท้องเฟ้อ
18. ประจำเดือนมาผิดปกติ
ซึ่งอาการเหล่านี้อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายและชีวิตของผู้ป่วยได้ ดังนั้น ผู้ป่วยควรสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเอง เพื่อตรวจรักษาได้ทันท่วงที และหาวิธีดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม
ความดันต่ำเป็นอย่างไร ?
ทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง เลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ง่ายต่อการเกิดลิ่มเลือดทำให้หลอดเลือดอุดตัน หลอดเลือดฝอยส่วนปลายในร่างกายขาดเลือดไปเลี้ยง
รวมท้งเกิดการคั่วของคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียจากกระบวนการเมตาบอลิซึมและที่สำคัญคือ อาจจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสมองเนื่องจากขาดออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หน้ามืด ขี้หลงขี้ลืมสมองล้า ไม่มีสมาธิฯลฯ

หากไม่มีการบำบัดอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง ความสามารถในกาองมองเห็นและการได้ยินลดลง อ่อนเพลียซึมเศร้าก่อให้เกิดอาการอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุหรือเป็นตัวเร่งอาการให้หนักขึ้นหรืออาจส่งผลให้หกล้มเนื่องจากเป็นลม ทำให้กระดูกหักได้ อีกทั้งเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย
การวัดค่าความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงมีค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic Pressure) เป็นแรงดันในขณะที่หัวใจกำลังบีบตัวหรือสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และค่าความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Pressure) เป็นค่าแรงดันในขณะที่หัวใจกำลังคลายตัว โดยระดับ ความดันโลหิตปกติจะอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท

ส่วนภาวะความดันโลหิตต่ำ แพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะนี้ต่อเมื่อมีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท
แล้วมีอาการป่วยแสดงออกมา สำหรับผู้ที่มีความดันต่ำ แต่ไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ ในทางการแพทย์ยังจัดว่าสุขภาพเป็นปกติดี ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา
ความดันต่ำ สาเหตุคืออะไร
- ภาวะขาดน้ำ ขาดเกลือแร่ ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดไม่คล่องตัว เลือดกลับสู่หัวใจน้อยลง หัวใจบีบตัวลดลง ความดันโลหิตจึงต่ำ
- ภาวะเสียเลือดมาก เลือดหมุนเวียนกลับหัวใจไม่ทัน หัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดลดลง ส่งผลให้ความดันโลหิตตก
- ภาวะโลหิตจาง ภาวะความเข้มข้นเลือดลดลงจากปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลง ส่งผลให้ปริมาตรในภาพรวมของเลือดผิดปกติ ความดันต่ำได้
- ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่า จากการอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ เลือดไหลไปคั่งในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เมื่อเปลี่ยนท่าจึงไหลเวียนกลับเข้าสู่หัวใจไม่ทัน ก่อให้เกิดภาวะความดันต่ำ มีอาการวูบ หน้ามืด เป็นต้น

- ภาวะอิ่มจัด กินอาหารมากเกินไป ทำให้เลือดต้องไปเลี้ยงกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มขึ้น จึงขาดปริมาณเลือดโดยรวมในการไหลเวียนในกระแสโลหิต เลือดจึงกลับเข้าหัวใจน้อยลง ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตต่ำได้
- ผลข้างเคียงของโรคที่เป็น เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคความจำเสื่อมบางชนิด ซึ่งมีสาเหตุมาจากระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของเลือดและหัวใจทำงานผิดปกติไป ส่งผลให้ความดันเลือดต่ำกว่าปกติไปด้วย รวมไปถึงโรคต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไทรอยด์ โรคของต่อมหมวกไต หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และภาวะหัวใจบีบตัวผิดปกตืในผู้ป่วยโรคหัวใจ เป็นต้น
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาขับน้ำ ยาลดความดันโลหิตสูง ไวอะกร้า หรือยาทางจิตเวชบางตัว
- การแพ้ยา แพ้อาหารอย่างรุนแรง ส่งผลให้หลอดเลือดทั่วตัวขยายทันที ร่วมกับมีของเหลว/น้ำในเลือดซึมออกนอกหลอดเลือด จึงเกิดการขาดเลือดไหลเวียนในกระแสโลหิต ความดันโลหิตจึงต่ำลง
- ความกลัว ภาวะหดหู่ ตกใจ ซึ่งอาจเกิดการกระตุ้นของวงจรประสาทอัตโนมัติ ทำให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานช้า ความดันเลือดก็จะต่ำลง
- การหยุดพักทันทีขณะออกกำลังกายอย่างหนัก ส่งผลให้เลือดกลับคืนสู่หัวใจได้ช้าลง ส่งผลให้ความดันต่ำและอาจมีอาการวูบ หมดสติได้

