
ลิ้นหัวใจรั่ว (Heart Valve Regurgitation)
คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่ทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท เป็นสาเหตุให้เลือดไหลย้อนกลับ หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้เพียงพอ โรคนี้อาจรักษาให้หายได้โดยใช้ยาและการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซม รวมทั้งการใส่อุปกรณ์บางชนิดเพื่อช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ตามปกติ

อาการลิ้นหัวใจรั่ว
โดยส่วนใหญ่แล้วหากรอยรั่วเกิดขึ้นไม่มากนักก็จะไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็น แต่หากเริ่มรุนแรงขึ้น ก็อาจมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ โดยส่วนใหญ่แล้วลิ้นหัวใจรั่วแสดงอาการให้เห็นดังนี้
- เหนื่อยง่าย ในช่วงแรกอาจไม่รุนแรง โดยอาจมีอาการในระหว่างออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่หากรุนแรงขึ้นจะทำให้เหนื่อยง่ายแม้จะอยู่ในช่วงพัก อาการนี้มีสาเหตุเกิดจากการคั่งของเลือดและของเหลวภายในหลอดเลือดที่อยู่ในปอด
- วิงเวียนศีรษะ เป็นลม
- ปวดที่บริเวณหน้าอก ลามไปที่แขนข้างซ้าย หรือที่หน้าท้อง ซึ่งเกิดขึ้นจากการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดหัวใจลดลง
- รู้สึกหัวใจเต้นผิดปกติ คล้ายกับอาการใจสั่น
- มีอาการบวมที่เท้าและข้อเท้า เนื่องมากจากการบวมน้ำ
ทั้งนี้ อาการลิ้นหัวใจรั่วแต่ชนิดก็ยังมีอาการอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน เนื่องจากลิ้นหัวใจแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ลิ้นหัวใจไมตรัลรั่ว อาการที่อาจเห็นได้ชัดจะเกิดขึ้นเมื่ออาการเริ่มรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการใจสั่น โดยเฉพาะเวลาที่นอนตะแคงซ้ายจะมีอาการใจสั่นมากขึ้น
- ลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว อาจมีอาการหายใจลำบากขณะนอนหงาย มีอาการอ่อนแรง มีอาการบวมที่ข้อเท้า และเท้า หากอาการรุนแรงขึ้นจะทำให้ผนังหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวขึ้นจนไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และนำมาสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้
- ลิ้นหัวใจไตรคัสปิดรั่ว เมื่อลิ้นหัวใจส่วนนี้รั่ว จะทำให้สูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ และเกิดการบีบตัวของหลอดเลือดดำที่คอ ตับโต รวมทั้งอาการบวมที่ผิดปกติที่บริเวณหน้าท้อง ขา เท้า และข้อเท้า
- ลิ้นหัวใจพัลโมนารีรั่ว ลิ้นหัวใจรั่วชนิดนี้จะแตกต่างจากชนิดอื่น ๆ เพราะมักตรวจพบจากการตรวจร่างกายในลักษณะมีเสียงหัวใจที่ผิดปกติ หรือตรวจพบอาการรั่วของลิ้นหัวใจส่วนนี้จากการตรวจอัลตราซาวด์หัวใจ
นอกจากนี้ยังอาจพบอาการชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ วิงเวียนศีรษะ ไอ มีปัญหาในการนอนหลับเนื่องจากหายใจไม่สะดวกและปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะในเวลากลางคืน หากอาการรุนแรงมาก ๆ จะทำให้หัวใจห้องล่างทำงานไม่เต็มที่ และเสี่ยงกับภาวะหัวใจวายได้อีกด้วย โดยอาการที่เป็นสัญญาณเตือนของหัวใจวายได้แก่ รู้สึกเหนื่อยผิดปกติ หายใจสั้น และของเหลวคั่งอยู่ที่บริเวณเนื้อเยื่อในร่างกายจนทำให้ร่างกายบวม

ลิ้นหัวใจรั่วอาจแบ่งตามตำแหน่งของลิ้นที่มีการรั่ว ได้แก่
- ลิ้นหัวใจไมตรัลรั่ว (Mitral Regurgitation) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและล่างซ้าย จนทำให้เลือดไหลย้อนกลับไปที่หัวใจห้องบนหลังจากสูบฉีดเลือด
- ลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว (Aortic Regurgitation) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือดเอออตาร์ ทำให้เลือดที่ไหลไปยังหลอดเลือดเกิดการไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หัวใจห้องล่างซ้าย
