ข้อควรระวังในการกินสะตอ!
เนื่องจากสะตอมีกรดยูริกสูง สำหรับผู้ที่เป็นโรคเกาต์หรือผู้ที่มีกรดยูริกในร่างกายสูงเกินค่ามาตรฐานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสะตอ เพราะอาจจะทำให้โรคเกาต์กำเริบได้ และกรดยูริกในร่างกายที่สูงก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ ไตเสื่อม ไตวาย และมีอาการหูอื้อ อีกด้วยตอนกินอร่อยดี ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็นเขียวนิดๆและมันหน่อยๆ แต่ฉี่นี่แหละจะมีกลิ่นสะตอและอึอุจจาระก็มีกลิ่นด้วยเช่นกัน ทานสะตอ 1 มื้อ จะมีกลิ่น 2 วันเลยทีเดียว
วิธีดับกลิ่นสะตอ
เมื่อรับประทานสะตอเข้าไปแล้ว หลังรับประทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก หรือกินแตงกวา หรือถั่วฝักยาว หรือเคี้ยวใบอ่อนฝรั่ง แบบดิบๆ นะครับ ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง

สารอาหารในสะตอ
สะตออุดมไปด้วย
คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน
ธาตุแคลเซียม
ธาตุฟอสฟอรัส
ธาตุเหล็ก
วิตามินบี 1
วิตามินบี2
วิตามินบี3
และวิตามินซี
ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น

สรรพคุณของสะตอ
1.ประโยชน์สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา2.ช่วยทำให้เจริญอาหาร3.ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน4.ประโยชน์ของสะตอ ช่วยลดความดันโลหิต5.ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น6.มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์7.สะตอประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด8.เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้9.สรรพคุณของสะตอ ช่วยขับลมในลำไส้10.ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้11.สะตอ สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ12.สรรพคุณสะตอ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย13.แก้ปัสสาวะพิการ14.ช่วยแก้ไตพิการ15.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย16.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา17.สะตอทําอะไรได้บ้าง เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น18.และยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ19.ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน20.ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน
สะตอ ชื่อสามัญ Bitter bean, Twisted cluster bean, Stink bean
สะตอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Parkia speciosa Hassk. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Parkia macropoda Miq.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE หรือ MIMOSACEAE)
เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก นิยมใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้ และในประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ ก็นิยมนำสะตอมาทำเป็นอาหารรับประทานเช่นกัน
ชนิดสะตอ มี 2 พันธุ์ โดยแบ่งตามลักษณะของฝักและรสชาติได้ดังนี้

1. สะตอข้าว
ฝักมีลักษณะบิดเป็นเกลียว ยาว 31 เซนติเมตร กว้าง 3.5 เซนติเมตร เมล็ดมีขนาดเล็กค่อนข้างชิด ฝักหนึ่ง ๆ มี 10-20 เมล็ด ในแต่ละช่อ มี 8-20 ฝัก รสชาติมัน ไม่มีกลิ่นฉุนเนื้อเมล็ดไม่ค่อยแน่น สีของฝักเป็นสีเขียวอ่อน ขอบฝักชิดกับเมล็ดเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั่ว ไป อายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 3-4 ปี

2. สะตอดาน
ฝักมีลักษณะแบนตรง ยาว 32.5 เซนติเมตร กว้าง 3.9 เซนติเมตร เมล็ดมีขนาดใหญ่ ฝักหนึ่ง ๆ มี 10-12 เมล็ด แต่ละช่อมี 8-15 ฝัก รสชาติมัน มีกลิ่นฉุนจัด เนื้อเมล็ดแน่น ช่องว่างระหว่างเมล็ดห่างกัน ฝักมีสีเขียวแก่ขอบฝักจะห่างจากเมล็ดและมีขนาดหนา ผู้บริโภคชาวภาค ใต้นิยมรับประมาณ อายุการเก็บเกี่ยว 6-7 ปีสะตอจะเริ่มออกดอก ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ใช้ระยะเวลา 68-70 วัน ทั้งพันธุ์สะตอข้าวและสะตอดาน เริ่มให้ผลผลิตครั้งแรกอายุ 4-7 ปี ในต้นหนึ่ง ๆ จะให้ผลผลิตได้ประมาณ 200-300 ฝัก และจะให้ฝักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีตามอายุ
Cr. Medthai.com, sanook.ocm,