- การตั้งครรภ์ เนื่องจากร่างกายต้องเพิ่มเลือดในการหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ ทำให้การไหลเวียนเลือดและปริมาตรของเลือดไม่สมดุล ความดันเลือดจึงต่ำได้
- ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ส่งผลให้เกิดหลอดเลือดขยายตัวมากขึ้นพร้อมๆกัน รวมทั้งเกิดการล้มเหลวในการทำงานของหัวใจและปอด จึงส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ อันตรายถึงชีวิตได้
- ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงของปอด
- ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติเพราะอัตราการส่งเลือดออกจากหัวใจลดลง
- หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

- กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ - มีการขยายตัวของหลอดเลือดมากเกินปกติเนื่องจากโรคภูมิแพ้
- การเจ็บป่วยของร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ โรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ วัณโรค โรคหัวใจรูมาติก ขาดสารอาหารเรื้อรัง ยาลดความดันโลหิต ยากกล่อมประสาท ยาต้านโรคซึมเศร้า เป็นต้น
ความดันต่ำ รักษาอย่างไร
วิธีรักษาความดันต่ำสามารถทำได้โดยการเพิ่มความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตามสาเหตุ เช่น ให้น้ำและเกลือแร่ทางหลอดเลือดดำเมื่อเกิดจากภาวะขาดน้ำ การให้เลือดเมื่อเสียเลือดมาก หรือการให้ยาเพิ่มความดันโลหิต หรือยาเพิ่มการบีบตัวของหลอดเลือด เมื่อเกิดจากหลอดเลือดขยายตัวผิดปกติ
ความดันต่ำ ดูแลตนเองอย่างไร ?
เมื่อพบว่าตนเองมีอาการของภาวะความดันต่ำ ผู้ป่วยควรหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ ให้นั่งพักหรือนอนลง ดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ หากเวียนศีรษะให้นั่งลงแล้วก้มศีรษะไว้ระหว่างหัวเข่า เพื่อช่วยให้ความดันโลหิตกลับเป็นปกติ โดยอาการมักจะดีขึ้นภายในไม่กี่นาที
นอกจากนั้น อาจปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อป้องกันและดูแลตนเองจากอาการป่วยของภาวะความดันต่ำ
- ควรลุกจากที่นั่งหรือลุกออกจากเตียงช้า ๆ โดยเฉพาะเวลาตื่นนอนตอนเช้า หากกำลังนอนอยู่ผู้ป่วยอาจขยับเท้าขึ้นลงเพื่อช่วยการไหลเวียนโลหิต จากนั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ อาจนั่งที่ขอบเตียงก่อนแล้วจึงค่อยยืนขึ้น และผู้ป่วยอาจเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจและการไหลเวียน
- โลหิตของร่างกายได้ เช่น ยืดเหยียดร่างกายบนเตียงก่อนลุกขึ้นยืน หรือหากกำลังนั่งอยู่และจะลุกขึ้นยืน ให้ไขว่ห้างสลับขาไปมาก่อนแล้วค่อยลุกขึ้น
- หลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานาน จะช่วยป้องกันความดันต่ำประเภทที่เกิดจากการยืนเป็นเวลานาน (Neurally Mediated Hypotension) หรือความดันต่ำจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างสมองและหัวใจ
- รับประทานอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง แทนการรับประทานอาหารปริมาณมากในครั้งเดียว เพื่อป้องกันความดันต่ำชนิดที่เกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร (Postprandial Hypotension) หรือเอนตัวนอนหรือนั่งลงสักพักหลังรับประทานอาหารอาจช่วยบรรเทาอาการลงได้
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณเลือด และป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ
- หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา ช็อกโกแลต โดยเฉพาะในเวลากลางคืน

- งดหรือจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความดันโลหิตต่ำ
- สวมถุงน่องที่กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เป็นถุงน่องชนิดที่บีบรัดให้เกิดแรงดันบริเวณเท้า ขา และท้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและเพิ่มระดับความดันโลหิต แต่ถุงน่องชนิดนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยทุกราย จึงควรขอคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้งานเสมอ
หากดูแลตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ โดยแพทย์มักรักษาตามสาเหตุที่ทำให้ความดันต่ำ เช่น

- ให้ยารักษาความดันโลหิตต่ำ เช่น ยาฟลูโดรคอร์ติโซน ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย มักใช้รักษาความดันต่ำที่เกิดจากการยืนหรือการเปลี่ยนท่าทาง และยามิโดดรีน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความดันโลหิต ในกรณีที่ผู้ป่วยความดันต่ำเรื้อรังจากการยืนหรือการเปลี่ยนท่าทาง
- รักษาโรคที่เป็นสาเหตุของความดันต่ำ เช่น หากความดันต่ำจากความผิดปกติของฮอร์โมน แพทย์อาจส่งตัวผู้ป่วยให้ผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิทยาต่อมไร้ท่อ ซึ่งผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาด้วยยาทดแทนฮอร์โมน ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อ หรือใช้ยารักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น
- หากแพทย์วินิจฉัยว่าความดันต่ำจากการใช้ยาบางชนิด แพทย์อาจปรับปริมาณยา หรือให้เปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่น ๆ แทน และหากผู้ป่วยกำลังใช้ยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ความดันต่ำ ควรตรวจวัดความดันเป็นระยะ หรือไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ยา
นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเพิ่มระดับความดันโลหิตด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

- ควบคุมอาหาร โดยรับประทานอาหารน้อยลงกว่าปกติ และแบ่งเป็นหลายมื้อ จำกัดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ควรนั่งพักหลังรับประทานอาหาร และหลีกเลี่ยงการรับประทานยาลดความดันก่อนมื้ออาหาร
- รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของเกลือ เพราะโซเดียมจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น แต่ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เสมอ เนื่องจากอาหารที่มีเกลืือมากเกินไปอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางประเภท
- หากอยู่ในสภาพอากาศร้อน หรือป่วยด้วยการติดเชื้อไวรัส เช่น เป็นหวัด หรือไข้หวัด ให้ดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อทดแทนน้ำที่เสียไปจากร่างกาย
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นประจำ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
- ระมัดระวังเมื่อต้องเปลี่ยนอิริยาบถไปท่าอื่น โดยเฉพาะขณะลุกขึ้นยืนจากท่านั่งหรือนอน
- หลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานาน และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
- ขณะขับถ่าย ไม่ควรเกร็งท้องหรือตึงเครียดมากเกินไป
- ควรยกระดับศีรษะในขณะนอน อาจใช้ก้อนอิฐหรือแท่งไม้วางรองไว้ใต้หมอน เพื่อช่วยให้ศีรษะอยู่สูงกว่าปกติ
- ไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับน้ำร้อนเป็นเวลานาน เช่น ไม่แช่น้ำร้อนหรือทำสปาเป็นเวลานาน หากรู้สึกเวียนศีรษะให้นั่งลง และอาจเตรียมเก้าอี้แบบกันลื่นไว้ในห้องน้ำด้วย
ความดันต่ำ กินอะไรดีหากมีอาการความดันต่ำ ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยในการไหลเวียนของเลือด และควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือหากมีภาวะโลหิตจางก็ควรกินอาหารบำรุงเลือดควบคู่ไปด้วย
อาหารที่คนเป็นโรคความดันต่ำควรรับประทาน
1. เครื่องดื่มประเภทชาต่าง ๆ
ชาโสมและชาขิงช่วยแก้อาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้เลือดสามารถไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายได้ดี ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่เหนื่อยง่าย