- ลิ้นหัวใจไตรคัสปิดรั่ว (Tricuspid Regurgitation) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจไตรคัสปิดที่อยู่ระหว่างห้องหัวใจขวาบนและล่าง ทำให้เลือดไหลย้อนกลับขึ้นไป และทำให้ปริมาณเลือดที่ส่งไปยังปอดลดลง
- ลิ้นหัวใจพัลโมนารีรั่ว (Pulmonary Regurgitation) เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจพัลโมนารีที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องขวาล่างและปอด เป็นเหตุให้เลือดไหลย้อนกลับไปที่หัวใจห้องล่างขวา จนปอดได้รับออกซิเจนที่ถูกลำเลียงไปกับเลือดไม่เพียงพอ

สาเหตุของลิ้นหัวใจรั่ว
โรคลิ้นหัวใจรั่วมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากความผิดปกติของหัวใจที่อาจเกิดจากโรคหรือความบกพร่องตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
- สาเหตุปฐมภูมิ (Primary Cause) คือสาเหตุของลิ้นหัวใจรั่วที่เกิดจากโครงสร้างของลิ้นหัวใจที่ผิดปกติ ทำให้ลิ้นหัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่ และปิดไม่สนิทขณะสูบฉีดเลือด นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการสะสมของแคลเซียมที่ลิ้นหัวใจมากผิดปกติ หรือผู้ที่มีลิ้นหัวใจยาว เป็นต้น
- สาเหตุทุติยภูมิ (Secondary Cause) เป็นสาเหตุของโรคที่เกิดมาจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลให้ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุที่มักพบได้บ่อย ได้แก่ ลิ้นหัวใจยาว เนื้อเยื่อที่ไขสันหลังเสียหาย โรคไข้รูมาติก เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรืออาจเกิดจากการบาดเจ็บ การใช้ยา และการรักษาด้วยรังสี เป็นต้น
นอกจากนี้ หากมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดลิ้นหัวใจผิดปกติ อันเป็นสาเหตุของโรคนี้ได้ ซึ่งได้แก่
- ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะมีความเสี่ยงลิ้นหัวใจรั่วชนิดลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงอาจทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด และเกิดลิ้นหัวใจรั่วตามมาได้
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Valve Disease) ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับความพิการที่หัวใจจะมีความเสี่ยงลิ้นหัวใจรั่วมากกว่าคนอื่น ๆ เนื่องจากความผิดปกติของหัวใจจะส่งผลกระทบถึงการทำงานทั้งหมดของหัวใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
- โรคไข้รูมาติก เป็นการติดเชื้อที่ส่งผลต่อหัวใจได้โดยตรง และทำให้ลิ้นหัวใจเกิดความเสียหาย
- ประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ สำหรับคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยป่วยด้วยโรคลิ้นหัวใจ จะมีความเสี่ยงลิ้นหัวใจรั่วมากขึ้น แต่ถ้าควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้ก็จะทำให้ความเสี่ยงลดลง
- โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดลิ้นหัวใจรั่ว
- หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ปัจจัยหลักที่ทำให้หัวใจเกิดความเสียหายซึ่งส่งผลกระทบถึงลิ้นหัวใจได้เช่นกัน
- การใช้ยา ยารักษาโรคไมเกรนบางชนิดจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคลิ้นหัวใจรั่วได้
- อายุ ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้น เนื่องจากการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของลิ้นหัวใจ

การวินิจฉัยลิ้นหัวใจรั่ว
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) เป็นการตรวจด้วยอุปกรณ์คลื่นเสียงที่มีความถี่สูง โดยอุปกรณ์จะส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปและจำลองภาพของหัวใจ วิธีนี้จะช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติของลิ้นหัวใจ และระบุได้ว่ามีความรุนแรงมากเพียงใด
- การตรวจทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Exercise Stress Test) เป็นการตรวจโดยให้ผู้ป่วยออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ วิธีนี้จะช่วยแสดงให้เห็นว่าหัวใจของผู้ป่วยทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหรือไม่
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) เป็นการตรวจโดยบันทึกการทำงานของกระแสไฟฟ้าภายในหัวใจ โดยติดเครื่องมือที่ใช้บริเวณหน้าอก จากนั้นผลจะแสดงออกมาในรูปแบบของกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำให้แพทย์ทราบว่าผู้ป่วยมีอาการหัวใจโตหรือไม่
- การตรวจหัวใจด้วยภาพคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Cardiac Magnetic Resonance Imaging) การตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กและคลื่นวิทยุ เพื่อฉายให้เห็นภาพรายละเอียดของหัวใจ วิธีนี้จะทำให้เห็นการทำงานและความผิดปกติของหัวใจได้ชัดมากขึ้น
- เอกซเรย์ทรวงอก วิธีการตรวจวินิจฉัยนี้จะช่วยให้แพทย์เห็นว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจโตหรือไม่ ซึ่งภาวะดังกล่าวจะช่วยให้แพทย์ทราบถึงความเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยอาจจะมีโรคลิ้นหัวใจรั่ว หรือปัญหาเกี่ยวกับปอด
- การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization) โดยการสอดท่อและฉีดสารทึบแสงผ่านทางข้อพับและขาหนีบ จากนั้นจึงถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อดูการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการตรวจวินิจฉัยข้างต้นจะช่วยให้แพทย์ระบุความรุนแรงของโรค ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาในขั้นต่อไปได้

การรักษาลิ้นหัวใจรั่ว
แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาโรคลิ้นหัวใจรั่วจากความรุนแรงของโรค โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น และฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ซึ่งในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยควรจะดูแลตัวเองให้มากขึ้นดังนี้
- ควบคุมระดับความดันโลหิต ระดับความดันโลหิตที่เป็นปกติจะช่วยให้หัวใจทำงานไม่หนักจนเกินไป และทำให้ลิ้นหัวใจที่มีความผิดปกติไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ การเอาใจใส่ในอาหารที่รับประทานมากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคืออาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสเค็มจัด และอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เป็นต้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ป่วยที่ยังสามารถออกกำลังกายได้ ควรออกกำลังกายเป็นประจำเพราะจะช่วยให้หัวใจทำงานได้มากขึ้น แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้หัวใจทำงานหนักจนเกินไป
- ควบคุมน้ำหนัก สำหรับผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว การควบคุมน้ำหนัก จะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากขึ้นจะนำไปสู่โรคอันตรายต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
- ป้องกันภาวะลิ้นหัวใจอักเสบ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรงจนต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ผู้ป่วยอาจจะต้องรับประทานยาปฏิชีวนะควบคู่ไปด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อลิ้นหัวใจเมื่อต้องเข้ารับการทำทันตกรรม
- ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยเสริมสร้างให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น แต่สำหรับผู้ป่วยโรคล้นหัวใจรั่วก็อาจทำให้อาการยิ่งหนักขึ้น ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อควบคุมปริมาณการดื่มให้ลดลงเหลือเพียงตามความเหมาะสม หรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ไปเลยจะดีที่สุด
- พบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้น เพราะแพทย์จะสามารถติดตามอาการและความผิดปกติต่าง ๆ ได้อย่างใกล้ชิด

การใช้ยา
หากอาการไม่รุนแรงมากนัก แพทย์จะสั่งจ่ายยาเพื่อช่วยส่งเสริมการทำงานของหัวใจให้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยาที่ใช้ในการรักษาส่วนใหญ่ ได้แก่
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) ใช้เพื่อขับของเหลวส่วนเกินที่สะสมอยู่ในปอดและส่วนอื่น ๆ ในร่างกายออกมา ทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลง ช่วยลดอาการเหนื่อยและอาการบวมได้
- ยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE Inhibitor) เป็นยาที่ใช้เพื่อปรับสภาพการทำงานของหัวใจ เพื่อชะลอการเกิดอาการหัวใจโต รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิตไม่ให้หัวใจทำงานหนักมากเกินไป
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulation Medication) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหัวใจสั่นพริ้ว (Atrial Fibrillation) ร่วมด้วย การใช้ยาชนิดนี้จะช่วยป้องกันลิ่มเลือดที่เกิดจากอาการดังกล่าวได้
นอกจากนี้ผู้ป่วยก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะด้วยเพื่อป้องกันอาการลิ้นหัวใจอักเสบ ซึ่งแพทย์จะสั่งให้ผู้ป่วยก่อนทำทันตกรรม ซึ่งก่อนจะเข้ารับการรักษา เพื่อความปลอดภัย ผู้ป่วยจะต้องแจ้งทันตแพทย์ว่าป่วยด้วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว
การผ่าตัด
หากอาการของผู้ป่วยรุนแรง แพทย์จะต้องใช้การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการ เพราะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- การผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจ ทำเพื่อซ่อมแซมลิ้นหัวใจที่มีความผิดปกติ ให้กลับมาทำงานได้ เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ในบางกรณีเท่านั้น
- การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หากลิ้นหัวใจไม่สามารถกลับมาทำงานตามเดิมได้อีก ก็จะต้องผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซึ่งลิ้นหัวใจที่นำมาใช้มีทั้งชนิดที่ผลิตจากไทเทเนียม หรือเป็นลิ้นหัวใจของสัตว์ เช่น หมู บางกรณีก็อาจใช้ลิ้นหัวใจของคนที่ได้รับการบริจาคมา
หลังจากผ่าตัดแล้ว แพทย์จะยังคงติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจนกว่าหัวใจจะกลับมาทำงานเป็นปกติโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้
การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมด้วยการใช้สายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation: TAVI)เป็นการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมโดยการสวนท่อเข้าไปในหลอดเลือดเอออร์ต้าเพื่อใส่ลิ้นหัวใจเทียม วิธีนี้จะใช้กับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการผ่าตัดสูง และมีอาการเกี่ยวกับลิ้นหัวใจที่รุนแรง แต่ก็มีผลข้างเคียงคือ อาจทำให้หลอดเลือดเกิดความเสียหายเนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษา
การสวนหัวใจด้วยสายสวน (Cardiac Catheterization) เป็นการรักษาปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ โดยการสอดสายสวนเข้าไปที่หลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือและขาหนีบ เพื่อขยายหลอดเลือด และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของลิ้นหัวใจรั่ว
หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ล่าช้า หรือการรักษาไม่ต่อเนื่อง จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่าง ๆ ได้ เช่น
- หัวใจวาย เมื่อลิ้นหัวใจทำงานได้น้อยลง จะส่งผลให้เกิดอาการลิ้นหัวใจเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้หัวใจทำงานหนักจนเกิดภาวะน้ำท่วมปอด หรืออาจทำให้เสียชีวิตได้
- ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) เกิดขึ้นได้ในรายที่มีอาการลิ้นหัวใจรั่วอย่างรุนแรง โดยหัวใจจะเต้นเร็วและผิดปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากกระแสไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติ นอกจากนี้อาการดังกล่าวยังอาจส่งผลให้หายใจได้ไม่สะดวก
- ลิ่มเลือดอุดตัน เมื่อผู้ป่วยลิ้นหัวใจรั่วเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว อาจทำให้เลือดจับตัวกลายเป็นลิ่มเลือด และหากลิ่มเลือดเหล่านั้นรั่วไหลเข้าไปภายในกระแสเลือด ก็จะนำมาสู่ภาวะหลอดเลือดอุดตัน ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้เช่นกัน
- การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ (Endocarditis) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากลิ้นหัวใจผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีและทันท่วงที ก็อาจนำมาสู่อาการที่รุนแรงซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ความดันเลือดแดงในปอดสูง (Pulmonary Hypertension) หากผู้ป่วยปล่อยปละละเลย ไม่ยอมทำการรักษาเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดความดันในปอด และนำมาสู่ภาวะหัวใจห้องขวาวายได้
การป้องกันลิ้นหัวใจรั่ว
เช่นเดียวกับโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ลิ้นหัวใจรั่วสามารถป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควบคุมความเสี่ยงที่เกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และภาวะคอเลสเตอรอลสูง เป็นต้น
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด หรือมีความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแพทย์จะได้ทำการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากมีสัญญาณของลิ้นหัวใจรั่ว อีกทั้งยังควรระมัดระวังความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติหรือสร้างความเสียหายที่ลิ้นหัวใจได้ เช่น
- โรคไข้รูมาติก หากเริ่มมีอาการเจ็บคออย่างรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะหากไม่รักษาอาการคออักเสบนี้ จะทำให้เป็นโรคไข้รูมาติกได้
- ควบคุมความดันโลหิต ระดับความดันโลหิตที่ปกติจะส่งผลดีต่อแรงดันภายในหัวใจ และช่วยลดความเสี่ยงลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่วได้
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด และหากเข้ารับการทำทันตกรรมควรแจ้งทันตแพทย์ถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจด้วยก่อนรักษา เพราะผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะหลังจากการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
คำถาม-คำตอบ
1) เมื่อวานไปหาหมอที่คลินิกเพื่อที่จะตรวจสุขภาพเอาใบรับรองแพทย์ไปสมัครงานถึงคิวเข้าพบหมอ หมอได้ตรวจฟังเสียงหัวใจอยู่3รอบ "หมอถามหนูว่าเป็นลิ้นหัวใจรั่วมั๊ย"หนูเลยบอกว่าไม่ได้เป็นค่ะ หมอก็เลยฟังเสียงหัวใจอีกรอบ "น่าจะเป็นน้ะ" หมอเลยบอกถ้ามีอาการเหนื่อยหรือตัวเขียวให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อใช้เครื่องมือตรวจดู(จำชื่อเครื่องมือไม่ได้) แต่เคยใจสั้นเมื่อ2เดือนที่แล้วเนื่องจากดื่มกาแฟที่เข้มข้นเกินไปแล้วกินเกินขนาดเพราะส่วนตัวชอบกินค่ะ แต่อาการปัจจุบัน รู้สึกเหนื่อยง่าย หอบง่าย นั่งอยู่เฉยๆยังรู้สึกเหนื่อยและหอบ หายใจไม่ทั่วถึง แน่นหน้าอกเล็กน้อย หัวใจเต้นเร็ว เป็นไปได้มั๊ยค่ะว่าจะเป็นลิ้นหัวใจรั่วจริงๆ
การฟังเสียงหัวใจด้วยหูฟัง (stethoscope) หากฟังได้ยินเสียงผิดปกติ อาจแสดงว่าลิ้นหัวใจมีการทำงานที่ผิดปกติ โดยอาจเป็นลิ้นหัวใจรั่วหรือปิดไม่สนิท หรือเป็นลิ้นหัวใจตีบก็ได้ อย่างไรก็ตาม การฝังแค่เสียงหัวใจ อาจไม่สามารถยืนยันการวินิจฉัยที่แน่นอนได้ ต้องอาศัยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม คือ อัลตราซาวด์หัวใจ หรือ echocardiogram ซึ่งอาจตรวจร่วมกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วย
สำหรับอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ นอกจากอาการลิ้นหัวใจรั่ว ได้แก่
- การออกกำลังกาย หรือใช้แรงอย่างหนัก
- อุณหภูมิของอากาศสูงหรือต่ำมากเกินไป
- อยู่บนที่สูง ซึ่งมีความกดอากาศต่ำ
- เกิดเหตุการณ์ทำให้ตื่นตระหนกตกใจกะทันหัน หรือเกิดความวิตกกังวล เกิดความเครียด
- เป็นโรคหอบหืด แต่จะมีอาการหายใจลำบากเป็นหลัก หายใจมีเสียงดังวี๊ดๆ เป็นต้
- มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แต่มักมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ไข้ ไอ มีเสมหะ มีน้ำมูก
- โรคหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงการมีลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- มีภาวะอ้วน เนื่องจากมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป โดยเฉพาะบริเวณช่วงอกและช่วงท้อง ทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้หายใจทำงานหนักขึ้น
- สมรรถภาพร่างกายลดลง เช่น ไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้เหนื่อยหอบและหายใจไม่อิ่มได้ง่ายเมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ
- การตั้งครรภ์
- มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ
สำหรับการดื่มกาแฟในปริมาณมากไป อาจทำให้มีอาการหัวใจเต้นเร็ว รู้สึกใจสั่น และการที่หัวใจเต้นเร็วอาจส่งผลให้ฟังเสียงหัวใจผิดปกติได้
แนะนำว่าควรลดปริมาณการดื่มกาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนชนิดอื่นๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย โดยเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ ก่อน หากยังคงรู้สึกมีอาการรเหนื่อยง่าย และมีหัวใจเต้นเร็ว (เกิน 100 ครั้งต่อนาที) ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องมืออย่างที่แพทย์แนะนำ
2) สวัสดีค่ะอายุ13 ค่ะ มีอาการใจหวิวปวดหน้าอกเหนื่อยง่ายมือสั่นผิวเหลืองซีดเสี่ยงเป็นโรคอะไรไหมค่ะ
อาการเหนื่อยง่าย ใจหวิว เจ็บหน้าอก มือสั่น ผิวเหลืองซีด อาจเกิดจาก
1. โลหิตจาง อาการได้แก่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนหัว ตัวซีดเหลือง มือเท้าเย็น เป็นต้น
2. มีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนเป็นพิษ อาการได้แก่ เหนื่อยง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่ออกมาก น้ำหนักลด ประจำเดือนมาไม่ปกติ ถ่ายอุจจาระบ่อย หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ เป็นต้น
3. กำลังตั้งครรภ์ หากเคยมีเพศสัมพันธ์ ควรลองตรวจหาการตั้งครรภ์ด้วยค่ะ
4. เป็นเบาหวาน อาการ เช่น หิวน้ำบ่อย ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย มือเท้าชา เป็นต้น แต่เนื่องจากอายุยังน้อย หากเป็นเบาหวาน ต้องมีประวัติคนในครอบครัวที่เป็นเบาหวานอยู่
5. มีปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจ เช่น เครียด วิตกกังวล
6. มีโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีภาวะหัวใจวาย
7. โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง ปอดบวม หลอดลมอักเสบ มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น
หากอาการเหนื่อยง่ายเกิดขึ้นในทุกครั้งที่ต้องออกแรงหรือใช้กำลัง เช่น การเดินขึ้นบันได การทำงานบ้านต่างๆ ซึ่งปกติไม่เคยเหนื่อยมาก่อน หรือเมื่อเทียบกับคนอื่นที่กำลังทำกิจกรรมที่เหมือนกัน แล้วมีอาการเหนื่อยชัดเจนกว่าคนอื่นๆ แนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ
Cr. pobpad.com
ถ้าภูมิต้านทานน้อย นอนไม่หลับ เส้นเลือดตีบ แนะนำ..โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก..ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..