2. ผลไม้ที่มีวิตามินซี
เช่น มะขามป้อม ส้ม มะม่วง สตรอว์เบอร์รี ช่วยลดความดันต่ำ ควรรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการเวียนศีรษะจากอาการของโรคได้

3. อาหารประเภทเนื้อสัตว์
ปลาซาร์ดีน สาหร่ายทะเล หอยนางรม ตับและไตของสัตว์ อาหารเหล่านี้ช่วยลดภาวะการขาดเลือดอย่างฉับพลัน ช่วยให้เลือดไปบำรุงร่างกายได้ดียิ่งขึ้น

4. วิตามินอีในผลไม้บางชนิด
ผลไม้สุกที่มีรสหวาน เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มะละกอสุก กล้วยไข่ มะปรางหวาน สับปะรด สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคความดันต่ำได้

5. ธัญพืชต่างๆ
ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ลูกเดือย ขนมปัง มันฝรั่ง ถั่ว ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เลือดเป็นลิ่มน้อย บรรเทาอาการของโรคได้ดี

6. ผลไม้อบแห้ง
ลูกพรุน ลูกเกด ทานตะวัน อินทผาลัม กล้วยตาก ผลไม้แบบแห้งจะมีโพแทสเซียมมาก เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคความดันต่ำ รับประทานในเวลาว่างจะช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย เป็นต้น
สิ่งที่ต้องรับประทานเพิ่มเติมนอกเหนือจากอาหารประจำวัน
1. เน้นอาหารประเภทโปรตีน
ร่างกายของผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันต่ำส่วนหนึ่งมาจากการขาดโปรตีนในร่างกายและอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย การเติมโปรตีนจากสัตว์และโปรตีนจากธรรมชาติ เช่น ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่วต่าง ๆ จะช่วยลดอาการความดันต่ำที่มีอยู่ได้เช่นกัน
2. รับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินบีต่าง ๆ เช่น วิตามินบี 1 , วิตามินบี 12
3. รับประทานอาหารเสริมประเภทแคลเซียม, วิตามินอี เป็นต้น
สมุนไพรรักษาโรคความดันต่ำ
สมุนไพรไทยในการรักษาความดันต่ำเหมาะกับการใช้เป็นตำรับยา หมายถึง การใช้สมุนไพรหลายตัวประกอบกัน ซึ่งจะมีสมุนไพรบางตัวเป็นยาหลัก บางตัวเป็นตัวยารอง แต่เมื่อประกอบกันแล้วจะเป็นตำรับที่ลงตัว สำหรับตำรับยาสมุนไพรที่เหมาะกับการรักษาโรคความดันโลหิตต่ำ

สูตร1
ได้แก่ เทียนทั้ง 5 หรือเบญจเทียน (ประกอบด้วย เทียนดำ, เทียนแดง, เทียนขาว, เทียนข้าวเปลือก และเทียนตาตั๊กแตน) และโกฐกระดูก
1. เทียนดำเมล็ดมีสรรพคุณบำรุงโลหิต ช่วยในเรื่องระบบการหมุนเวียนของเลือด สามารถใช้เป็นยาฟอกเลือดได้ ช่วยรักษาโรคไขมันในเลือดสูง รวมถึงสามารถนำไปผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ เพื่อใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน
2. เทียนแดง สรรพคุณของเทียนแดงนั้นเป็นยาเย็น สามารถบำรุงรักษาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ปอด หัวใจ ม้ามกระเพาะปัสสาวะรวมถึงสามารถลดไขมันในเลือดได้
3. เทียนขาว นอกจากจะเป็นตำรับยาแก้อาการความดันโลหิตต่ำแล้ว สรรพคุณของเทียนขาวนั้นมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยขับเสมหะ ใช้ปรุงเป็นยาหอม ใช้ผสมกับยาระบายช่วยแก้อาการปวดมวน ใช้เป็นยาฝาดสมานแก้อาการท้องเสีย ฯลฯ จึงมักปรากฏเทียนขาวในตำรับยาหลายสูตร
4. เทียนข้าวเปลือกมีสรรพคุณโดยรวมเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยขับลม แก้อาเจียน บำรุงโลหิต และใช้ในตำรับยาหอม รักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต จัดอยู่ในตำรับยาพิกัดเทียนหลายตำรับ
5. เทียนตาตั๊กแตน มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน แก้ลมจุกแน่นใน
6. โกฐกระดูก คือส่วนของรากที่นำมาใช้เป็นยา มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมยาวเป็นรูปกระสวยคล้ายกระดูก สรรพคุณมีหลากหลาย สามารถบำรุงรักษาอาการที่เกี่ยวกับปอดกระเพาะอาหารลำไส้ใหญ่ตับ และเป็นยาบำรุงโลหิตได้ด้วย
วิธีการรับประทาน
ในส่วนของวิธีการใช้สมุนไพรนั้น สามารถนำไปปรุงได้หลากหลายรูปแบบ หรือบดทำเป็นยาลูกกลอน หรืออัดใส่แคปซูลแล้วรับประทานวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็นก็ได้ หรือหากนำไปต้ม ควรใช้หม้อดิน หม้อเคลือบ หรือจะเป็นหม้อสแตนเลสก็ได้ แต่ที่ไม่แนะนำคือหม้ออะลูมิเนียม
ส่วนวิธีการต้มนั้นก็เพียงนำเอาสมุนไพรที่หาได้ทั้งหมดมาต้มรวมกัน โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที อาจเพิ่มเวลานิดหน่อยได้หากมีสมุนไพรส่วนที่เป็นแก่นไม้ วิธีการรับประทานนั้น สามารถรับประทานน้ำสมุนไพรได้ทุกวันในปริมาณครึ่งแก้วก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกัน 3-5 วัน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยปรับธาตุ เลือดลมภายในร่างกาย ช่วยลดอาการความดันโลหิตต่ำได้แล้ว ยิ่งถ้าหากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร รวมทั้งเพิ่มการออกกำลังกาย ยิ่งจะช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น

สูตร 2
1. พริกไทยแห้ง 15 กรัม
2.ผงดีปลีเปล่า 15 กรัม
ต้มกับน้ำ 1 ลิตร พอเดือด ทิ้งไว้ให้อุ่นจึงนำน้ำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว 2 เวลาเช้า-เย็นก่อนอาหาร จะช่วยเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้นได้

สูตร 3
ดอกคำฝอย ฝาง ว่านสบู่เลือด ผักเป็ดแดง เถาคันแดง กระเพราแดง เทียนแดง โกฐหัวบัว รกมะดัน ใบมะขามอ่อน ให้นำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มหรือบดรวมกันเพื่อรับประทาน
โดยการรับประทานนั้นสามารถเลือกได้ 2 วิธี คือ บดเป็นผงแล้วนำมาอัดใส่แคปซูล รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ครั้งละ 3-4 แคปซูล หรือจะรับประทานแบบต้ม โดยให้ต้มสมุนไพรทั้งหมดกับน้ำ 3 ลิตร ต้มให้เดือดเคี่ยวจนเหลือเพียง 1 ลิตร ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น โดยดื่มครั้งละ 30 cc.
Cr. Kapook.com, pobpad.comม, alro.go.th, bangkokhealth.com, honestdocs.co
ถ้าภูมิต้านทานน้อย นอนไม่หลับ เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..